รถมือสองฟรีดาวน์ (ออกรถใช้เงินดาวน์ 0 บาท)

• เครื่องยนต์: 1NZ-FE 1.5 ลิตร VVT-i ขุมพลังในตำนาน รองรับพลังงาน 2 ระบบ
• ระบบเชื้อเพลิง: 2 ระบบ (เบนซิน/LPG) ประหยัดสูงสุด
• เกียร์: อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT ทนทาน ดูแลรักษาง่าย
• รุ่นย่อย: G มาพร้อมออปชันที่เหนือกว่ารุ่นพื้นฐาน
• ความสะดวกสบาย: ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, ไฟหน้าโปรเจคเตอร์

หัวใจคือความทนทานระดับโลก

เครื่องยนต์ 1NZ-FE คือเหตุผลหลักที่ทำให้ Vios เป็นที่รักของคนทั่วโลก มันคือเครื่องยนต์ที่ "ทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ" ไม่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อน และทนทานต่อการติดตั้งระบบแก๊ส LPG ได้เป็นอย่างดี ทำให้คุณใช้งานรถได้อย่างสบายใจไร้กังวล

---

ประหยัดสุดขีดด้วยพลังงานทางเลือก

จุดเด่นที่ทำให้รถคันนี้คุ้มค่าขึ้นไปอีกขั้นคือการติดตั้งระบบแก๊ส LPG มาตรฐาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงลงได้อย่างมหาศาลในยุคที่น้ำมันมีราคาสูง ทำให้ทุกการเดินทางของคุณประหยัดกว่าใคร

---

ออปชันครบครันในรุ่น G

การเลือกรุ่น G ทำให้คุณได้รถที่มีความสะดวกสบายและความสวยงามมากกว่ารุ่นเริ่มต้นอย่างชัดเจน ทั้งไฟหน้าโปรเจคเตอร์, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน

น้ำมันเบนซิน:

• อัตราสิ้นเปลือง: ประมาณ 15 - 17 กม./ลิตร

Toyota Vios 1.5 G คันนี้คือ "นิยามของความคุ้มค่าที่สมบูรณ์แบบ" อย่างแท้จริง ในงบประมาณไม่ถึงสามแสนบาท คุณจะได้รถยนต์นั่งที่ขึ้นชื่อว่าทนทานที่สุดในโลกคันหนึ่ง ที่มาพร้อมระบบแก๊ส LPG ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด พร้อมออปชันที่ครบครัน และที่สำคัญที่สุดคือ "ความสบายใจ" ในระยะยาวที่คุณหาไม่ได้จากรถรุ่นอื่น

นี่คือรถยนต์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษา, คนเพิ่งเริ่มทำงาน, หรือมองหารถยนต์สำรองไว้ใช้งานในครอบครัว Vios คันนี้พร้อมจะรับใช้คุณไปอีกนานแสนนานครับ

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ K12M, 1.2 ลิตร (1,197 ซีซี) Dualjet
• กำลังสูงสุด: 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ CVT
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า
• แพลตฟอร์ม: HEARTECT (น้ำหนักเบาและแข็งแรง)

การขับขี่ที่สนุกที่สุดในคลาส Eco Car:

นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Swift ด้วยแพลตฟอร์ม HEARTECT ที่มีน้ำหนักเบา, ช่วงล่างที่หนึบแน่น, และพวงมาลัยที่เฉียบคม ทำให้เป็นรถเล็กที่ให้ความสนุกและความมั่นใจในการขับขี่สูงที่สุด

• น้ำหนักตัวที่เบาและคล่องตัว: โครงสร้าง HEARTECT ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาลงอย่างมาก แต่ยังคงความแข็งแกร่งไว้ ทำให้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร สามารถขับเคลื่อนรถได้อย่างคล่องแคล่ว
• การทรงตัวที่ยอดเยี่ยม: HEARTECT ทำให้ตัวถังมีความแข็งแกร่งและต้านทานการบิดตัวได้ดีเยี่ยม ช่วยให้รถไม่โคลงเคลงเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว

ความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ:

เครื่องยนต์ Dualjet และเกียร์ CVT ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม สามารถทำได้ถึง 23 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

• เครื่องยนต์ Dualjet: มีการติดตั้งหัวฉีดน้ำมันถึงสองหัวต่อหนึ่งกระบอกสูบ ซึ่งจะฉีดละอองน้ำมันได้ละเอียดและแม่นยำกว่า ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
• เกียร์อัตโนมัติ CVT: ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในย่านที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่เสมอ ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเกินความจำเป็น

ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์:

มีการออกแบบที่ดูสปอร์ตและปราดเปรียว แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

ความคุ้มค่าของรุ่น Sports Edition:

เป็นรุ่นพิเศษที่นำรุ่น GL มาตกแต่งเพิ่มเติมด้วยชุดแต่งสปอร์ตจากโรงงาน ทำให้ดูหล่อและครบครันขึ้นในราคาที่คุ้มค่า

• รูปลักษณ์สปอร์ตที่คุ้มค่า: มาพร้อมกับชุดแต่งรอบคันที่ติดตั้งมาจากโรงงาน เช่น สเกิร์ตหน้า-ข้าง-หลัง และสปอยเลอร์หลัง
• ยังคงข้อดีของ Swift ไว้อย่างครบถ้วน: ยังคงใช้เครื่องยนต์ Dualjet และเกียร์ CVT ที่มีประสิทธิภาพสูงในเรื่องการประหยัดน้ำมัน

คุณสมบัติ	GL	GL Sports Edition (รุ่นนี้)	GLX (รุ่นท็อป)
ราคาเปิดตัว	~536,000 บาท	~546,000 บาท	~609,000 บาท
ชุดแต่ง	ไม่มี	สเกิร์ตรอบคัน	ไม่มี
ล้อ	กระทะเหล็ก 15 นิ้ว	ล้ออัลลอย 15 นิ้ว	ล้ออัลลอย 16 นิ้ว
ไฟหน้า	ฮาโลเจน	ฮาโลเจน	โปรเจคเตอร์ LED
หน้าจอเครื่องเสียง	วิทยุพื้นฐาน	วิทยุพื้นฐาน	จอสัมผัส
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น	หล่อขึ้น, คุ้มค่า	ออปชันเต็มที่สุด

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 20 - 23 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดมาก
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2020): 546,000 บาท

สำหรับ Suzuki Swift 1.2 GL Sports Edition ปี 2020 คันนี้ ในราคา 319,000 บาท ถือเป็น "รถ Eco Car สภาพใหม่ ที่ขับสนุกและคุ้มค่าที่สุด"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 319,000 บาท
• ราคาเปิดตัว: 546,000 บาท
• ส่วนต่าง: ประหยัดจากรถใหม่ป้ายแดงไปถึง 227,000 บาท หรือลดลงกว่า 41%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2GD-FTV, 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,800 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• ความทนทานและน่าเชื่อถือ: เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์ สามารถใช้งานหนักได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
• เครื่องยนต์ 2.4L ที่สมดุล: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่องานบรรทุก แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม ช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นรถกระบะที่มีราคาขายต่อแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	Entry (รุ่นที่คุณสนใจ)	Entry (เดิม)
ราคาเปิดตัว	~589,000 บาท	~544,000 บาท
ดีไซน์ด้านหน้า	โฉมใหม่ (คล้าย GR Sport)	โฉมเดิม
เครื่องยนต์	ดีเซล 2.4L (150 PS)	ดีเซล 2.4L (150 PS)
จุดเด่น	ดีไซน์ทันสมัย, ประหยัด	ราคาเริ่มต้นต่ำสุด

สเปค: เป็น "คอกเหล็กแป๊ป" ที่ตีขึ้นมาอย่างแข็งแรง เหมาะสำหรับการบรรทุกสินค้าเกษตรหรือสินค้าทั่วไปที่ต้องการความโปร่งและไม่กลัวแดดฝน

ข้อดีของคอก:

• ความแข็งแรงทนทาน: โครงสร้างเหล็กมีความทนทานสูงมาก
• ความยืดหยุ่น: สามารถบรรทุกของที่มีรูปทรงหลากหลายและสูงเกินกระบะได้ง่าย
• น้ำหนักเบา: เมื่อเทียบกับตู้ทึบ ทำให้ตัวรถไม่แบกน้ำหนักมากเกินไปเมื่อวิ่งตัวเปล่า

น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): โดยทั่วไปรถที่ติดตั้งหลังคาลักษณะนี้จะมีการเสริมแหนบเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น สามารถบรรทุกได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. คอกเหล็ก	คอกเหล็กแป๊ปสำหรับบรรทุก	10,000 - 15,000 บาท
2. การเสริมช่วงล่าง	มีการเสริมแหนบเพื่อรองรับน้ำหนัก (เป็นการดัดแปลงมาตรฐาน)	5,000 - 8,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		15,000 - 23,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เฉลี่ยประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (เมื่อวิ่งตัวเปล่า) และจะลดลงตามน้ำหนักบรรทุก
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2021): Toyota Hilux Revo 2.4 Single Entry MT ราคาประมาณ 589,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.4 Entry ปี 2021 พร้อมคอกเหล็ก คันนี้ ในราคา 399,000 บาท ถือเป็น "รถทำเงินสภาพใหม่ ที่คุ้มค่าการลงทุนอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 399,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 589,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 20,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~609,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 210,000 บาท หรือลดลงกว่า 34%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2GD-FTV, 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 2,000 รอบ/นาที (สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ)
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง (ตัวเตี้ย Z Edition)

ดีไซน์สปอร์ตตัวเตี้ย:

Z Edition คือรุ่นที่ถูกปรับโฉมและโหลดเตี้ยลงมาจากโรงงาน ทำให้มีรูปลักษณ์ที่สปอร์ตและปราดเปรียว ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบรถกระบะแต่งสวย

• รูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมีสไตล์: มาพร้อมกับชุดแต่งที่แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน เช่น กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ และการลดความสูงของตัวรถ
• สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม: การลดความสูงของตัวรถทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ส่งผลให้การเข้าโค้งมีความมั่นคงและลดอาการโคลงของตัวถังได้ดีกว่า

เครื่องยนต์ที่ทนทานและประหยัด:

เครื่องยนต์ 2.4L GD Super Power ให้ความสมดุลที่ดีระหว่างพละกำลัง, ความทนทาน, และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม

• พละกำลังที่เหมาะสม: แรงบิดมหาศาลที่มาตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ฉับไว และมีพละกำลังเหลือเฟือ
• ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างยอดเยี่ยม: ระบบหัวฉีดคอมมอนเรลแบบ i-ART และระบบเทอร์โบแปรผัน ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์และลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน

เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะที่ขับสบาย:

การได้เกียร์อัตโนมัติในรถกระบะ 4 ประตู ทำให้การขับขี่ในเมืองสะดวกสบายและลดความเมื่อยล้าได้อย่างมาก เหมาะสำหรับการเป็นรถครอบครัว

• ขับขี่ง่ายและลดความเมื่อยล้า: ไม่ต้องเหยียบคลัตช์และเข้าเกียร์เอง ซึ่งช่วยลดความเมื่อยล้าได้มาก โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถในสภาพการจราจรที่ติดขัด
• การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและต่อเนื่อง: ช่วยให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้รอยต่อ

ความอเนกประสงค์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์:

การเป็นรถ 4 ประตู ทำให้ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นรถครอบครัวและรถใช้งาน และยังขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน, ค่าบำรุงรักษาไม่สูง, และราคาขายต่อดี

• ใช้งานได้หลากหลายแบบ "รถสองคันในหนึ่งเดียว": สามารถใช้งานเป็นรถยนต์ส่วนตัวสำหรับครอบครัว และยังคงมีกระบะท้ายที่สามารถบรรทุกสัมภาระได้
• ความทนทานที่เป็นรากฐาน: เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 2GD-FTV ได้รับการยอมรับในเรื่องความทนทานสูงและไม่จุกจิก

คุณสมบัติ	Entry AT (รุ่นนี้)	Mid AT
ราคาเปิดตัว	~743,000 บาท	~784,000 บาท
ไฟหน้า	มัลติรีเฟล็กเตอร์ ฮาโลเจน	Bi-Beam LED
ล้ออัลลอย	16 นิ้ว	17 นิ้ว
หน้าจอเครื่องเสียง	จอสัมผัส 8 นิ้ว	จอสัมผัส 8 นิ้ว
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้นเกียร์ออโต้	ได้ไฟหน้า LED, ล้อใหญ่ขึ้น

ข้อดีของรุ่น Entry AT: เป็นรุ่นที่ทำให้สามารถเข้าถึงรถกระบะ 4 ประตูตัวเตี้ยเกียร์ออโต้ได้ในราคาที่ประหยัดที่สุด และยังคงได้หน้าจอสัมผัสมาเป็นมาตรฐาน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. หลังคาไฟเบอร์ (Carryboy)	หลังคาไฟเบอร์สำหรับ Double Cab พร้อมทำสีและติดตั้ง	30,000 - 40,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 13 - 15 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2021): 743,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.4 Double Cab Z Edition Entry AT ปี 2021 คันนี้ ในราคา 489,000 บาท ถือเป็น "รถกระบะ 4 ประตูอเนกประสงค์สภาพใหม่ ในราคาที่คุ้มค่ามาก"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 489,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 743,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนรวมไปถึง 254,000 บาท หรือลดลงกว่า 36%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 1KD-FTV, 3.0 ลิตร (2,982 ซีซี) D-4D Commonrail
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

ความทนทานระดับตำนาน:

นี่คือจุดแข็งที่สุดที่ทำให้ HIACE ครองตลาด เครื่องยนต์ 1KD-FTV และโครงสร้างตัวถังถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานหนักโดยเฉพาะ มีความทนทานสูงมากและไม่จุกจิก

• ความทนทานของเครื่องยนต์ (Engine Durability): เครื่องยนต์บล็อกนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและจุกจิกน้อย สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางหลายแสนกิโลเมตรโดยไม่พบปัญหาใหญ่
• ความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถัง: ตัวถังได้รับการออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัย ทำให้มีความแข็งแกร่งและสามารถปกป้องผู้โดยสารได้ดี

ค่าบำรุงรักษาต่ำ:

ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีให้เลือกทั้งของแท้และของทดแทนในราคาที่ไม่สูง ช่างที่ไหนก็สามารถซ่อมบำรุงได้

• อะไหล่ที่หาได้ง่ายและมีราคาไม่แพง: ทำให้ราคาของชิ้นส่วนต่างๆ มีราคาที่สมเหตุสมผล
• การซ่อมบำรุงที่สะดวก: ช่างยนต์ส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับเครื่องยนต์ 1KD-FTV และโครงสร้างของ Hiace เป็นอย่างดี

ราคาขายต่อดีเยี่ยม:

เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีความต้องการในตลาดมือสองสูงที่สุด ทำให้ราคาขายต่อแข็งและไม่ตกเร็ว

ห้องโดยสารสูงโปร่ง:

รุ่น Commuter มีหลังคาสูง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำมาตกแต่ง VIP ดังเช่นคันนี้

• ความสบายสำหรับผู้โดยสาร: พื้นที่เหนือศีรษะที่กว้างขวาง ทำให้ผู้โดยสารตัวสูงสามารถนั่งได้อย่างสบาย
• ความสะดวกในการใช้งาน: ผู้โดยสารสามารถลุกขึ้นยืนหรือเคลื่อนย้ายตัวภายในห้องโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย

คุณสมบัติ	GL (หลังคาเตี้ย)	COMMUTER (หลังคาสูง) (รุ่นนี้)
ราคาเปิดตัว	~1,053,000 บาท	~1,221,000 บาท (MT)
ความสูงตัวถัง	1,980 มม.	2,285 มม.
จำนวนที่นั่ง	12 ที่นั่ง	16 ที่นั่ง (เดิม)
จุดเด่น	คล่องตัวในเมือง, เข้าที่จอดรถได้	บรรทุกผู้โดยสารได้เยอะที่สุด, เพดานโปร่ง

• สเปค: ภายในถูกดัดแปลงเป็น "เบาะ VIP 3 แถว 9 ที่นั่ง" (ไม่รวมคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า) ในการจัดเรียงแบบ 2-3-4 ที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุด
• ข้อดี:
  • ความสบายสูงสุด: เบาะ VIP ขนาดใหญ่ให้ความสบายในการเดินทางที่เหนือกว่าเบาะมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกล
  • บรรยากาศสุดอลังการ: มีการ "ตกแต่งหลังคาและระบบไฟ Ambient Light แบบเต็มระบบ" พร้อมคอนโซลกลางดีไซน์พิเศษ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องรับรองเคลื่อนที่สุดหรู
• น้ำหนักบรรทุก/ความจุ: เน้นการรองรับผู้โดยสาร 9+2 ท่านด้วยความสบายและหรูหราสูงสุด

การดัดแปลงเป็น VIP ชุดใหญ่ ถือเป็นการลงทุนก้อนโต ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ชุดเบาะ VIP	เบาะ VIP ขนาดใหญ่ 3 แถว จำนวน 9 ที่นั่ง พร้อมรางเลื่อนและติดตั้ง	80,000 - 120,000 บาท
2. การตกแต่งภายใน	การบุผนัง, ปูพื้น, คอนโซลกลางดีไซน์พิเศษ, และม่านรอบคัน	60,000 - 90,000 บาท
3. ชุดหลังคาและระบบไฟ	หลังคาดีไซน์ใหม่ทั้งหมด พร้อมระบบไฟ Ambient Light หลายสี	40,000 - 60,000 บาท
4. ชุดแต่งรอบคัน	สเกิร์ตหน้า, ข้าง, และหลัง	15,000 - 25,000 บาท
5. จอ Android และทีวีเพดาน	จอสัมผัสสำหรับคนขับ และจอเพดานพับได้สำหรับผู้โดยสาร	15,000 - 20,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		210,000 - 315,000+ บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 11 - 13 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2017, รถเปล่า): ประมาณ 1,221,000 บาท

สำหรับ Toyota Hiace 3.0 COMMUTER ปี 2017 พร้อมชุดแต่ง VIP คันนี้ ในราคา 859,000 บาท ถือเป็น "รถตู้ VIP สภาพใหม่ ที่คุ้มค่ามาก"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 859,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่ (รถเปล่า): 1,221,000 บาท
• บวก ค่าตกแต่ง VIP (ประเมินขั้นต่ำ): 210,000 บาท
• ต้นทุนรวมเมื่อทำใหม่: ~1,431,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนรวมไปถึง 572,000 บาท หรือลดลงกว่า 40%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ YD25DDTi, 2.5 ลิตร (2,488 ซีซี) พร้อม VGS Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลังยกสูง (Calibre)

แชสซีส์ "โมโนเฟรม" ที่แข็งแกร่ง:

Navara มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องความแข็งแกร่งของโครงสร้างแชสซีส์แบบชิ้นเดียวตลอดคัน ทำให้มีความทนทานสูงมาก เหมาะสำหรับการบรรทุกหนักและใช้งานในสภาพถนนที่ทุรกันดาร

• ความแข็งแกร่งและทนทาน: โครงสร้างแบบกล่องตลอดแนว (Fully Boxed Frame) ทำให้สามารถรองรับงานบรรทุกหนักได้อย่างมั่นใจ
• สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม: ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งและสมดุล ทำให้รถมีการทรงตัวที่ดีทั้งในทางตรงและขณะเข้าโค้ง

เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ทรงพลัง:

ให้แรงบิดสูงถึง 403 นิวตัน-เมตร ซึ่งสูงที่สุดในคลาสรถกระบะ 2.5 ลิตรในยุคนั้น ทำให้มีพละกำลังในการบรรทุกและเร่งแซงที่ดีเยี่ยม

• พละกำลังและแรงบิดที่ยอดเยี่ยม: แรงบิดมหาศาลที่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้รถออกตัวได้อย่างรวดเร็วและมีพละกำลังเหลือเฟือ
• ความทนทานที่เชื่อถือได้: เครื่องยนต์รหัส YD25DDTi เป็นเครื่องยนต์ที่ Nissan พัฒนาและใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้ความทนทานได้รับการพิสูจน์แล้ว

ช่วงล่างที่นุ่มนวล:

Navara Calibre ให้ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลสบายในการโดยสาร ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลายๆ รุ่น

• ช่วงล่างด้านหน้าที่นุ่มนวลและควบคุมง่าย: ระบบกันสะเทือนอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) ช่วยให้การตอบสนองของพวงมาลัยแม่นยำ
• ช่วงล่างด้านหลังที่ทนทานและทรงตัวดี: ระบบแหนบแบบยาว (Leaf Spring) ได้รับการปรับจูนมาอย่างดี ทำให้รถมีการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม

คุณสมบัติ	S (เริ่มต้น)	E	EL (รุ่นนี้)	V (รุ่นท็อป)
ราคาเปิดตัว	~6xx,xxx บาท	~7xx,xxx บาท	~7xx,xxx บาท	~8xx,xxx บาท
ล้อ	กระทะเหล็ก 16"	ล้ออัลลอย 16"	ล้ออัลลอย 16"	ล้ออัลลอย 18"
เครื่องเสียง	วิทยุพื้นฐาน	วิทยุพื้นฐาน	วิทยุพื้นฐาน	จอสัมผัส + กล้องหลัง
ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง	ไม่มี	ไม่มี	มี	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น	คุ้มค่า, ได้ล้ออัลลอย	เพิ่มปุ่มที่พวงมาลัย	หล่อที่สุด, ออปชันเต็มที่สุด

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 14 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2016): ประมาณ 750,000 - 800,000 บาท

สำหรับ Nissan Navara 2.5 King Cab Calibre EL ปี 2016 คันนี้ ในราคา 249,000 บาท ถือเป็น "รถกระบะพันธุ์แกร่ง ออปชันครบ ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 249,000 บาท
• ราคาเปิดตัว: ~780,000 บาท
• ส่วนต่าง: ประหยัดจากรถใหม่ป้ายแดงไปถึง 531,000 บาท หรือลดลงกว่า 68%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 1KD-FTV, 3.0 ลิตร (2,982 ซีซี) D-4D Commonrail
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

ความทนทานระดับตำนาน:

นี่คือจุดแข็งที่สุดที่ทำให้ HIACE ครองตลาด เครื่องยนต์ 1KD-FTV และโครงสร้างตัวถังถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานหนักโดยเฉพาะ มีความทนทานสูงมากและไม่จุกจิก

• ความทนทานของเครื่องยนต์ (Engine Durability): เครื่องยนต์บล็อกนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและจุกจิกน้อย สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางหลายแสนกิโลเมตรโดยไม่พบปัญหาใหญ่
• ความทนทานของช่วงล่าง (Suspension Durability): ด้านหน้าใช้ระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ และด้านหลังใช้ระบบแหนบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกหนักโดยเฉพาะ

ค่าบำรุงรักษาต่ำ:

ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีให้เลือกทั้งของแท้และของทดแทนในราคาที่ไม่สูง ช่างที่ไหนก็สามารถซ่อมบำรุงได้

• อะไหล่หาง่าย: เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีอะไหล่ทั้งจากศูนย์และอะไหล่เทียบคุณภาพดีในท้องตลาดมากมาย
• ช่างมีความคุ้นเคย: ช่างซ่อมรถทั่วไปมีความคุ้นเคยกับเครื่องยนต์บล็อกนี้เป็นอย่างดี ทำให้การซ่อมบำรุงทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง

ราคาขายต่อดีเยี่ยม:

เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีความต้องการในตลาดมือสองสูงที่สุด ทำให้ราคาขายต่อแข็งและไม่ตกเร็ว

ห้องโดยสารสูงโปร่ง:

รุ่น Commuter มีหลังคาสูง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด และสามารถยืนเปลี่ยนตำแหน่งได้สะดวก

• พื้นที่กว้างขวางและสะดวกสบาย: ด้วยการออกแบบตัวถังทรงเหลี่ยม ทำให้มีพื้นที่ภายในกว้างขวางและโปร่งสบาย
• ระบบปรับอากาศที่เย็นและทั่วถึง: มีช่องแอร์ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ที่เพดานตลอดแนว ทำให้สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึงทุกที่นั่ง

คุณสมบัติ	GL (หลังคาเตี้ย)	COMMUTER (หลังคาสูง) (รุ่นนี้)
ราคาเปิดตัว	~1,053,000 บาท	~1,221,000 บาท (MT)
ความสูงตัวถัง	1,980 มม.	2,285 มม.
จำนวนที่นั่ง	12 ที่นั่ง	16 ที่นั่ง (เดิม)
จุดเด่น	คล่องตัวในเมือง, เข้าที่จอดรถได้	บรรทุกผู้โดยสารได้เยอะที่สุด, เพดานโปร่ง

• สเปค: ภายในถูกดัดแปลงเป็น "เบาะ VIP 3 แถว 9 ที่นั่ง" (ไม่รวมคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า)
• ข้อดี:
  • ความสบายสูงสุด: เบาะ VIP ขนาดใหญ่ให้ความสบายในการเดินทางที่เหนือกว่าเบาะมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกล
  • ความเป็นส่วนตัว: การจัดวางเบาะ 3 แถว ทำให้มีระยะห่างระหว่างผู้โดยสารที่พอเหมาะ
• น้ำหนักบรรทุก/ความจุ: เน้นการรองรับผู้โดยสาร 9+2 ท่านด้วยความสบายสูงสุด

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ชุดเบาะ VIP	เบาะ VIP ขนาดใหญ่ 3 แถว จำนวน 9 ที่นั่ง พร้อมรางเลื่อนและติดตั้ง	80,000 - 120,000 บาท
2. ทีวีเพดาน	จอพับเก็บได้สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง	10,000 - 15,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		90,000 - 135,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 11 - 13 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2019): 1,221,000 บาท

สำหรับ Toyota Hiace 3.0 COMMUTER ปี 2019 พร้อมเบาะ VIP คันนี้ ในราคา 739,000 บาท ถือเป็น "รถตู้ VIP สภาพใหม่ ในราคาที่คุ้มค่ามาก"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 739,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่ (รถเปล่า): 1,221,000 บาท
• บวก ค่าตกแต่ง (ประเมินขั้นต่ำ): 90,000 บาท
• ต้นทุนรวมเมื่อทำใหม่: ~1,311,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนรวมไปถึง 572,000 บาท หรือลดลงกว่า 43%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 2.5 ลิตร VGS Turbo 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร
• เกียร์: ธรรมดา 6 สปีด ทนทาน บำรุงรักษาง่าย
• โครงสร้าง: แชสซีส์เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully-Boxed Frame) แข็งแกร่งที่สุดในตลาด
• ดีไซน์: โฉม Minorchange ปี 2021 กระจังหน้า Interlock ดีไซน์ใหม่ ดุดัน
• รุ่นย่อย: SL รุ่นมาตรฐานสำหรับงานหนักโดยเฉพาะ

แกร่งที่สุดด้วยแชสซีส์เหล็กกล้าชิ้นเดียว

นี่คือ DNA ของ Navara ที่ไม่มีใครเทียบได้ โครงสร้างแชสซีส์แบบปิดเต็มเส้น (Fully-Boxed Frame) ให้ความทนทานต่อการบรรทุกหนักและการบิดตัวของแชสซีส์ได้ดีเยี่ยม ทำให้คุณมั่นใจได้เต็มร้อยเมื่อต้องใช้งานสมบุกสมบัน

---

ขุมพลัง YD25 ที่ไว้ใจได้

เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร บล็อกนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ทำให้มีกำลังฉุดลากที่ดีเยี่ยมแม้บรรทุกเต็มพิกัด เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง, เกษตรกรรม หรืองานขนส่งทุกรูปแบบ

---

เกียร์ธรรมดาเพื่อคนทำงาน

สำหรับงานบรรทุกหนัก เกียร์ธรรมดาคือคำตอบที่ดีที่สุดในเรื่องความทนทาน, การบำรุงรักษาที่ง่ายและประหยัด และการส่งถ่ายกำลังที่ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ด้วยเกียร์ธรรมดาที่สามารถควบคุมรอบเครื่องยนต์ได้ตามต้องการ ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองที่ดี เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13 - 15 กม./ลิตร

Nissan Navara SL คันนี้คือ "ตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด" สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการรถกระบะปีใหม่ๆ ในงบประมาณที่จำกัด คุณจะได้รถโฉมล่าสุดที่มีหัวใจสำคัญคือความแข็งแกร่งของแชสซีส์และเครื่องยนต์ที่ทนทาน โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้กับออปชันที่ไม่จำเป็นต่อการทำงาน

การได้เป็นเจ้าของรถปี 2021 ที่มีโครงสร้างแข็งแกร่งที่สุดในตลาด ในราคาเพียงสามแสนกว่าบาท ถือเป็นความคุ้มค่าอย่างยิ่ง นี่คือรถกระบะที่จะเป็นเครื่องมือทำมาหากินที่ซื่อสัตย์, แข็งแกร่ง และพร้อมจะสร้างผลกำไรให้ธุรกิจของคุณ

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 4JK1-TCX, 2.5 ลิตร (2,499 ซีซี) VGS Turbo
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลังยกสูง (Hi-Lander)

ความทนทานและไว้ใจได้:

Isuzu เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในด้านความทนทานของเครื่องยนต์และโครงสร้างแชสซีส์ สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน มีปัญหาจุกจิกน้อย

เครื่องยนต์ 2.5 VGS Turbo:

ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยม มีพละกำลังที่สมดุล และให้ความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ

• ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างยอดเยี่ยม: เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ดีเซลที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในยุคเดียวกัน
• ความทนทานและเชื่อถือได้: เป็นเครื่องยนต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง ไม่จุกจิก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
• สมรรถนะที่ตอบสนองได้ดี: ระบบเทอร์โบแปรผัน (VGS Turbo) ช่วยให้เครื่องยนต์มีพละกำลังที่ตอบสนองได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

ช่วงล่างที่นุ่มนวล:

Hi-Lander ให้ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล เกาะถนนดี เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเดินทางไกล

• ช่วงล่างด้านหน้าที่นุ่มนวลและควบคุมง่าย: ใช้ระบบกันสะเทือนอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) พร้อมคอยล์สปริง
• ช่วงล่างด้านหลังที่แข็งแกร่งและทนทาน: ใช้ระบบแหนบ (Leaf Spring) ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถกระบะที่เน้นการบรรทุก

รุ่น Z ออปชันครบ:

เป็นรุ่นท็อปในสาย 2.5 ลิตร ที่ให้ออปชันมาครบครันที่สุดจากโรงงาน

• ภายนอกที่ดูดีและมีสไตล์: มาพร้อมกับชุดตกแต่งโครเมียมที่กระจังหน้า, กรอบไฟตัดหมอก, และกระจกมองข้าง
• ภายในที่สะดวกสบายและทันสมัย: ระบบเครื่องเสียงได้รับการอัปเกรดให้มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และอาจมาพร้อมจอแสดงผล
• ออปชันความปลอดภัยและความสะดวกที่ครบครัน: ติดตั้งระบบเบรก ABS / EBD, กระจกไฟฟ้า และเซ็นทรัลล็อก

คุณสมบัติ	S (เริ่มต้น)	Z (รุ่นนี้)	Z-Prestige (ท็อปสุด)
ราคาเปิดตัว	~6xx,xxx บาท	~728,000 บาท	~788,000 บาท
ไฟหน้า	มัลติรีเฟล็กเตอร์	โปรเจคเตอร์	โปรเจคเตอร์
ล้ออัลลอย	16 นิ้ว	16 นิ้ว	17 นิ้ว
เครื่องเสียง	วิทยุ CD พื้นฐาน	วิทยุ CD/DVD	DVD พร้อมจอสัมผัส + Navigator
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น, ทนทาน	คุ้มค่า, ออปชันครบ	หรูหราที่สุด, ออปชันเต็ม

หัวข้อนี้ไม่สามารถใช้ได้กับรถยนต์ประเภทนี้

นี่คือหัวใจที่ทำให้รถคันนี้โดดเด่นและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องเสียง

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ชุดเครื่องเสียงเต็มระบบ	ตู้ลำโพงซับวูฟเฟอร์, ลำโพงกลาง-แหลม, เพาเวอร์แอมป์, Pre-amp	80,000 - 150,000+ บาท
2. เบาะแต่ง (Bride)	เบาะนั่งแบบ Semi Bucket Seat จาก Bride Japan	30,000 - 50,000 บาท
3. ล้อแต่งและยาง	ล้ออัลลอยแต่งลาย Volk Racing TE37 พร้อมยาง	20,000 - 35,000 บาท
4. ฝากระโปรงและฝาท้าย	ติดตั้งงานหุ้มเคฟลาร์ (Carbon Fiber Wrap)	10,000 - 20,000 บาท
5. การโหลดเตี้ย	ปรับแต่งช่วงล่างให้โหลดเตี้ยลง	15,000 - 50,000 บาท
6. ชุดวัดค่าต่างๆ	เกจวัดรอบและบูสต์เทอร์โบ ยี่ห้อ Defi และอื่นๆ	10,000 - 30,000 บาท
7. พวงมาลัย	คอพวงมาลัยแต่งดีไซน์สปอร์ตจาก K-T Racing	2,000 - 5,000 บาท
8. แป้นเหยียบ	ชุดแป้นเหยียบแต่ง	1,000 - 3,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		168,000 - 343,000+ บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2012): 728,000 บาท

สำหรับ Isuzu D-MAX 2.5 Space Cab Hi-Lander Z ปี 2012 พร้อมชุดเครื่องเสียงเต็มระบบ คันนี้ ในราคา 319,000 บาท ถือเป็น "รถสำหรับสายบันเทิง ที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 319,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 728,000 บาท
• บวก ค่าตกแต่ง (ประเมินขั้นต่ำ): 168,000 บาท
• ต้นทุนรวมเมื่อทำใหม่: ~896,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนรวมไปถึง 577,000 บาท หรือลดลงกว่า 64%!

• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร MZR 103 แรงม้า ทนทาน ไม่จุกจิก
• เกียร์: อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมโหมด Hold
• รุ่นพิเศษ: Elegance Limited Edition พร้อมชุดแต่งสเกิร์ตรอบคันและสปอยเลอร์หลัง
• การขับขี่: ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ขับสนุกและมั่นใจ
• ความสะดวกสบาย: เบาะหนัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, กุญแจรีโมท

ขับสนุก...สไตล์ Zoom-Zoom

นี่คือ DNA ที่ทำให้ Mazda 2 แตกต่างจากรถในระดับเดียวกัน ด้วยการเซ็ตช่วงล่างที่หนึบแน่นและพวงมาลัยที่ตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้การขับขี่ในเมืองมีความคล่องตัวสูง และการเข้าโค้งบนถนนต่างจังหวัดทำได้อย่างมั่นใจ

---

หล่อกว่าใครด้วยชุดแต่ง Limited Edition

ความพิเศษของรถคันนี้คือการตกแต่งที่มาจากโรงงาน ทั้งสเกิร์ตหน้า, สเกิร์ตข้าง, สเกิร์ตหลัง และสปอยเลอร์ ทำให้ตัวรถดูสปอร์ตและมีมิติมากกว่ารุ่นปกติ เป็นความสวยงามที่ลงตัวโดยไม่ต้องไปแต่งเพิ่ม

---

ทนทาน ดูแลง่าย

ด้วยความเป็นรถญี่ปุ่น เครื่องยนต์และระบบเกียร์ของ Mazda 2 รุ่นนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกกวนใจ ทำให้มีค่าบำรุงรักษาต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสบายใจในการใช้งานระยะยาว

Mazda 2 Elegance Limited Edition คันนี้คือ "ตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด" ในงบประมาณสองแสนต้นๆ คุณจะได้รถยนต์นั่งที่ "ครบเครื่อง" ทั้งในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน, รูปลักษณ์ที่ดูดีมีสไตล์ด้วยชุดแต่งพิเศษ, ความทนทานที่ไว้ใจได้ และออปชันที่เพียงพอต่อการใช้งาน

ในราคาที่ถูกกว่ารถ Eco-Car มือสองบางรุ่น แต่ได้สมรรถนะและอารมณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ทำให้รถคันนี้เป็นความคุ้มค่าที่หาได้ยาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นรถคันแรกที่จะสร้างความประทับใจในการขับขี่ให้กับคุณครับ