ใครๆก็ทำกัน!! 5 พฤติกรรมมอเตอร์ไซค์มักจะทำผิดกฎจราจรจนชินตาพร้อมค่าปรับ

ในปัจจุบันคนไทยหันมาใช้รถจักรยานยนต์กันมากขึ้นเพราะด้วยความรวดเร็วและสะดวกสบายในการเดินทาง และคล้องตัวกว่ารถใหญ่ อีกทั้งอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันก็ประหยัดกว่ารถใหญ่ แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกกับความปลอดทั้งตัวเองและคนอื่นที่ร่วมทาง เพราะในปัจจุบัน ผู้ใช้รถจักรยานยนต์หลายๆคน เกิดความหละหลวมวินัยทางจราจรโดยมักจะเจอคำกล่าวอ้างว่า “ใครๆก็ทำกัน” จึงทำให้เราเห็นภาพการกระทำผิดจนชินตา วันนี้เรามาดูกันครับว่า 10 ค่าปรักพฤติกรรมที่รถจักรยานยนต์มักจะทำผิดกฎจราจรจนชินตามีอะไรบ้าง

1. ขับขี่ย้อนศร
การขับขี่ย้อนศร เป็นพฤติกรรมที่เราเห็นจนชินตามาอย่างช้านานคู่กับคนไทย โดยคำอ้างที่ว่า “ใกล้ๆ แค่นี้เอง” จึงเป็นสาเหอันที่จริงแล้วการขับขี่ย้อนศรนั้นอันตรายถึงชีวิต หากคุณไม่ระวังทางปกติ ให้ดีอาจจะเกิดการชนประทะตรงๆ จากรถที่วิ่งมาทางปกติ โดยการขับรถย้อนศรนั้นทางกฎหมายได้ระบุความผิดและค่าปรับไว้ดังนี้

  • การขับรถย้อนศร ถือมีความผิดตามมาตรากฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ตามมาตรา 41 ที่ระบุไว้ว่า ให้ผู้ขับขี่ขับรถไปตามทางที่กำหนดไว้เท่านั้นห้ามขับรถย้อนศร หรือสวยเลน หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท นอกจากนี้การขับรถย้อนศรยังมีสิทธิ์รับโทษสถานหนักถึงขึ้นติดคุก หลังได้มีการเพิ่มข้อหาโดยการขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 10,000 บาท

2. ขับขี่บนทางเท้า

พฤติกรรมการขับขี่บนทางเท้าเป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่คุ้นชินและพบเห็นกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเส้นทางที่มีททางกลับรถที่ไกลหรือทางที่มีรถติดประจำ นอกจากเราจะเห็นการวิ่งสวนทางย้อนศรแล้ว ก็มักจะเห็นพฤติกรรมการหลบเลี่ยงรถติดโดยการหนีมาวิ่งบนทางเท้าเป็นประจำอีกด้วย โดยเป็นอันตรายต่อผู้เดินทางเท้า และยังสร้างความรำคาณหรือบางครั้งมีการทะเลาะวิวาทกับผู้ที่เดินทางเท้าให้เห็นตามโซเชี่ยล ความผิดกรณีนี้ก็มีค่าปรับเช่นกันนะครับ

  • โดยขับขี่บนทางเท้า นั้นมีความผิดตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดกำหนดโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 5,000 บาท โดยการจอดรถบนทางเท้า ได้ปรับกฎหมายให้เข็มงวดขึ้นแล้ว จาก เคยอยู่ที่ 1,000 บาท ปัจจุบันได้เป็น 2,000 บาท เมื่อรู้กันแบบนนี้แล้วสำหรับคนที่จะขับขี่บนทางเท้าก็ลองทบทวนใหม่นะครับว่าเลือกที่จะ เสียค่าน้ำมันไม่กี่ 10 บาท หรือจะเสียค่าปรับ 2,000 บาทนะครับ

3. กลับรถในที่ห้ามกลับ

กลับรถในที่ห้ามกลับ คุณอาจจะเห็นได้ตามถนนเส้นทางยาวๆ และมีที่ห้ามกลับโดยบังคับด้วยป้ายห้ามกลับ หรือมีการกั้นเส้นทางกลับด้วยแบริเออร์ เพื่อความปลอดภัยสำหรับรถทางตรงที่มีความเร็วสูงหรือถนนแคบ สำหรับคนพื้นที่ในบางพื้นที่ก็มีการละเมิดอยู่บ่อยครั้งจนเป็นเรื่องที่ทำทุกๆวัน อาจจะทำให้ผู้ใช้เส้นทางตรงอาจจะประสปอุบัติเหตุการเฉี่ยวชนขึ้นได้

  • โดยโทษสำหรับการกลับรถในที่ห้ามกลับ ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา53 กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เลี้ยงรถมหรือกลับรถ ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายห้ามเลี้ยวขวา ห้ามเลี้ยวซ้ายหรือห้ามกลับรถ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายให้กลับรถในเวณดังกล่าว หากฝ่าฝืน มีโทาปรับ 400-1,000 บาท เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็แนะนำให้กลับรถในที่ควรกลับเถอะนะครับ เพราะด้วยความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นอีกด้วย

4. ใช้ทางหลัก (ที่มีป้ายห้าม)

ขับขี่จักรยานยนต์ใช้ทางหลักหรือที่เราเรียกกันว่าทางคู่ขนานอันที่จริงแล้ว โดยส่วนใหญ่ทางหลักจะพบเห็นในเขตเมือง และมีไว้สำหรับรถยนต์ที่ทำความเร็ว และลดการจราจรหนาแน่น เพื่อให้รถมีความคล่องตัวมากขึ้น และลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุของรถมอเตอร์ไซด์ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายว่ารถยนต์

  • โดยโทษของการฝ่าฝืนการใช้ทางหลักสำหรับรถจักรยานยนต์ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 35 มีโทษปรับตั้งแต่ 400-1000 บาท ตำรวจมีสิทธิ์จับกุมได้ทันที และนอกจากนั้นหากมอเตอร์ไซด์เกิดอุบัติเหตุบนช่องทางหลัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพิจารณาตามความผิดตามลักษณะการเกิดเหตุด้วย

5. ฝ่าฝืนเลี้ยวซ้ายหยุดรอสัญญาณไฟ

ป้ายเลี้ยวซ้ายหยุดรอสัญญาณไฟจะต้องสังเกตุให้ดีเพราะต้องยอมรับว่า บางครั้งเล็กจนมองแทบไม่เห็นไม่ใช่แค่จักรยานยนต์เท่านั้น แต่รถยนต์ก็มักจะละเมิดสิ่งนี้กันจนเป็นเรื่องปกติ แต่อันที่จริงแล้วมันมีวิธีสังเกตหากคุณไม่พบป้าย หากเสนซ้ายสุดนั้นมีเส้นทึบก่อนทางเลี้ยว ก็เท่ากับว่าห้ามเลี้ยวซ้ายทันที โดยจะต้องหยุดรอสัญญาณไฟเขียวก่อนนั่นเอง

  • ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก มาตรา 22 มีการบัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่สัญญาณจราจรแสดงไฟสีเหลืองอำพัน ให้ผู้ขับขี่ต้องเตรียมตัวหยุดหลังเส้นให้รถหยุดเพื่อเตรียมปฎิบัติตามสัญญาณที่จะปรากฎต่อไป
  • ในกรณีฝ่าไฟเหลือง นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ คำตอบนั้นจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำวจจราจร หากมองว่าเป็นการจงใจเหยียบคันเร่งเมืื่อเห็นสัญญาณไฟเหลืองก็สามารถลงโทษปรับ ซึ่งเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก มาตรา 22 คือ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
  • ในกรณี ไฟแดง ถ้าฝ่าสัญญาณไฟแดงเจอโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

เมื่อรู้ค่าปรับกับความปลอดภัยแบบนี้แล้ว เราก็ควรมาตระหนักกันให้มากยิ่งขึ้นว่าเดิมเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของค่าปรับ แต่มันหมายถึง ชีวิตเพื่อนร่วมทางที่เราควรจะคำนึง

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม


พัฒนาไปอีกขั้น Leapmotor เปิดตัวแบตเตอรี่ CTC รวมเข้ากับตัวถัง เพิ่มเนื้อที่

Leapmotor ได้เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ CTC (Cell To Chassis) อย่างเปิดทางการ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รวมเซลล์แบตเตอรี่เข้ากับโครงสร้างของตัวถังแชสซีรถเท่านั้น แต่ช่วยปรับปรุงในเรื่องของพื้นที่ตัวถังให้ได้ดียิ่งขึ้น และพร้อมติดตั้งใช้ในรถยนต์ Leapmotor C01 ใหม่ที่จะมีขึ้น

Leapmotor ระบุว่าทางเทคนิค CTC จะช่วยลดในเรื่องชิ้นส่วนต่างๆ ลดลงถึง 20% และลดต้นทุนในโครงสร้างถึง 15% เพิ่มพื้นที่เค้าโครงแบตเตอรี่ 14.5% และเพิ่มพื้นที่ของตัวถัง 10 มม. ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนแต่ยังปรับปรุงพื้นที่และประสิทธิภาพความทนทานของตัวรถ

แม้ว่าเทคโนโลยี CTC จะมีข้อดีในการลดน้ำหนักของรถทั้งคันและปรับปรุงความจุของแบตเตอรี่โดยรวม แต่โซลูชั่นนี้จะทำให้ผู้ขับขี่เหมือนกับนั่งอยู่บนก้อนแบตเตอรี่โดยตรง ทำให้มีการกำหนดของความปลอดภัยโครงสร้าง และการจัดการความร้อนของแบตเตอรี่

ด้วยเหตุนี้ทาง Leapmotor และ China Automoble Cenntor ได้ทดสอบความฝืดของแรงบิดตัวรถโดยค่าความแข็งที่วัดได้ของทั้งรถจะเพิ่มขึ้น 25% ซึ่งสามารถปรับปรุงขีดจำกัดความปลอดภายจากการกระแทก การชน ความร้อนจากเพลิง การตกและการบีบอัด

นอก จากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ CTC แล้ว Leapmotor C01 ยังติดตั้งระบบการจัดการแบตเตอรี่อัจฉรียะ Leapmotor Al BMS เพื่อปรับปรุงอายุการใช้งาน และความปลอดภัย ของ ระบบแบตเตอรี่ด้วยการตรวจจับแบบออนไลน์

สำหรับ Leapmotor C01 จะถูกวางตำแหน่งในรูปแบบของ ซีดานไฟฟ้าตั้งแต่ขนาดกลางจนไปถึงขนาดใหญ่ที่มีความยาว 5 เมตร ความจุแบตเตอรี่ 90 kWh และ สามารถวิ่งได้ไกลถึง 700 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

BMW New 7 Series ปี 2023 พรีเมี่ยมคาร์ไฟฟ้า 536 แรงม้า เปิดตัวครั้งแรกที่ Olympiapark

เปิดตัวรถหรูแบรนด์ใบพัดฟ้าขาว ให้ทั่วโลกได้ยลโฉม BMW New 7 Series และ i7 รุ่นใหม่ยังดำเนินต่อไปตามสถานที่สำคัญ วันนี้ ด้วยภาพจากข่าวล่าสุดได้เปิดตัวที่ Olympiapark เป็นสถานสำคัญใจกลางเมืองมิวนิก โดยสองรุ่นที่ได้นำเสนอ ได้แก่ BMW New 760i และ BMW New i7 xDrive60 Electric ขับเคลื่อนด้วยพลังมอมเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลังสูงสุดถึง 536 แรงม้า และแรงบิด 549 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 549 ปอน์ด-ฟุต ซึ่งมีแรงม้าเท่ากับ BMW 760i ตามข้อมูลของ BMW อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถ ทำได้ภายในเวลา 4.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 149 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัวนี้เป็นระบบการขับเคลื่อน สี่ล้อแบบเวกเตอร์ได้พลังงานจากชุดแบตเตอรี่ 101.7 kWh และ สามารถทำระยะทางได้ถึง 300 ไมล์เลยทีเดียวโดยอ้างอิงตามการทดสอบของ EPA ในภาพเราจะเห็นทั้ง รุ่น Series 7 ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเครื่องยนต์สันดาบ และ ระบบไฟฟ้า โดยทั้งสองรุ่นนี้ จะมีทั้งสีเทาอ่อนและสีดำ BMW Series 7 เจเนเรชั่นที่ 7 นี้

ในรุ่นเครื่องยนต์สันดาบอย่าง BMW 760i ที่วางเครื่องยนต์ V8 Twinturbo ขนาด 4.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 536 แรงม้า แรงบิดถึง 750 นิวตันเมตร หรือเท่ากัย 553 ปอน์ด-ปุต ใช้เวลาเพียงแค่ 4.2 วินาทีในการไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและความเร็วที่ถูกล๊อคเอาไว้ก็อยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เรียกว่ามาคราวนี้ แฟนๆรุหรูอาจจะดูคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะการเล่นสีเทาแบบทูโทนทำให้ดูเหมือนกับ Rolls Royce เท่านั้น แต่เอาเอกลักษณ์ประตูไฟฟ้าอัตโนมัติมาด้วย แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าหากคุณไม่ชอบสีทูโทนก็สามารถเลือกสีแยกส่วนจากโรงงานได้แต่อาจจะเพื่มในเรื่องของค่าใช้จ่ายราวๆ 12,000 ยูโร เลยทีเดียว

อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

วิธีแก้ปัญหารอยบุบของรถด้วยตัวเอง

อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ใช้รถ คงเลี่ยงไม่ได้ บางทีอาจจะเกิดจากการกระแทกของรถเข็นตามห้างสรรพสินค้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จนเกิดเป็นรอยบุบเล็กๆน้อยๆ หรืออาจะขับรถภายในหมู่บ้านแล้วไม่ทันได้เห็น เกิดการกระแทกกับต้นไม้จนเป็นรอยบุบเล็กๆที่กันชน ก็สามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1.หัวจุ๊บแบบต่างๆ

2.ไม้ดูดส้วม

3.น้ำร้อน

4.ไดรร้อน หรือ ไดรเป่าผม

5.กาวยางร้อนแบบแท่ง

รอยบุบที่เกิดขึ้นนั้นมีหลายแบบทั้ง รอยบุบแบบกว้าง รอยบุบแบบมุม

รอยบุบแบบกว้าง

ถ้าหากคุณไม่รังเกียดที่จะใช้ไม้ดูดส้วมที่บ้านใช้อยู่ก็สามารถนำมาใช้ได้นะครับแต่ถ้าหากรังเกียดก็ซื้อใหม่ก็ได้ครับ เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการเตรียมน้ำร้อนมาราดตรงรอยบุบให้ชุ่ม จากนั้นนำไม้ดูดส้วมที่สะอาดแล้วนำมาดูดตรงตำแหน่งรอยบุบแล้วค่อยๆกระแทกออกแรงกระตุกให้รอยบุบนั้นคืนตัว ทำแบบนี้ซ้ำๆจนกว่ารอยนั้นจะตื้นขึ้น

รอยบุบที่มุม หรือรอยตามลายเส้นของตัวถัง

รอยบุบแบบมุมนั้นค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับการแก้ไขเบื้องต้น เริ่มต้นจากการทำแบบรอยบุบแบบมุมกว้าง จนกว่ารอยจะตื้นขึ้น แล้วทำการใช้ไดรร้อนหรือไดรเป่าผมเป่าที่บริเวณรอยรักยิ้มให้มีความร้อนเพื่อทำให้เนื้อพลาสติกหรือเหล็กนุ่มลง (กรณีใช้ไดรร้อนไม่ควรเป่าจ่อหรือจี้นานๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยไหม้ได้) แล้วใช้ตัวจุ๊บดึงให้รอยตื้นขึ้นทำแบบนี้ไปเรื่อยๆซ้ำ หากเจอรอยจิก อาจจะต้องใช้กาวยางแท่งรนไฟแล้วดึง

กรณีที่เก็บรอยคราบกาวยางออกจากสีหลังทำให้ใช้ไดรร้อนเป่าให้กาวละลายแล้วเช็ดด้วยผ้าค่อยๆทำจนกว่ารอยคราบกาวจนหมด

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ เป็นเพียงการแก้ปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น อาจจะไม่ได้ผล 100% แต่ก็พอจะทำให้ลดความเสียหายลงได้ ฉะนั้นก่อนที่จะลงมือทำแนะนำให้ทำเรื่องการส่งเคลมกับประกันให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วจึงเริ่มจัดการครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

รถโดนชน ในเขตห้ามจอดรถใครผิด?

ทุกวันนี้การขับรถบนท้องถนน เราจะเจอผู้กระทำความผิด อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการกลับรถในที่ห้ามกลับ หรือ แม้กระทั่งการจอดหรือหยุดรถชั่วคราวในที่ที่ห้ามหยุด

ซึ่งในบางกรณีนั้นก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกันครับ ว่าหากเกิดอุบัติเหตุจากการที่จอดอยู่เฉยๆแล้วมีรถมาเฉี่ยวชน ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายผิดและใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

พื้นที่ตรงไหนบางที่ที่เป็นเขตห้ามจอดรถ

ในปัจจุบันผู้ใช้ถนนมีความไม่เข้าใจ หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ ที่อนุญาตให้จอดรถ เราจะเห็นภาพการจอดเพื่อลงไปซื้อของ หรือทำธุระต่างๆ อยู่บ่อยครั้งซึ่งตามลักษณะนี้ มีทั้งถูกกฎหมายและทั้งผิดกฎหมาย ดังนั้นเราลองมาดูกันครับว่า บริเวณใดบ้างที่ห้ามจอดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 57 ได้ระบุพื้นที่และบริเวณห้ามจอด ไว้ดังนี้

1. บนทางเท้า

2. บนสะพานหรือในอุโมงค์

3. ในทางร่วมทางแยก หรือในระยะ 10 เมตร จากททางร่วมทางแยก

4. ในทางข้ามหรือระยะ 3 เมตรจากทางข้าม

5. ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามจอด

6. ในระยะ 3 เมตร จากท่อน้ำหัวดับเพลิง

7. ในระยะ 10 เมตร จากทที่ติดตั้งสัญยาณจราจร

8. ในระยะ 15 เมตรจากทางรถไฟผ่าน

9. จอดรถซ้อนกับรถคันอื่นที่จอดก่อนอยู่แล้ว

10. ตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือ ทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตร จากปากทางเดินรถ

11. ระหว่างเขตปลอดถัยกับขอบททาง หรือในระยะ 10 เมตรนับจากปลายสุดของเขต

12. ในที่คับขัน

13. ในระยะ 15 เมตรก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง และ เลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร

14. ในระยะ 3 เมตรจากตู้ไปรษณีย์

15. ในลักษระการกีดขวางทางการจราจร

หากรถยนต์หรือยานพาหนะต่างๆจอดหรือได้หยุดรถในพื้นที่ดังกล่าว จะต้องมีความผิดตามกฎหมายต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 โดยเจ้าหน้าที่สามารถเคลื่อนย้ายรถให้พ้นพิ้นที่ดังกล่าว หรือใส่เครื่องบังคับห้ามเคลื่อนย้ายซึ่งเจ้าของรถยนต์คันนั้นๆ จะต้องไปดำเนินการเสียค่าปรับให้เรียบร้อยเจ้าหน้าที่จึงจะทำการปลดล๊อกเครื่องบังคับห้ามเคลื่อนย้าย หรือสามารถรับรถกลับได้

หากถูกรถชน ขณะที่กำลังจอดอยู่ในที่ห้ามจอด ใครจะเป็นฝ่ายผิด

หากคุณกำลังจอดรถในที่ที่ห้ามจอด เช่น บริเวณทางเท้า ออกทางเข้าออกประจำ หรือ ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามกำกับไว้อย่างชัดเจนแล้วผู้ที่จอด กำกับไว้ชัดเจนผู้ที่จอดรถขวางเส้นทางหรือเขตห้ามจอด จะถูกปรับ ในกรณีจอดในบริเวณไม่เหมาะสม หรือ พื้นที่ห้ามจอดต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 500 บาท

ส่วนฝ่ายที่ขับชนก็จะต้องชดใช้ตามความผิด ขับรถโดยประมาณ ไม่ระมัดระวังการใช้รถและเป็นการททำลายทรัพย์สินผู้อื่น ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับรถคันที่จอดอยู่นั่นเอง

กรณีนี้อาจจะดูไม่เป็นธรรมสำหรับรถคันที่ขับมาชนรถในพื้นที่ห้ามจอด แต่ถ้าหากเราเริ่มต้นจากความไม่ประมาท มีสติและใช้ความเร็วอย่างเหมาะสม แม้จะเจอรถที่จอดขวางในบริเวณห้ามจอด หรือจุดอับสายตาก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจนเกิดความเสียหายได้อย่างไรก็ตามการปฎิบัติตามกฎจราจรก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญนะครับ


อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

“กูไม่เบรคนะ ไม่เบรคนะ” เสียงจากกล้องหน้ารถ จากถูกก็เป็นฝ่ายผิดได้


ในปัจจุบัน กล้องบันทึกภาพนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะ หลักฐานที่ใช้ประกอบการฟ้องร้องหรือการต่อสู้คดี นอกจากพยานปากเปล่า จากผู้เห็นเหตุการณ์แล้วอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการให้เหตุการณ์ ฉะนั้นกล้องหน้ารถยนต์บันทุกภาพนั้นจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อรูปคดีต่างๆเป็นอย่างมาก


กล้องหน้ารถมีประโยชน์อย่างไร?
นอกจากจะเป็นการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆจากผู้ไม่หวังดีแล้ว กล้องหน้ารถยังสามารถช่วยบันทุกเส้นทางการเดินทางได้อีกด้วย โดยกล้องบางรุ่นก็ยังสามารถเชื่อมต่อ GPS เพื่อป้องกันการโจรกรรมและสามารถบอกเส้นทางที่รถของเรานั้นกำลังอยู่ที่ใดเพื่อง่ายต่อการติดตามให้การช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ได้อีกด้วย

จากเหตุการณ์ผู้ใช้รถยนต์รายหนึ่ง ที่กำลังเป็นกระแสบนโซเชี่ยล “กูไม่เบรคนะ ไม่เบรคนะ” เสียงบันทึกภาพจากกล้องหน้ารถนั้นมีผลต่อรูปคดีเพราะมีการจงใจ ยืนยันการทำผิดของตนเองอย่างชัดเจน กลายมาเป็นการประมาทร่วมโดยทันที เพราะพฤติกรรมของเจ้าของคลิปนั้น มีการสื่อสารด้วยเสียงด้วยกล้องว่ามีการจงใจชนอย่างชัดเจน ฉะนั้นทางเจ้าหน้าที่สามารถเอาผิดได้ทั้ง 2 ฝ่าย เช่นกัน

เรียกว่า จากเหตุการณ์นี้ อาจจะเป็นบททเรียนครั้งสำคัญสำหรับคนในคลิป จากที่เป็นฝ่ายเสียหาย ก็กลายมาเป็นฝ่ายผิดอีกด้วยนะครับ

ฉะนั้น การติดกล้องหน้ารถนั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการขับขี่บนท้องถนนในยุคนี้ นอกจากจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเพื่อรักษารูปคดีแล้ว ยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในเรื่องของการบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ อื่นอีกด้วย

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

ป่วยบ่อยไม่ต้องสงสัย แหล่งสะสมสิ่งสกปรก และ อุปกรณ์รถยนต์ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง

หากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดรถยนต์อยู่บ่อยๆ ภายในรถยนต์ของเรานั้นมีหลายส่วนที่เก็บสิ่งสกปรกไว้มากมาย ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่รักสุขภาพต้องหันมามองหน่อยแล้วครับ สำหรับคนที่ใช้รถอยู่บางท่านอาจจะมีอาการป่วยบ่อย ทั้งภูมิแพ้ และมีน้ำมูก วันนี้ผมจะมาบอกอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณป่วยบ่อยกับการใช้รถกันครับ

1.อุปกรณ์ภายในรถยนต์เก็บฝุ่น

ภายในรถยนต์ของเรานั้น มีอุปกรณ์ภายในรถหลายๆส่วนที่สามารถเก็บสิ่งสกปรกฝุ่นหรือน้ำหมักหมม เป็นระยะเวลานานๆ หากเมื่อสิ่งเหล่านั้นแห้ง เมื่อเราขยับก็อาจจะทำให้ฟุ้งลอยขึ้นมาอยู่ในอากาศ และเราก็หายใจเข้าสู่ร่างกายได้มาดูครับว่ามีส่วนไหนบ้าง ที่ควรใส่ใจและทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ

  • พรมรองพื้น พรมรองพื้นหรือพรมปูพื้นที่เป็นวัสดุผ้า หรือฟูกนั้นไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่งเพราะนอกจากจะเก็บความชื้นแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆที่เราเหยียบย่ำมาจากข้างนอก เมื่อพรมแห้งก็จะเกิดการกระจายตัวของเชื้อโรคเพราะแอร์ของรถจะทำการดูดและ กระจายเชื้อโรคลอยฟุ้ง ฉะนั้นหากใช้พรมรองพื้นเหล่านี้ แนะนำให้ซักล้างตากแดด บ่อยๆนะครับ
  • เบาะนั่ง โดยเฉพาะเบาะผ้าและกำมะหยี่ นั้นก็ถือว่าเป็นแหล่งเก็บฝุ่นชั้นดีอีกเช่นกันเพราะเสื้อผ้าของเราก็เป็นอีกหนึ่งพาหะชั้นดีที่นำพาเชื้อโรคต่างๆมาสะสมไว้ที่เบาะนั่น และ เบาะนั่นก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ซักทำความสะอาดได้ยาก ฉะนั้นพยายามหาน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรือ ผสมน้ำส้มสายชู อัตรา น้ำเปล่า 2 ต่อน้ำส้มสายชู 1 ส่วน ลงกระป๋องสเปรย์ฉีดเพื่อฆ่าเชื้อและลดกลิ่นอับด้วยนะครับ
  • หัวเกียร์ พวงมาลัย ก้านไฟเลี้ยว และสวิทช์ต่างๆ เป็นอีกส่วนที่เราจับต้องอยู่บ่อยๆ โดยบางครั้งเราอาจจะลืมไปเลยว่า เราไม่เคยทำความสะอาดมันเลยซักครั้งเดียว ฉะนั้น พยายามทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบ่อยๆหลังจากใช้งาน เพื่อห่างไกลจากเชื้อโรคนะครับ

2.เครื่องให้ความหอม หรือ น้ำหอมภายในรถยนต์

เครื่องให้ความหอมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงว่า ทำร้ายสุขภาพเราได้อย่างไม่รู้ตัว รู้หรือไม่ว่าสารระเหยที่อยู่ภายในน้ำหอมนั้น มีพิเสนเป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อผู้ใช้มีการสูดดมเข้าไปเป็นเวลานานๆ หรือจำนวนมากๆ ก็อาจจะทำให้วิงเวียนศรีษะตามมาได้

อาการข้างเคียงอื่นๆ เช่นเกิดความระคายเคลือบริเวณดวงตา มีอาการคลื่นใส้จากอาการแพ้หนัก แม้ว่าพิเสนเองจะมีสรรพคุณแก้อาการวิงเวียน แต่เมื่ออยู่ในรถจอดตากแดดมีอุณหถูมิร้อนมาก สรรพคุณเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นพิษต่อร่างกายนั่นเอง

3.การเปลี่ยนกรองแอร์

การเปลี่ยนกรองแอร์รถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งจุดที่ช่วยให้อากาศภายในรถยนต์ของคุณสะอาดได้ระดับหนึ่งแต่ถ้าหากใช้กรองแอร์นานๆแล้วไม่เปลี่ยนอาจจะทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคเช่นกัน เพราะความชื้นในกรองแอร์ บวกกับฝุ่นที่ถูกดูดเข้าไปติดที่กรองแอร์จะทำให้เกิดเชื้อรา และดูดฟุ้งกระจายทั่วห้องโดยสาร ฉะนั้น พยายามตรวจเช็คและเปลี่ยนบ่อยๆนะครับ

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเสียสุขภาพได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นถ้าหากคุณเป็นคนรักสุขภาพคนหนึ่ง จำเป็นจะต้องทำความสะอาดให้สิ่งเหล่านี้ให้สะอาดอยู่เสมอนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

อีโวลท์ เทคโนโลยี จัดกิจกรรม “Evolt’s CSR ชวนชาร์จความสุขให้โลก” 

   

ปลูกป่าและทำไข่เค็มใบเตย ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตอกย้ำภารกิจสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ

8 เม.ย. 65 พูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด (Evolt Technology)  ซึ่งเป็นเทคสตาร์ทอัพสัญาติไทย เปิดเผยว่า กิจกรรม Evolt’s CSR ริเริ่มจากพนักงานในแผนกต่างๆ ของบริษัทร่วมกันคิดโปรเจกต์  ภายใต้ธีม “Evolt’s CSR : ชวนชาร์จความสุขให้โลก” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการโซลูชันขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยจัดกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นในชุมชนบ้านถ้ำเสือ อำเภอแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ปัจจุบัน บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด (Evolt Technology) เป็นผู้นำบริการระบบประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย และดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว อีโวลท์ เทคโนโลยี  พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการ E-Mobility โซลูชันขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของไทย พร้อมนำพาคนไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคตอันใกล้

พลังงานฉลาดช่วยเติมเต็มแนวคิด Ecosystem

ในปัจจุบัน บริษัทเทคสตาร์ทอัพชั้นนำของโลกต่างตระหนักดีว่า เทรนด์ของพลังงานแห่งอนาคต เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ฉลาดกำลังเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การเลือกใช้พลังงานฉลาด (Smart Energy) จะเข้าไปเติมเต็มแนวคิด Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์เร็วขึ้น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพลวัตรทางสังคม ให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป  เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะต้นแบบของเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างเทคโซลูชันที่สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า หรือ E-Mobility ที่ครบวงจร จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ธีมกิจกรรม “Evolt’s CSR : ชวนชาร์จความสุขให้โลก”

ภายใต้แนวคิด ชวนชาร์จความสุขให้โลก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจ (Mission) และความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในบริษัท ในวงจรธุรกิจของอีโวลท์ มุ่งมั่นจะทำให้เกิดความร่วมมือกันเพื่อทำกิจกรรม CSR ตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริการและผลิตภัณฑ์ของเราจึงสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ นับจากเริ่มดำเนินโครงการในปี 2560 จนถึงปัจจุบัน)

       พูนพัฒน์ โลหารชุน กล่าวต่อไปว่า “สำหรับเป้าหมายในอนาคต เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงในการผลักดัน และขยายเครือข่ายความร่วมมือในการทำกิจกรรม CSR ผ่านเครือข่ายธุรกิจ และเครือข่ายพนักงาน พร้อมขยายสู่ชุมชนและสังคม และจะเชิญชวนลูกค้าอีโวลท์และพาร์ทเนอร์ได้มีโอกาสร่วมทำกิจกรรม CSR กับเราในเร็วๆ นี้ พร้อมด้วยกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมอื่นๆ  ให้สำเร็จตามพันธกิจที่เราได้ให้ไว้กับสังคมไทย”

            กิจกรรมดีดีที่ทางอีโวลท์จัดขึ้นในทริปครั้งนี้ มีทั้งสาระและสนุกสนาน ภายใต้ชื่อ “Evolt’s CSR : ชวนชาร์จความสุขให้โลก” ครั้งที่ 1 ณ ชุมชนบ้านถ้ำเสือธนาคารต้นไม้ อำเภอแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยกิจกรรมนี้มีผู้บริหารและพนักงานได้ร่วมกิจกรรม อาทิ

กิจกรรมให้ความรู้ช่วยลดคาร์บอนให้โลก

ต้นไม้ไม่ว่าจะเกิดจาป่าธรรมชาติ สวนป่าหรือต้นไม้ริมทางล้วนมีบทบาทในการดักจับคาร์บอนเริ่มต้นด้วยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศและสร้างอินทรียวัตถุที่ใช้คาร์บอนและเก็บไว้ในส่วนๆ จากลําต้นกิ่งใบและราก “การปลูกป่า” จึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งในเวทีโลกได้กำหนดให้สามารถดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบนพื้นฐานของความสมัครใจภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด  จึงทำให้ผู้บริหารและพนักงานของ อีโวลท์ สามารถสอดแทรกหลักคิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกับพันธกิจของ อีโวลท์ การคิดทำเพื่อนำคนไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน

กิจกรรมยิงเมล็ดพันธุ์พืช คืนต้นกล้าใหม่ให้ชุมชน

เป็นการช่วยอนุรักษ์และปลูกต้นไม้แบบง่ายๆ ด้วย แนวคิดการบรรจุเมล็ดพันธุ์ลงในกระสุนแคปซูลที่ปั้นด้วยดินเหนียว และยิงแคปซูลออกไปในพื้นที่ป่าบริเวณ กว้าง เมื่อแคปซูลเกิดการย่อยสลาย เมล็ดพันธุ์ในแคปซูลจะค่อยๆ เติบโตเป็นต้นกล้า หยั่งรากลึกลงใน ผืนดินและเติบใหญ่เป็นต้นไม้ให้ร่มเงาต่อไป ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและสามารถทำได้ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว

กิจกรรมเรียนรู้การเพิ่มมูลค่าจากภูมิปัญญาชุมชน

เป็นการเรียนรู้วิธีทำไข่เค็มใบเตย นำวัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่นมาแปรรูปและยืดอายุให้ของสดสำหรับรับประทานได้นานยิ่งขึ้น เมื่อทำได้มาตรฐานจะสามารถผลิตไปสู่สินค้าเลื่องชื่อด้วยฝีมือชุมชนน กิจกรรมนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ในการลดละเลิก เพิ่มไอเดียดีๆ ในการสร้างสรรค์

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่

ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปขณะขับรถ มีความผิดคนติดโซเชี่ยลต้องระวังโทษ

การใช้มือถือในขณะขับรถนั้นถือว่ามีความผิด เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน ที่เป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของตัวผู้ขับขี่และทั้งผู้สัญจรร่วมทางเดียวกันนั้นเอง

อันที่จริงแล้ว การใช้มือถือขณะขับรถ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ใช้มือถือในการพูดคุยสื่อสารเล่นโซเชี่ยล ถ่ายคลิป หรือ กระทำสิ่งอื่นๆ ลงโซเชี่ยลต่างๆ ที่เหล่าคนยุคนี้มักจะกระทำให้เห็นจนชินตานั้นก็ถือว่า เป็นกรณีเดียวกันกับการใช้โทรศัพท์มือถือจึงมีโทษในข้อหาเดียวกัน ดังนี้

1.การคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ

การใช้มือถือคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ คือการ มุ่งสมาธิในการควบคุมรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และผู้ใช้โทรศัพท์ก็จะต้องใช้สติส่วนหนึ่งเพื่อสนทนาปลายสายทำให้เกิดการตัดสินใจและนึกคิดที่ช้าลง ทำให้เบรคช้าลง หรือการเลี้ยวช้าลง และ การถือมือถือก็ทำให้สูญเสียมือข้างใดข้างหนึ่งเพื่อที่จะควบคุมพวงมาลัยอีกด้วย จนอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุทั้งตัวเองและผู้อื่นได้

2. การถือโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปขณะขับรถ

การถ่าย VDO หรือการถ่ายคลิปขณะขับรถ ในปัจจุบันสื่อโซเชี่ยลนั้นเข้าถึงเครื่องมือสื่อสาร และ หลายๆคนก็มีค่านิยมการเล่นโซเชี่ยลโดยการถ่ายคลิปหรือ VDO ขณะขับรถ การกระทำพฤติกรรมแบบนี้ก็มีความผิดเช่นกันเพราะการถ่ายคลิ๊ปก็จะทำให้สูญเสียการควบคุมรถ และ สมาธิในการขับรถ มากกว่าการโทรศัพท์ขณะขับรถซะอีกนอกจาก สมาธิต่างๆก็จะไปจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์มากกว่าขับรถ ฉะนั้นหากต้องการถ่ายทำคอนเทน์ต่างๆต้องคำนึงถึงความปลอดภัยหรือไม่ก็ควรเป็นกล้องมีอุปกรณ์เสริมต่างๆเพิ่อความปลอดภัยด้วยนะครับ

การใช้มือถือขณะขับรถนั้น มีความผิดตามกฎหมาย หากฝ่าฝืน บทลงโทษ มีดังนี้

ห้ามใช้โทรศัพท์ ขณะขับรถ ฝ่าฝืนมีความผิด ปรับ 400-1,000 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรรา 43 วรรค 9 รถบุว่าห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสาร อื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่เว้นแต่การใช้โทรศัพท์ เคลื่อนที่โดยการใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น เช่น สมอลล์ทอล์ค หรือ บูลทูธ ทั้งนี้กำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ 400 – 1,000 บาท

การใช้โทรศัพท์ในกรณีรถติดหรือติดไฟแดงนั้นก็ถือว่ามีความผิดทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการกดหมายเลขโทรออก รับสาย หรือเล่นเกม ดูหรือพิมพ์ข้อความ ดูภาพหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่โทรศัพท์สามารถกระทำได้ เพราะได้ถือว่าอยู่ในระหว่างการขับขี่รถยนต์ทุกกรณี ผู้ขับขี่จะต้องมีสมาธิในการควบคุมรถ

หากผู้ใดมีควมจำเป็นจะต้องใช้โทรศัพท์ ให้จ้อดข้างทางในบริเวณที่สามารถจอดได้ หรือทางที่ดีจะให้ปลอดภัยก็ควรจอดในปั้มน้ำมัน หรือทำธุระทางโทรศัพท์ให้เรียบร้อยก่อนออกสู้ถนนอีกครั้งนั้นเอง หรือถ้าหากจะต้องพูดคุยจริงๆก็ควรหยุดรถเพื่อหาทางรับสาย และใช้อุปกรณ์เสริมตามข้อกฎหมายกำหนดแล้วจึงสามารถขับออกสู่ถนนได้นั่นเอง

มื่อเห็นโทษแบบนี้แล้ว มันอาจจะดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ใช่ไหมหละครับ แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคือ ปัญหาและอุบัติเหตุที่ตามมานั้นน่ากลัวกว่าค่าปรับเยอะครับ บางครั้งอาจจะรับผิดชอบไม่ไหวอย่างแน่นอนครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

Lotus ELETRE 2022 เปิดตัวไฮเปอร์ SUV พลังไฟฟ้า 600 แรงม้า

Lotus Eletre 2022 ใหม่ ไฮเปอร์ SUV ขุมพลังไฟฟ้า ที่ทาง Lotus ได้ออกมาบอกว่า มีแรงม้าไม่ต่ำกว่า 600 แรงม้าและสามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม ได้ภายในไม่ถึง 3 วินาที เท่านั้น พร้อมแบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จด้วนเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น และสามารถขับขี่ไกลสูงสุดถึง 400 กิโลเมตร

Lotus Eletre ถูกระบุว่า เป็นรถ Hyper- SUV รุ่นแรกของโลตัส และเป็นหนึ่งใน “Lifestyle EVs” จากจำนวนทั้งหมด 3 รุ่น ที่จะมีการเปิดตัวภายในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยอาศัยแนวทางการออกแบบของโลตัสยุคใหม่เช่นเดียวกันไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า Evija ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ดีไซน์ออกความเป็นเมืองผู้ดี ภายใต้แนวคิด Bron British, Raised Globally และผสมผสานงานออกแบบจากประเทศอังกฤษ และงานด้านวิศวะกรรมจากทีงานออกแบบของ Lotus ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน

ขณะมอเตอร์ไฟฟ้าของ Lotus Eletre ได้มีพละกำลังขั้นต่ำอยู่ราวๆ 600 แรงม้า (HP) ขึ้นไปซึ่งอาจจะดูไม่หวือหวามากนักถ้าเมื่อเทียบกับรถ Hyper-SUV รุ่นอื่นๆ แต่ยังไงทาง Lotus ก็ได้เคลมและการันตีว่า ตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ ก็ยังคงไม่ถึง 3 วินาที อย่างแน่นอน และยังสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าน่าประทับใจทีเดียวสำหรับรถยนต์์ที่มีตัวถังขนาดใหญ่โตแบบนี้


ตัวถังของ Lotus Eletre มีขนาด ความยาวตลอดคันอยู่ที่ 5,103 มม.ซึ่ง และความกว้างจากด้านซ้ายไปถึงด้านขวา รวมกระจกมองข้างแล้วอยู่ที่ 2,231 มม. แต่ถ้าหากติดตั้งกล้องมองภาพด้านข้าง Electric Reverse Mirror Display (ERMD) จะมีความกว้างลดลงเหลือ ราวๆ 2,135 มม. ส่วนความสูงอยู่ที่ 1,630 และความยาวฐานล้อ 3,019 มม.

ดีไซน์ถูกออกแบบให้เป็นรถยกสูง มีลักษณะเป็น รถสปอร์ตยกสูง ซะมากกว่าที่จะเป็นรถ SUV โดยทั่วไป พร้อมด้วยแนวคิด Carved By Air ที่เคยใช้ใน Evija และ Emira โดยเน้นตามหลักของอากาศพลศาสตร์ เพืื่อลดแรงเสียดทางในลดลงมากที่สุด ทั้งยังมีเซนเซอรื LIDAR ใช้สำรหับระบบขับขี่อัตโนมัติ ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้าน ขนาด 23 นิ้ว ที่เสริมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดแรงต้านอากาศ และคาลิเปอร์เบรคแบบ 10-pot

ภายในห้องโดยสารสามารถเลือกได้ทั้งแบบ 4 ที่นั่ง และ 5 ที่นั่งพร้อมหลังคาเป็นแบบ กระจกแบบติดตั้งกับตัวรถ เพื่อความโล่งโปร่งงภายในห้องโดยสาร ทั้งนังเลือกใช้วัสดุไมโครไฟเบอร์ที่ทำจากผ้าขนสัตว์ ซึ่งทำให้น้ำหนักเบาลง 50% เมื่อเทียบกับหนังสัตว์ทั่วไป พร้อมทั้งติดตั้งหน้าจอแบบสัมผัส OLED ขนาดใหญ่ถึง 15.1 นิ้ว สำหรับอินโฟเทนเมนท์ของตัวรถ และหน้าจอ Head-up Display ที่มีเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) เป็นอุปกรณ์มาตราฐานโดยไม่ต้องสั่งการเพิ่ม

นอกจากนี้ ระบบภายใน ยังใส่ใจในด้านระบบ เสียง ที่ติดตั้งชุดเครื่องเสียง KEF Premium จากประเทศอังกฤษพร้อมลำโพงจำนวน 15 ตัว ให้กำลังขับรวมสูงสุด 1,380 วัตต์ หรือจะเลือกอัพเกรดเป็น KEF Reference ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเสียง 3 มิติ และลำโพงถึง 23 ตัว ให้กำลังขับเสียงเซอราวรอบทิศทาง 3,160 วัตต์

จุดเด่นสำคัญอีกหนึ่งอย่าง คือระบบการช่วยเหลือการขับขี่ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ซึ่งอาศัยเทคโนโลยี เซ็นเซอร์ LIDAR ที่สามารถเก็บซ่อน ได้เมื่อไม่ใช้งานประกอยด้วยระบบรักษาความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) ระบบป้องกันการขนด้านหน้า Collisionn Mitigation support Front (CMSF) ระบบช่วงประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Aid with Lane Departure Warning / prevention (LKA+) และระบบผ้องกันการชนจากด้านหลัง Collision Mitigation Support Rear (CMSR)

อ่านข่าวรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม