รถมือสอง ผ่อนไม่เกิน 5000 บาท

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

Toyota CAMRY 2.5 Hybrid DVD (ACV51) (2012)

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 2AR-FXE, 2.5 ลิตร Atkinson Cycle VVT-i + มอเตอร์ไฟฟ้า
• กำลังสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 205 แรงม้า
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ E-CVT
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า
• แบตเตอรี่: Ni-MH (Nickel-Metal Hydride)

2. จุดเด่นและข้อดีของ CAMRY Hybrid (ACV51)

• ความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ: คือหัวใจสำคัญของรุ่นไฮบริด ด้วยการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง
• ความทนทานของระบบไฮบริดโตโยต้า: โตโยต้าคือผู้นำระบบไฮบริด ทำให้ระบบมีความเสถียรสูง ปัญหาจุกจิกน้อย และมีค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูงนัก
• ห้องโดยสารที่กว้างขวางและเงียบสงบ: Camry ขึ้นชื่อเรื่องห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบาย และในรุ่นไฮบริดจะมีความเงียบเป็นพิเศษเมื่อรถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า
• ค่าบำรุงรักษาโดยรวมต่ำ: ชิ้นส่วนอื่นๆ ของ Camry มีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำและหาอะไหล่ได้ง่ายตามมาตรฐานโตโยต้า

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (Camry Hybrid ณ ปี 2012)

4. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 14 - 17 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2012): 1,699,000 บาท

Toyota HILUX REVO 2.8 J Plus (2016) พร้อมเพลาลอย

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: ดีเซล 1GD-FTV, 2.8 ลิตร VN-Turbo
• กำลังสูงสุด: 177 แรงม้า (PS)
• แรงบิดสูงสุด: 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,600 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง
• น้ำหนักที่สามารถบรรทุกได้ ประมาณ 2.5-3.5 ตัน

2. จุดเด่นและข้อดีของ HILUX REVO 2.8

• เครื่องยนต์ 2.8L ที่ทรงพลังและทนทาน: ให้แรงบิดมหาศาลในรอบต่ำ ทำให้มีกำลังในการฉุดลากน้ำหนักมากๆ ได้อย่างสบาย และขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง
• โครงสร้างแชสซีส์แข็งแกร่ง: Hilux มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งของโครงสร้าง ทำให้เป็นพื้นฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับการนำมาดัดแปลงเพื่อการบรรทุกหนัก
• ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษา: เป็นรถตลาดที่หาอะไหล่ง่าย มีค่าบำรุงรักษาไม่สูง และเป็นที่ไว้วางใจของผู้ประกอบการ

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (REVO Single Cab ณ ปี 2016)

ข้อดีของรุ่น 2.8 J Plus: ให้ "กำลัง" ที่เหนือกว่ารุ่น 2.4 อย่างชัดเจน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับรถที่ต้องบรรทุกหนักและดัดแปลงเพลาลอย อีกทั้งยังได้ออปชันอำนวยความสะดวกที่ครบครันกว่า

4. วิเคราะห์ตู้บรรทุกและช่วงล่าง

• สเปคตู้บรรทุก: ตู้ทึบอลูมิเนียม สูง 1.90 เมตร เป็นขนาดมาตรฐานยอดนิยม
• ข้อดีของตู้บรรทุก: ป้องกันสินค้าจากสภาพอากาศและฝุ่นละอองได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค, พัสดุ, หรือย้ายบ้าน
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): การดัดแปลงเป็น "เพลาลอย" คือการอัปเกรดที่สำคัญที่สุด ทำให้รถสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้อย่างปลอดภัยในช่วง 2.5 - 3.5 ตัน ซึ่งสูงกว่ารถกระบะเดิมๆ หลายเท่าตัว

5. ตารางการประเมินมูลค่าของแต่ง/ของที่อัปเกรด

6. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลือง: เมื่อบรรทุกหนักจะอยู่ที่ประมาณ 7 - 11 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2016): ประมาณ 605,000 บาท

7. สรุปและคำแนะนำสุดท้าย

สำหรับรถคันนี้ในราคา 279,000 บาท ถือเป็น "รถทำเงินที่คุ้มค่าการลงทุนที่สุดคันหนึ่ง"

• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~730,000 บาท
• ราคาขายคันนี้: 279,000 บาท

✅ เช็คศูนย์ตลอด ประวัติดีมาก

Ford RANGER 2.2 Standard XL (2020) พร้อมตู้ทึบ

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร Duratorq TDCi VG Turbo
• กำลังสูงสุด: 160 แรงม้า (PS)
• แรงบิดสูงสุด: 385 นิวตัน-เมตร
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง
• น้ำหนักบรรทุก: ประมาณ 1.5 - 2.5 ตัน

2. จุดเด่นและข้อดีของ Ford RANGER

• ช่วงล่างหนึบแน่น: เป็นที่ยอมรับว่า Ford Ranger มีช่วงล่างที่ให้ความมั่นคงและเกาะถนนดีที่สุดในคลาส ทำให้การขับขี่แม้บรรทุกหนักยังคงควบคุมได้ง่ายและปลอดภัย
• เครื่องยนต์ทรงพลัง: เครื่องยนต์ 2.2L ให้กำลังและแรงบิดสูงกว่าคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน ทำให้มีกำลังในการบรรทุกและเร่งแซงที่ดีเยี่ยม
• โครงสร้างแข็งแกร่ง: แชสซีส์และตัวถังถูกออกแบบมาเพื่อความทนทาน รองรับการใช้งานหนักได้เป็นอย่างดี

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (RANGER Standard Cab ณ ปี 2020)

4. วิเคราะห์ตู้บรรทุกและประเมินมูลค่าของแต่ง

ตู้ทึบบรรทุก (Carryboy):

• สเปคตู้: ตู้ทึบจาก Carryboy สูง 1.85 เมตร มีประตูเปิดท้าย 2 บาน และประตูเปิดด้านข้าง 1 บาน เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า
• ข้อดี: สามารถป้องกันสินค้าจากแดด, ฝน, และฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนส่งพัสดุ, สินค้าอุปโภคบริโภค, หรืออุปกรณ์เครื่องมือ

การประเมินมูลค่าของแต่ง (โดยประมาณ):

• ตู้ทึบบรรทุก Carryboy (เปิด 2 ด้าน): 45,000 - 55,000 บาท
• การเสริมแหนบ: 5,000 - 8,000 บาท
• จอเครื่องเสียง Android: 4,000 - 7,000 บาท
• รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ: 54,000 - 70,000 บาท

5. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 14 กม./ลิตร (แปรผันตามน้ำหนักบรรทุก)
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2020): ประมาณ 562,000 บาท

สรุปและคำแนะนำสุดท้าย

สำหรับรถคันนี้ในราคา 299,000 บาท ถือเป็น "ดีลที่คุ้มค่าและครบเครื่องสำหรับผู้ประกอบการ"

• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~616,000 บาท
• ราคาขายคันนี้: 299,000 บาท

Toyota Yaris 1.2 E (โฉมไมเนอร์เชนจ์ 2017)

นี่คือ Yaris โฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งสำคัญ ที่ปรับดีไซน์ด้านหน้าให้เหมือนกับ Yaris Ativ ทำให้ดูทันสมัยและโฉบเฉี่ยวขึ้น แต่จุดขายที่แท้จริงคือการปฏิวัติมาตรฐานความปลอดภัยในกลุ่มรถ Eco Car ด้วยการใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้แบบเต็มพิกัดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น

สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: เบนซินรหัส 3NR-FE, 4 สูบ 1.2 ลิตร Dual VVT-i
• กำลังสูงสุด: 86 แรงม้า (PS)
• แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตัน-เมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i
• ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน (มาตรฐานทุกรุ่นย่อย):
  • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
  • ระบบเบรก ABS / EBD / BA

จุดเด่นและข้อดีของรถยนต์

มาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่าใครในยุคนั้น

• จุดเด่น: คือจุดขายที่สำคัญที่สุด การติดตั้ง ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง และระบบ VSC/TRC/HAC มาให้เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
• ข้อดี: สร้างความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ ซึ่งในเวลานั้นคู่แข่งในระดับเดียวกันยังไม่มีใครให้มาครบเท่านี้

ความน่าเชื่อถือและความทนทานสไตล์ Toyota

• จุดเด่น: ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และระบบเกียร์ ปัญหาน้อย ไม่จุกจิก
• ข้อดี: ค่าบำรุงรักษาต่ำ อะไหล่หาง่ายและมีราคาไม่แพง เหมาะสำหรับเป็นรถคันแรก

ห้องโดยสารกว้างขวางและใช้งานได้จริง

• จุดเด่น: การออกแบบภายในทำได้ดี มีพื้นที่วางขากว้างขวาง และพื้นห้องโดยสารด้านหลังเรียบสนิท
• ข้อดี: แม้จะเป็นรถขนาดเล็ก แต่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง นั่งสบาย และเบาะหลังพับแยกแบบ 60:40 (รุ่น E ขึ้นไป) เพื่อเพิ่มพื้นที่ได้

การขับขี่ที่นุ่มนวลและง่ายดาย

• จุดเด่น: เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร จับคู่กับเกียร์ Super CVT-i ให้การตอบสนองที่นุ่มนวลต่อเนื่อง
• ข้อดี: ทำให้การขับขี่ในเมืองเป็นเรื่องง่ายและไม่เมื่อยล้า พวงมาลัยเบา ควบคุมง่าย

เปรียบเทียบความแตกต่างของรุ่นย่อย (ณ ปี 2017)

สรุป: รุ่น E ให้สิ่งที่จำเป็นและสะดวกสบายเพิ่มขึ้นจากรุ่น J อย่างชัดเจน เช่น ล้ออัลลอย, กระจกพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว, และ Bluetooth ซึ่งทำให้การใช้งานประจำวันสะดวกสบายขึ้นมาก

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

• ตาม Eco Sticker: 20.0 กม./ลิตร
• ใช้งานจริงโดยเฉลี่ย:
  • ในเมือง: ประมาณ 12-15 กม./ลิตร
  • นอกเมือง: ประมาณ 16-19 กม./ลิตร

ราคาเปิดตัว (ณ เดือนกันยายน 2017)

• รุ่น 1.2 J: 529,000 บาท
• รุ่น 1.2 E: 559,000 บาท
• รุ่น 1.2 G: 609,000 บาท

รถมือเดียวออกห้าง รถสวย สภาพเดิมๆ ออกรถปลายปี 2018 จดทะเบียนปี 2019 NISSAN NOTE 1.2 V เครื่อง 1.2 อีโคคาร์ ออโต้ ประหยัดมากๆ สบายใจหายห่วง การันตีสภาพ สะอาดเรียบร้อย ไม่โทรมเจ้าของเก่าดูแลดีมาก หาอยู่ไม่ผิดหวังครับ สีดิมจากโรงงาน ภายในสะอาดเรียบร้อยไม่มีรอยเลย ไม่เคยแต่ง สภาพดีมากๆ รถเทิร์นหน้าโชว์รูม เจ้าของดูแลดีมากๆ รถบ้านแท้ๆ เลขไมล์แท้ๆ 9X,XXX Km. ประวัติดีมากๆ

เอกสารติดรถคู่มือการใช้งาน BOOK SERVICE กุญแจสำรองครบ สามารถเช็คประวัติย้อนหลังได้ครับ การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอนกับรถสภาพเหมือนใหม่แบบนี้และราคาที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ รถบ้านแท้ๆ ไม่ใช่รถเช้าหรือรถยึดประมูลจากไฟแนนซ์

ฟรีดาวน์ ออกรถง่ายที่สุด ได้รถสภาพสวยมากๆ แต่ราคามือสอง คุ้มมากๆ สวยไม่สวย ดูที่เบาะไม่เคยหุ้มใหม่

Nissan Note 1.2 (2019) V Hatchback: Eco Car ที่กว้างขวางและออปชันครบครัน

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Nissan Note 1.2 2019 V Hatchback):

เครื่องยนต์เบนซิน HR12DE 1.2 ลิตร DOHC 3 สูบ:

• ขนาด: 1,198 ซีซี (1.2 ลิตร) 3 สูบแถวเรียง DOHC 12 วาล์ว
• กำลังสูงสุด: 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 106 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
• เกียร์: อัตโนมัติ XTRONIC CVT

สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 3 สูบ ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความประหยัดน้ำมันสูงสุด เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ให้ความคล่องตัวสูง และมีเกียร์ XTRONIC CVT ที่ช่วยให้การขับขี่ราบรื่นต่อเนื่อง

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 18-20 กม./ลิตร (ตามมาตรฐาน Eco Car) ถือว่าประหยัดมาก

ห้องโดยสารที่กว้างขวางและอเนกประสงค์:

• พื้นที่ภายใน: โดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สบายกว่า Eco Car ทั่วไป
• พื้นที่เก็บสัมภาระ: ด้านท้ายมีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการใช้งาน และสามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้
• ดีไซน์ภายใน: แผงคอนโซลดีไซน์เรียบง่าย เน้นฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวก

ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น V):

• หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว สำหรับระบบเครื่องเสียงและ Infotainment
• พวงมาลัย Multi-function พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
• กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key) และปุ่ม Push Start
• กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า
• กล้องมองหลัง

ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับ Eco Car):

• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags)
• ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System), EBD (Electronic Brake-force Distribution), BA (Brake Assist)
• ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDC (Vehicle Dynamic Control)
• ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)
• ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning - FCW)
• ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)

จุดขายหลักของ Nissan Note 1.2 (2019) V Hatchback:

• "Eco Car ที่กว้าง ออปชันครบ และปลอดภัย": เหมาะสำหรับผู้มองหารถยนต์ขนาดเล็กที่เน้นความประหยัดสำหรับการใช้งานในเมือง แต่ยังได้ฟังก์ชันและระบบความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม
• ห้องโดยสารใหญ่: จุดเด่นคือพื้นที่วางขาด้านหลังที่กว้างเป็นพิเศษ
• เทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำหน้า: มีระบบเตือนการชน (FCW) และช่วยเบรกฉุกเฉิน (IEB) เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
• ประหยัดน้ำมันสูงสุด: ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่โดดเด่นถึง 18-20 กม./ลิตร
• ออปชันครบครันในรุ่น V: ทั้งหน้าจอสัมผัส, Push Start, แอร์ Auto, และกล้องมองหลัง

Chevrolet COLORADO 2.5 FLEX CAB (2019) LT Z71 Pickup

Chevrolet Colorado เป็นรถกระบะที่ได้รับความนิยมด้วยดีไซน์ที่ดุดัน สมรรถนะเครื่องยนต์ Duramax ที่ทรงพลัง และเทคโนโลยีที่ครบครัน สำหรับรุ่นปี 2019 นี้ เป็นช่วงที่ Colorado ได้รับการปรับโฉม Minorchange (MY17) ซึ่งมีการปรับดีไซน์และเพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาอย่างมาก โดยรุ่น FLEX CAB LT Z71 เป็นกระบะแค็บเปิดได้ (Extended Cab) ยกสูง ที่มาพร้อมชุดแต่ง Z71 ซึ่งเน้นภาพลักษณ์ Off-road และอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Chevrolet COLORADO 2.5 FLEX CAB 2019 LT Z71 Pickup):

1. เครื่องยนต์ดีเซล Duramax 2.5 ลิตร (VG Turbo):

   • ขนาด: 2,499 ซีซี (2.5 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VG Turbo (เทอร์โบแปรผัน) พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 180 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ (MT) (รุ่น LT Z71 มักเป็น MT)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ Duramax 2.5 ลิตร VG Turbo ตัวนี้ให้พละกำลังและแรงบิดที่สูงมากสำหรับรถกระบะ 2.5 ลิตรในตลาด ทำให้รถมีอัตราเร่งที่จัดจ้าน ตอบสนองดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการใช้งานบรรทุกหนัก การลากจูง และการขับขี่ในชีวิตประจำวัน

   • อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 13-15 กม./ลิตร (จากการใช้งานจริง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและพฤติกรรมการขับขี่)

2. ตัวถัง FLEX CAB (แค็บเปิดได้) Hi-Rider (ยกสูง 2WD):

   • ความเอนกประสงค์: เป็นกระบะแค็บที่สามารถเปิดประตูแค็บด้านหลังได้ (Extended Cab/Freestyle Door) ทำให้มีพื้นที่ด้านหลังเบาะนั่งสำหรับเก็บสัมภาระส่วนตัว หรือสามารถนั่งได้ชั่วคราว เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมากกว่ากระบะตอนเดียว

   • Hi-Rider: ตัวถังยกสูงจากโรงงาน ทำให้มี Ground Clearance ที่สูง สามารถลุยเส้นทางขรุขระ หรือน้ำท่วมขังได้ดีกว่ากระบะ 2WD ทั่วไป

3. ดีไซน์ Z71 ที่โดดเด่น:

   • เป็นรุ่นที่เน้นภาพลักษณ์ Off-road และความแข็งแกร่งด้วยชุดแต่ง Z71 เช่น กันชนหน้าดีไซน์เฉพาะ, โลโก้ Z71, กระจังหน้าดีไซน์เฉพาะ

   • ล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะ Z71 (มักเป็น 17 นิ้ว)

4. ช่วงล่างที่มั่นคงและนุ่มนวล:

   • ด้านหน้าอิสระปีกนกคู่, ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่ได้รับการปรับจูนมาอย่างดี เพื่อความสมดุลระหว่างการบรรทุกและความนุ่มนวลในการขับขี่

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ระบบ MyLink Infotainment: พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 หรือ 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto

   • พวงมาลัย Multi-function:

   • ระบบปรับอากาศ

   • กระจกไฟฟ้า

   • กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า

• ระบบเบรก ABS/EBD/BA

• ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control)

• ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System)

• ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)

จุดขายหลักของ Chevrolet COLORADO 2.5 FLEX CAB (2019) LT Z71 Pickup:

• "กระบะแค็บยกสูงที่แข็งแกร่ง แรง และมีสไตล์ Off-road": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะแค็บที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งส่วนตัว งานบรรทุก และการเดินทาง พร้อมภาพลักษณ์ที่ดุดันและสมรรถนะเครื่องยนต์ที่โดดเด่น

• เครื่องยนต์ 2.5L Duramax (180 แรงม้า): กำลังและแรงบิดสูงสุดในกลุ่มกระบะ 2.5 ลิตร ทำให้แรงและประหยัด (เมื่อเทียบกับกำลัง)

• ดีไซน์ Z71: ดูดุดัน สปอร์ต มีสไตล์ Off-road

• ระบบ MyLink: เชื่อมต่อ Apple CarPlay/Android Auto เพิ่มความสะดวกสบาย

• อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 13-15 กม./ลิตร

• ราคา 269,000 บาท: สำหรับรถปี 2019 ที่มีสมรรถนะและออปชันขนาดนี้ ถือเป็น ราคาที่น่าสนใจมากและคุ้มค่า

ความคุ้มค่า: สำหรับ Chevrolet Colorado 2.5 FLEX CAB LT Z71 Pickup ปี 2019 ในราคา 269,000 บาท ถือเป็น ราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ครับ

• ราคาป้ายแดงของรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 7 แสนกว่าบาท การที่ราคาลดลงมาเหลือ 269,000 บาท ถือเป็นการลดลงอย่างมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ประหยัดงบประมาณได้อย่างมหาศาลสำหรับรถกระบะแค็บที่ยังใหม่

โดยรวมแล้ว Chevrolet COLORADO 2.5 FLEX CAB (2019) LT Z71 Pickup ในราคา 269,000 บาท เป็นรถกระบะมือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะแค็บที่แข็งแกร่ง ทนทาน มีกำลังดี และมีสไตล์ที่โดดเด่น ในราคาที่คุ้มค่ามาก

รุ่นสุดท้าย MITSU SPACE WAGON 2.4 GT ตัวพิเศษ แต่งจากศูนย์ ตัวท็อปสุด ตัวรถผลิตและออกรถปี 2011 แท้ๆ ไมเนอร์เชนจ์ หน้าใหม่ รับประกัน รถสวย รถบ้านแท้ๆ เลขไมล์แท้ 14X,XXX Km.เฉลี่ยใช้งานเพียงปีละ 1 หมื่นโล

เครื่องเบนซิน ออโต้ ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน ติดแก๊ส LPG สุดประหยัด เครื่อง+เกียร์สมบูรณ์มากๆ

ออปชั่นเพียบ ชุดแต่งรอบคัน จอแอนดรอยซ์ กล้องถอยหลัง เบาะหนังแท้ 3 แถว DVD TV เครื่องเล่น CD, กระจกไฟฟ้า, เซ็นทรัลล็อค, พวงมาลัยพาวเวอร์, ABS, AIRBAG

รถครอบครัว เบาะเดิมๆ ไม่เคยหุ้มใหม่ สภาพดีมากๆ เบาะหลัง 3 แถว น่าใช้มาก ทั้งสวยและ ประหยัด

รถบ้านแท้ๆ ไม่ใช่รถยึดจากไฟแนนซ์หรือรถเช่าประมูล เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข

Mitsubishi SPACE WAGON 2.4 (2011) GT: MPV ยอดนิยมสำหรับครอบครัว (รุ่นสุดท้าย)

Mitsubishi Space Wagon (รุ่นที่ 3 หรือ Grandis ในตลาดต่างประเทศ) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยจุดเด่นด้านห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบาย และความเอนกประสงค์ในการใช้งาน สำหรับรุ่นปี 2011 นี้ เป็นช่วงท้ายของการทำตลาดของ Space Wagon ในประเทศไทย ก่อนที่จะยุติการผลิตไป ทำให้เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงและมีอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุด

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Mitsubishi SPACE WAGON 2.4 2011 GT):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 4G69 MIVEC 2.4 ลิตร:

   • ขนาด: 2,378 ซีซี (2.4 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง SOHC 16 วาล์ว MIVEC (ระบบแปรผันวาล์ว)

   • กำลังสูงสุด: 165 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 217 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ INVECS-III CVT (Continuously Variable Transmission) พร้อม Sportronic Mode (6 speed)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร MIVEC ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อน MPV ขนาดใหญ่ทั้งในเมืองและเดินทางไกล การตอบสนองที่นุ่มนวลและต่อเนื่องของเกียร์ CVT ทำให้ขับขี่สบาย เหมาะกับการใช้งานในครอบครัว

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ "Walk Through" (2-2-3) ที่กว้างขวางและยืดหยุ่น:

   • การจัดวางเบาะ: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Space Wagon ด้วยการจัดวางเบาะแบบ 2-2-3 ทำให้มีทางเดินตรงกลางระหว่างเบาะนั่งแถวที่ 2 ไปยังแถวที่ 3 ได้สะดวก (Walk Through)

   • ความสบาย: เบาะนั่งขนาดใหญ่ หุ้มด้วยหนัง (ในรุ่น GT) ให้ความสบายในการเดินทาง โดยเฉพาะเบาะแถวที่ 2 ที่เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ (ในรุ่น GT) พร้อมที่พักแขน

   • ความยืดหยุ่น: เบาะแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่เรียบหรู:

   • ภายนอก: ดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายแต่ยังคงความทันสมัยในยุคนั้น ไฟหน้า Projector (ในรุ่น GT)

   • ภายใน: แผงคอนโซลดีไซน์ทันสมัย เน้นการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบาย

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น GT):

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง (ด้านซ้ายและขวา) เพิ่มความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในพื้นที่จำกัด (เป็นจุดเด่นสำคัญในรุ่น GT)

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและ Cruise Control

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control):

   • เครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3 พร้อมจอภาพแบบสัมผัส DVD และระบบนำทาง GPS (ในรุ่น GT)

   • จอภาพด้านหลัง: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (ในรุ่น GT)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution)

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC - Active Stability Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCL - Traction Control System) (ในรุ่น GT)

   • โครงสร้างตัวถัง RISE Body

Mitsubishi Space Wagon (รุ่นที่ 3 หรือ Grandis ในตลาดต่างประเทศ) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยจุดเด่นด้านห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบาย และความเอนกประสงค์ในการใช้งาน สำหรับรุ่นปี 2011 นี้ เป็นช่วงท้ายของการทำตลาดของ Space Wagon ในประเทศไทย ก่อนที่จะยุติการผลิตไป ทำให้เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงและมีอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุด

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Mitsubishi SPACE WAGON 2.4 2011 GT):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 4G69 MIVEC 2.4 ลิตร:

   • ขนาด: 2,378 ซีซี (2.4 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง SOHC 16 วาล์ว MIVEC (ระบบแปรผันวาล์ว)

   • กำลังสูงสุด: 165 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 217 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ INVECS-III CVT (Continuously Variable Transmission) พร้อม Sportronic Mode (6 speed)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร MIVEC ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อน MPV ขนาดใหญ่ทั้งในเมืองและเดินทางไกล การตอบสนองที่นุ่มนวลและต่อเนื่องของเกียร์ CVT ทำให้ขับขี่สบาย เหมาะกับการใช้งานในครอบครัว

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ "Walk Through" (2-2-3) ที่กว้างขวางและยืดหยุ่น:

   • การจัดวางเบาะ: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Space Wagon ด้วยการจัดวางเบาะแบบ 2-2-3 ทำให้มีทางเดินตรงกลางระหว่างเบาะนั่งแถวที่ 2 ไปยังแถวที่ 3 ได้สะดวก (Walk Through)

   • ความสบาย: เบาะนั่งขนาดใหญ่ หุ้มด้วยหนัง (ในรุ่น GT) ให้ความสบายในการเดินทาง โดยเฉพาะเบาะแถวที่ 2 ที่เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ (ในรุ่น GT) พร้อมที่พักแขน

   • ความยืดหยุ่น: เบาะแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่เรียบหรู:

   • ภายนอก: ดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายแต่ยังคงความทันสมัยในยุคนั้น ไฟหน้า Projector (ในรุ่น GT)

   • ภายใน: แผงคอนโซลดีไซน์ทันสมัย เน้นการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบาย

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น GT):

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง (ด้านซ้ายและขวา) เพิ่มความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในพื้นที่จำกัด (เป็นจุดเด่นสำคัญในรุ่น GT)

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและ Cruise Control

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control):

   • เครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3 พร้อมจอภาพแบบสัมผัส DVD และระบบนำทาง GPS (ในรุ่น GT)

   • จอภาพด้านหลัง: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (ในรุ่น GT)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution)

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC - Active Stability Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCL - Traction Control System) (ในรุ่น GT)

   • โครงสร้างตัวถัง RISE Body

ข้อดีของ Mitsubishi SPACE WAGON 2.4 (2011) GT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความหรูหราและอุปกรณ์ครบครันที่สุด:

   • เหนือกว่ารุ่น GL อย่างชัดเจนในด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เช่น ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง, เบาะหนัง Captain Seat แถว 2, ระบบควบคุมการทรงตัว ASC/TCL, เครื่องเสียงจอสัมผัส DVD พร้อม Navi และจอหลัง

   • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันสำหรับ MPV ของครอบครัว

2. ห้องโดยสารที่กว้างขวางและยืดหยุ่นสูงสุด:

   • จุดเด่นของ Space Wagon คือการจัดวางเบาะแบบ "Walk Through" และความยืดหยุ่นในการปรับพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระ

3. ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษาที่คุ้มค่า:

   • Space Wagon เป็นรถที่ได้รับการยอมรับเรื่องความทนทาน เครื่องยนต์ 2.4 MIVEC ดูแลง่าย อะไหล่หาง่าย และค่าบำรุงรักษาไม่แพง

     สรุปจุดขายหลักของ Mitsubishi SPACE WAGON 2.4 (2011) GT:

• "MPV 7 ที่นั่งสำหรับครอบครัวที่กว้างขวาง สะดวกสบาย และออปชันครบครัน": เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัวขนาดกลาง ที่เน้นความสบายในการเดินทาง และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วน

• ห้องโดยสาร "Walk Through": พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เข้า-ออกสะดวก

• ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง: เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดในการขึ้น-ลง

• เครื่องยนต์ 2.4 MIVEC + CVT: ให้ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน

• ออปชันครบครัน (รุ่น GT): ได้ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยระดับท็อปสำหรับยุคนั้น

• ความน่าเชื่อถือ: อะไหล่หาง่าย ค่าบำรุงรักษาไม่แพง

ไมล์แท้ 6 หมื่นโล รับประกันแท้ๆ ตรวจสอบได้ จดทะเบียนปี 2022 โฉมใหม่ล่าสุด MG EXTENDER แค็บ GRAND X 2.0 ตัวท๊อปสุด ยกสูงจากศูนย์ เจ้าของออกป้ายแดงมา การันตีสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ ไม่เคยชน รถบ้านแท้ๆ ซื้อเงินสด ไม่บวกแวท

เครื่อง 2000 ดีเซล รุ่นใหม่ เกียร์ธรรมดา 6 เกียร์ ขับง่าย ประหยัดมากๆ แรงและประหยัด

ออปชั่นเยอะมากๆ ชุดแต่งรอบคัน เนวิเกเตอร์ จอถอย ระบบ I SMART สั่งการด้วยเสียง PUSH START แอร์ดิจิตอล พ.มัลติ กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า ไฟเลี้ยวกระจกมองข้าง ไฟขาว ไฟตัดหมอก สวยไม่สวย ดูที่เบาะ ไม่เคยหุ้มใหม่ สภาพเดิมๆ ไม่เคยแต่ง

ฟรีดาวน์ จัดไฟแนนซ์ผ่านง่าย รับฟังทุกเงื่อนไข ได้ดอกเบี้ยพิเศษ ออกได้ทุกอาชีพ

รถบ้านแท้ๆ เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข

ซื้อรถคันนี้รถสภาพดีมากๆ แต่ราคามือสอง คุ้มมากๆ แล้วคุณจะจ่ายแพงกว่าทำไม การันตีสภาพ รถสวย ไม่เคยชน ประหยัดไปหลายแสน คุ้มมากๆ

MG Extender 2.0 GIANT CAB (2022) Grand X GC MT

MG Extender เป็นรถกระบะจาก MG ที่เข้ามาสร้างสีสันในตลาดรถกระบะของประเทศไทย โดยเน้นจุดเด่นด้านขนาดที่ใหญ่ ห้องโดยสารที่กว้างขวาง เทคโนโลยีที่ทันสมัย และราคาที่คุ้มค่า รุ่น GIANT CAB คือกระบะแค็บเปิดได้ (Extended Cab) ที่ได้รับความนิยม และในปี 2022 นี้ยังเป็นโฉมปัจจุบันก่อนการปรับโฉมใหม่ รุ่น Grand X GC MT เป็นรุ่นท็อปสุดสำหรับกระบะแค็บเกียร์ธรรมดา ที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีครบครัน

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (MG Extender 2.0 GIANT CAB 2022 Grand X GC MT):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร DOHC TGI (Turbocharged & Geared Ignition):

   • ขนาด: 1,999 ซีซี (2.0 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VGT)

   • กำลังสูงสุด: 161 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 375 นิวตันเมตร ที่ 1,500 - 2,400 รอบ/นาที

   • เกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ (MT)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ให้พละกำลังและแรงบิดที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป การบรรทุก และการเดินทางไกล เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะช่วยให้ควบคุมกำลังได้เต็มที่และประหยัดน้ำมัน

2. ตัวถัง GIANT CAB (กระบะแค็บเปิดได้):

   • ห้องโดยสารกว้างขวาง: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Extender โดยเฉพาะพื้นที่ด้านหลังเบาะนั่งที่กว้างขวางเป็นพิเศษ สามารถนั่งได้สบายกว่ากระบะแค็บทั่วไป หรือใช้เก็บสัมภาระส่วนตัวได้อย่างสะดวก

   • แค็บเปิดได้: เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกพื้นที่ด้านหลังเบาะนั่ง หรือการจัดเก็บสัมภาระ

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่แข็งแกร่งและทันสมัย:

   • ภายนอก: กระจังหน้าขนาดใหญ่ (Mega Grille), ไฟหน้า LED Projector, ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (DRL) แบบ LED

   • ภายใน: ดีไซน์ที่ดูทันสมัย วัสดุคุณภาพดีตามราคา เบาะนั่งหุ้มหนัง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า (ในรุ่น Grand X)

4. ช่วงล่างที่มั่นคงและนุ่มนวล:

   • ด้านหน้าอิสระปีกนกคู่

   • ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่ได้รับการปรับจูนมาเพื่อความสมดุลระหว่างการบรรทุกและความนุ่มนวล

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • จอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว: สำหรับระบบ Infotainment รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุม Cruise Control

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ:

   • กุญแจรีโมท Smart Key และ Push Start Button:

   • ระบบ I-SMART (เฉพาะรุ่น AT): ระบบสั่งการด้วยเสียง และฟังก์ชันเชื่อมต่ออื่นๆ (อาจไม่มีใน MT)

6. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับรถกระบะ):

   • ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (ในรุ่น Grand X)

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมการทรงตัว (ESP)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)

   • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA)

   • กล้องมองหลัง (ในรุ่น Grand X)

ข้อดีของ MG Extender 2.0 GIANT CAB (2022) Grand X GC MT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ออปชันและเทคโนโลยีครบครันที่สุดในกลุ่ม Giant Cab MT:

   • เหนือกว่ารุ่น C และ D อย่างชัดเจนในด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เช่น ได้ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (จาก 2), ไฟหน้า LED Projector, ล้อ 18 นิ้ว, เบาะหนัง/เบาะคนขับปรับไฟฟ้า, แอร์อัตโนมัติ, จอ 10 นิ้ว และ Push Start

   • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและเทคโนโลยีที่ครบครันในรถกระบะแค็บ

2. ห้องโดยสารที่กว้างขวางที่สุด:

   • จุดเด่นสำคัญของ Extender คือห้องโดยสารด้านหลังที่กว้างขวางเป็นพิเศษ นั่งสบายกว่ากระบะแค็บคู่แข่ง

3. ความคุ้มค่าด้านราคา:

   • แม้จะเป็นรุ่นท็อปของกระบะแค็บเกียร์ธรรมดา แต่ราคาของ MG Extender ยังคงมีความคุ้มค่าสูงเมื่อเทียบกับกระบะคู่แข่งในระดับเดียวกันที่ให้อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน

สรุปจุดขายหลักของ MG Extender 2.0 GIANT CAB (2022) Grand X GC MT:

• "กระบะแค็บไซส์ยักษ์ ออปชันจัดเต็ม คุ้มค่า": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะแค็บที่มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางเป็นพิเศษ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในราคาที่เข้าถึงได้

• ห้องโดยสารกว้างขวาง: นั่งสบายกว่ากระบะแค็บทั่วไป

• ออปชันครบครัน (รุ่น Grand X): ได้ฟังก์ชันและระบบความปลอดภัยระดับท็อป

• เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร: กำลังดี ประหยัดน้ำมัน (ด้วยเกียร์ 6 จังหวะ)

• ราคาคุ้มค่า: เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด

Isuzu D-MAX 2.5 CAB-4 (2011) Hi-Lander Super Titanium MT

Isuzu D-Max เจเนอเรชันที่ 2 (หรือที่คนไทยเรียกว่า D-Max Platinum/D-Max Super Titanium) เป็นรุ่นปรับโฉมครั้งสำคัญก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น All-New D-Max ในปี 2011-2012 โดยยังคงความแข็งแกร่ง ทนทาน และประหยัดน้ำมันที่เป็นเอกลักษณ์ของ Isuzu ไว้ รุ่น Super Titanium เป็นรุ่นพิเศษที่เพิ่มความหรูหราและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้ามา เพื่อเป็นรุ่นส่งท้ายก่อนเปลี่ยนโฉมใหญ่

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Isuzu D-MAX 2.5 CAB-4 2011 Hi-Lander Super Titanium MT):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 4JK1-TCX 2.5 ลิตร Ddi i-TEQ Super Commonrail:

   • ขนาด: 2,499 ซีซี (2.5 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน (VGS Turbo) พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 140 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที

   • เกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ (MT)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร Ddi i-TEQ VGS Turbo ตัวนี้ให้พละกำลังที่โดดเด่นสำหรับรถกระบะในยุคนั้น โดยเฉพาะแรงบิด 320 นิวตันเมตรที่มาตั้งแต่รอบต่ำ ช่วยให้รถมีอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม และประหยัดน้ำมัน พร้อมความทนทานตามแบบฉบับ Isuzu

2. ตัวถัง CAB-4 (กระบะ 4 ประตู) Hi-Lander (ยกสูง 2WD):

   • ความเอนกประสงค์: ห้องโดยสาร 4 ประตู กว้างขวาง นั่งสบายสำหรับ 4-5 คน เหมาะสำหรับใช้งานส่วนตัว ครอบครัว และงานบรรทุก

   • Hi-Lander: ตัวถังยกสูงจากโรงงาน ทำให้มี Ground Clearance ที่สูง สามารถลุยเส้นทางขรุขระ หรือน้ำท่วมขังได้ดีกว่ากระบะ 2WD ทั่วไป

3. ดีไซน์ Super Titanium (รุ่นพิเศษ):

   • เป็นรุ่นพิเศษที่มาพร้อมการตกแต่งภายนอก-ภายในที่ดูพรีเมียมและแตกต่างจากรุ่นปกติ เช่น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่, ไฟหน้าแบบ Projector, กันชนดีไซน์สปอร์ต, ล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษ

   • ภายในอาจมีการตกแต่งด้วยโทนสีที่แตกต่าง หรือวัสดุที่ดูหรูหราขึ้น

4. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งทนทาน:

   • ด้านหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมทอร์ชันบาร์

   • ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกหนัก

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags) (ในรุ่น Hi-Lander Super Titanium)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution) (ในรุ่น Hi-Lander Super Titanium)

ข้อดีของ Isuzu D-MAX 2.5 CAB-4 (2011) Hi-Lander Super Titanium MT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ดีไซน์และภาพลักษณ์ที่โดดเด่น:

   • เป็นรุ่นพิเศษที่ได้รับการตกแต่งให้ดูพรีเมียมและแตกต่างจาก D-Max รุ่นปกติในยุคนั้น ทำให้รถดูมีเอกลักษณ์และทันสมัยกว่า

2. เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร VGS Turbo ที่สมรรถนะดีเยี่ยม:

   • ให้กำลัง 140 แรงม้า และแรงบิด 320 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับเครื่อง 2.5 ลิตรในยุคนั้น ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดี และประหยัดน้ำมัน (เป็นที่นิยมมาก)

3. ความคุ้มค่าด้านอุปกรณ์:

   • ได้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและปลอดภัยที่ครบครันกว่ารุ่นปกติ (เช่น ถุงลมนิรภัย, ABS, ไฟหน้า Projector)

4. ความน่าเชื่อถือและทนทานระดับตำนาน:

   • D-Max ในยุคนี้ขึ้นชื่อเรื่องความอึด ความทนทาน ไม่จุกจิก ค่าบำรุงรักษาต่ำ อะไหล่หาง่าย และราคาขายต่อดีเยี่ยม

สรุปจุดขายหลักของ Isuzu D-MAX 2.5 CAB-4 (2011) Hi-Lander Super Titanium MT:

• "กระบะ 4 ประตูยกสูงรุ่นพิเศษที่แข็งแกร่ง ทนทาน และมีสไตล์": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะ 4 ประตู ที่ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งส่วนตัว ครอบครัว และงานบรรทุก พร้อมภาพลักษณ์ที่ดูดีและมีสมรรถนะที่ไว้ใจได้

• เครื่องยนต์ 2.5 VGS Turbo: แรง ประหยัด อึดทน

• ดีไซน์ Super Titanium: ดูดี โดดเด่นกว่ารุ่นทั่วไป

• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: อะไหล่หาง่าย ช่างคุ้นเคย

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

ฟรีดาวน์ ออกรถง่ายที่สุด ดอกเบี้ยถูก รับรถได้ทันที 

Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback

Toyota Yaris เจเนอเรชันที่ 3 (XP150) ที่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2013 เป็นรุ่นที่ปรับขนาดเครื่องยนต์ลงมาเป็น 1.2 ลิตร เพื่อให้เข้าโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car Phase 1) โดยรุ่น 1.2 G AT ถือเป็นรุ่นย่อยที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างครบครันในยุคนั้น

สเปกเด่นของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. เครื่องยนต์ 3NR-FE Dual VVT-i 1.2 ลิตร:

   • ขนาด: 1,197 ซีซี (1.2 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ/วาล์ว: 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว
   • กำลังสูงสุด: 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i
   • สมรรถนะ: เน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ให้ความคล่องตัวในการจราจรติดขัด และมีอัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เกียร์ CVT ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น
   • ความประหยัดน้ำมัน: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Yaris Eco Car โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ดีเยี่ยม (จากข้อมูลโรงงานทำได้ถึง 20 กม./ลิตร)

2. ดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยและลงตัว:

   • ไฟหน้า Projector: (ในรุ่น G) ให้การส่องสว่างที่ดีกว่าไฟแบบ Multi-reflector ในรุ่นล่าง
   • กระจังหน้าดีไซน์ Trapezoidal: เอกลักษณ์ของ Yaris ในยุคนั้น ที่ดูสปอร์ตและทันสมัย
   • ล้ออัลลอย 15 นิ้ว: (ในรุ่น G) ขนาดกำลังดี เข้ากับตัวรถ
   • รูปทรง Hatchback: 5 ประตู ที่ดูสปอร์ตและมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่ยืดหยุ่น

3. ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเกินคาด (สำหรับรถ Eco Car):

   • พื้นที่ห้องโดยสาร: แม้จะเป็นรถ Eco Car แต่ Yaris โดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สบายกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ทำให้เป็นรถที่นั่งได้จริงสำหรับ 4-5 คน
   • พื้นที่เก็บสัมภาระ: ด้านท้ายมีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และสามารถพับเบาะหลังเพิ่มพื้นที่ได้
   • เบาะนั่ง: หุ้มผ้า (ในรุ่น G) ออกแบบมาให้รองรับสรีระได้ดี
   • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS: ควบคุมง่าย ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่จำเป็น:

   • ระบบปรับอากาศ: แบบลูกบิด (ในรุ่น G)
   • ระบบเครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3/WMA พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (รองรับ Bluetooth ในบางรุ่นย่อย หรือเป็นออปชันเสริม)
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง (ในรุ่น G)
   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags): สำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System): ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน
   • ระบบ EBD (Electronic Brake-force Distribution): กระจายแรงเบรกให้เหมาะสมในแต่ละล้อ
   • ระบบ BA (Brake Assist): เสริมแรงเบรกในกรณีเบรกฉุกเฉิน
   • โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA: ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชน

สรุปความแตกต่างที่สำคัญของ Yaris 1.2 G AT จากรุ่นย่อยอื่น ๆ:

• เหนือกว่ารุ่น E, J, J ECO:

  • อุปกรณ์อำนวยความสะดวก: รุ่น G ได้รับฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน เช่น ปุ่มสตาร์ท (Push Start), ระบบ Smart Entry (Keyless), พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุม, ไฟหน้า Projector และไฟตัดหมอก ซึ่งทำให้การขับขี่และใช้งานง่ายขึ้นและดูทันสมัยขึ้น
  • ความสวยงาม: ล้ออัลลอย 15 นิ้ว และไฟหน้าที่ดูดีกว่า
  • มาตรวัด: มาตรวัดเรืองแสง Optitron เพิ่มความคมชัดและสวยงาม

• ความปลอดภัย: ทุกรุ่นย่อยของ Yaris 1.2 ในปี 2014 (รุ่นที่เข้าโครงการ Eco Car Phase 1) จะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง และระบบเบรก ABS/EBD/BA เป็นมาตรฐานเท่ากันหมด จึงไม่แตกต่างกันในจุดนี้

จุดขายหลักของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. "รถคันแรกที่ลงตัวสำหรับชีวิตเมือง": ด้วยขนาดที่กะทัดรัด ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และความคล่องตัวในการขับขี่ ทำให้ Yaris เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานในเมือง การจอดรถ หรือการขับขี่ในที่แคบ
2. ประหยัดน้ำมันสุดๆ: การเป็น Eco Car และเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร พร้อมเกียร์ CVT ทำให้ Yaris มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
3. ความน่าเชื่อถือของ Toyota: เป็นที่ยอมรับในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และเกียร์ ค่าบำรุงรักษาไม่แพง อะไหล่หาง่าย มีศูนย์บริการทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
4. ราคาเข้าถึงง่ายในตลาดมือสอง: เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดมือสอง ทำให้หาซื้อได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผล และมีสภาพให้เลือกหลากหลาย
5. อุปกรณ์ครบครันสำหรับรุ่น G: รุ่น G ถือเป็นรุ่นท็อปของเครื่อง 1.2 ลิตรที่ให้ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วนและสะดวกสบายเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสตาร์ท, ระบบ Smart Entry, หรือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
6. พื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์: ตัวถังแบบ Hatchback พร้อมเบาะหลังที่พับได้ ช่วยให้สามารถบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้เมื่อจำเป็น เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน