รถเก๋งมือสอง

• รุ่น: Honda City Hatchback (GN)
• รุ่นย่อย: 1.0 SV Turbo
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.0 ลิตร VTEC TURBO (122 แรงม้า)
• แรงบิดสูงสุด: 173 นิวตันเมตร รองรับ E20
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด (จำลอง)
• รูปแบบตัวถัง: Hatchback 5 ประตู
• จุดเด่น: เครื่อง 1.0 Turbo แรงที่สุดในกลุ่ม Eco Car, เบาะ Ultra Seat, ประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ
• ราคาจำหน่าย: 429,000 บาท

เครื่องยนต์ 1.0 VTEC TURBO:

• รายละเอียด: เครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์จาก BorgWarner ให้บูสต์สูงสุด 1.0 บาร์
• ประโยชน์: ให้พละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด อัตราเร่งแซงดีเยี่ยม แรงบิดมารอบต่ำขับสนุก และยังประหยัดน้ำมันเมื่อขับขี่ทั่วไป เสียภาษีประจำปีถูกมาก

เบาะ Ultra Seat (Magic Seat):

• รายละเอียด: เบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับพับได้ถึง 4 รูปแบบ (Utility Mode, Long Mode, Tall Mode, Refresh Mode)
• ประโยชน์: เป็นจุดขายที่ไม่มีคู่แข่งคันไหนทำได้ สามารถขนของสูงๆ เช่น ต้นไม้ หรือของยาวๆ เช่น กระดานโต้คลื่น ได้สบาย เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งานสูงสุด

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง:

• รายละเอียด: Honda ออกแบบพื้นที่วางขา (Legroom) ด้านหลังได้กว้างมาก
• ประโยชน์: ผู้โดยสารตัวสูงนั่งไขว่ห้างได้สบาย ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องเดินทางไกล

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 14.0 - 16.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล (ความเร็วคงที่): ประมาณ 19.0 - 22.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 16.0 - 18.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันมากรุ่นหนึ่งในตลาด ยิ่งถ้าขับแบบ Eco run ยิ่งประหยัด แต่ถ้าขับซิ่งบูสต์ติดตลอด อัตราสิ้นเปลืองอาจลดลงเหลือ 12-13 กม./ลิตร ได้

• ความจุห้องสัมภาระท้าย: กว้างขวางพอสมควรสำหรับรถ Hatchback
• จุดเด่น: พื้นห้องสัมภาระเรียบเสมอขอบกันชน (เมื่อพับเบาะ) ขนของเข้าออกง่าย มีแผ่นกั้นสัมภาระด้านท้ายมาให้ ช่วยบังสายตาและวางของเบาๆ ด้านบนได้

รถคันนี้เป็นสภาพเดิมๆ จากโรงงาน ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด:

Honda City Hatchback 1.0 SV คือ "ซิตี้คาร์ที่ครบเครื่องที่สุด"

• ประหยัดไป 2.4 แสน: รถปี 2022 (อายุแค่ 1-2 ปี) ไมล์ 7 หมื่นโล ราคาลงมาเยอะมาก ถือว่าคุ้มค่าการลงทุน ซื้อไปใช้ต่อราคาไม่ร่วงแรงแล้ว
• รุ่น SV พิมพ์นิยม: เป็นรุ่นกลางที่ออปชั่นเพียงพอต่อการใช้งาน (ได้เบาะหนัง+จอสัมผัส) โดยไม่ต้องจ่ายแพงเท่ารุ่น RS
• Ultra Seat: ฟังก์ชันพับเบาะเทพๆ แบบนี้หาไม่ได้ในรถยี่ห้ออื่น เป็นจุดแข็งที่ทำให้ City Hatchback เหนือกว่าคู่แข่ง

• รุ่น: Honda City (Sedan 4 ประตู)
• รุ่นย่อย: 1.5 SV i-VTEC (ตัวท็อปสุด)
• ปี: 2013
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร (L15A) 120 แรงม้า
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5AT) พร้อม Paddle Shift
• จุดเด่น: สภาพเดิมโรงงาน (Original), เบาะหลังพับ/เอนได้, Paddle Shift, ชุดแต่งสปอร์ตศูนย์
• ราคาจำหน่าย: 259,000 บาท

Paddle Shift (แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย):

• รายละเอียด: มีเฉพาะในรุ่น SV เท่านั้น ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงได้เองจากปลายนิ้ว
• ประโยชน์: เพิ่มความสนุกในการขับขี่ (Fun to Drive) เร่งแซงได้ดั่งใจ หรือใช้เชนจ์เกียร์ช่วยเบรก (Engine Brake) เวลาลงเขาได้ปลอดภัยกว่า

เบาะหลังพับ 60:40 และปรับเอนได้:

• รายละเอียด: Honda City โฉมนี้เป็นรุ่นเดียวที่เบาะหลังสามารถปรับเอนลงได้ 1 ระดับ และพับราบเพื่อทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระได้
• ประโยชน์: เพิ่มความสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง และเพิ่มพื้นที่ขนของแนวยาวได้เอนกประสงค์ ซึ่ง City รุ่นใหม่ๆ ตัดฟังก์ชันปรับเอนเบาะออกไปแล้ว

สภาพเดิมโรงงาน (Original Condition):

• รายละเอียด: จากภาพภายนอกและภายใน รถคันนี้ยังคงสภาพเดิมๆ ล้อแม็กเดิม วิทยุเดิม
• ประโยชน์: มั่นใจได้ว่าระบบไฟและเครื่องยนต์ไม่ถูกดัดแปลงจนช้ำ เหมาะสำหรับคนที่หารถบ้านไว้ใช้งานจริง หรือนำไปแต่งต่อได้ง่าย

เครื่องยนต์ L15A จับคู่เกียร์ 5AT ขับสนุก รอบจัดจ้าน:

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 9.0 - 11.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล: ประมาณ 14.0 - 16.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 12.0 - 13.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: อาจจะไม่ประหยัดเท่า Eco Car ยุคปัจจุบัน แต่ได้พละกำลัง 120 แรงม้าที่เร่งแซงได้มั่นใจกว่า และเกียร์ 5AT ที่ทนทาน ดูแลรักษาง่าย

• ความจุ: 506 ลิตร (ใหญ่ที่สุดในคลาสตอนนั้น)
• จุดเด่น: พื้นที่ลึกและกว้าง ใส่ถุงกอล์ฟได้ 2 ใบสบายๆ และเมื่อพับเบาะหลังลงจะสามารถใส่ของชิ้นยาว เช่น ราวตากผ้า หรืออุปกรณ์กีฬาได้

รถคันนี้เน้นความเดิม สะอาด เรียบร้อย:

Honda City 1.5 SV คันนี้คือ "รถเก๋งมือสองที่คุ้มค่าเงินที่สุดในงบ 2 แสนกลาง"

• ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับ "คนทำงานเริ่มต้น หรือ นักศึกษา" ที่ต้องการรถเก๋งราคาประหยัด (ผ่อนสบาย 4-5 พันบาท) แต่ได้สมรรถนะดีกว่า Eco Car เครื่อง 1.2 ลิตร ขับทางไกลมั่นใจกว่า และต้องการรถที่ซ่อมง่าย อะไหล่หาง่าย
• ราคา 2.59 แสน: ได้รถรุ่นท็อป SV ที่ออปชั่นครบ (Paddle Shift, เบาะพับ, ล้อ 16") ในราคาที่จับต้องได้ง่าย
• สภาพเดิม: การหารถปี 2013 ที่สภาพเดิมๆ ไม่ผ่านการแต่งซิ่งหรือดัดแปลงเครื่องยนต์เริ่มยากขึ้น คันนี้จึงน่าสนใจสำหรับคนที่ชอบรถคลีนๆ
• ความทนทาน: เครื่อง L15A และเกียร์ 5AT ของฮอนด้า ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ไม่จุกจิก ติดแก๊สก็ทน (ถ้าต้องการติดเพิ่ม)

• รุ่น: Honda City (Sedan 4 ประตู)
• รุ่นย่อย: 1.5 SV i-VTEC (ตัวท็อปสุด)
• ปี: 2013
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร (L15A) 120 แรงม้า
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5AT) พร้อม Paddle Shift
• จุดเด่น: สภาพเดิมโรงงาน (Original), เบาะหลังพับ/เอนได้, Paddle Shift, ชุดแต่งสปอร์ตศูนย์
• ราคาจำหน่าย: 259,000 บาท

Paddle Shift (แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย):

• รายละเอียด: มีเฉพาะในรุ่น SV เท่านั้น ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงได้เองจากปลายนิ้ว
• ประโยชน์: เพิ่มความสนุกในการขับขี่ (Fun to Drive) เร่งแซงได้ดั่งใจ หรือใช้เชนจ์เกียร์ช่วยเบรก (Engine Brake) เวลาลงเขาได้ปลอดภัยกว่า

เบาะหลังพับ 60:40 และปรับเอนได้:

• รายละเอียด: Honda City โฉมนี้เป็นรุ่นเดียวที่เบาะหลังสามารถปรับเอนลงได้ 1 ระดับ และพับราบเพื่อทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระได้
• ประโยชน์: เพิ่มความสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง และเพิ่มพื้นที่ขนของแนวยาวได้เอนกประสงค์ ซึ่ง City รุ่นใหม่ๆ ตัดฟังก์ชันปรับเอนเบาะออกไปแล้ว

สภาพเดิมโรงงาน (Original Condition):

• รายละเอียด: จากภาพภายนอกและภายใน รถคันนี้ยังคงสภาพเดิมๆ ล้อแม็กเดิม วิทยุเดิม
• ประโยชน์: มั่นใจได้ว่าระบบไฟและเครื่องยนต์ไม่ถูกดัดแปลงจนช้ำ เหมาะสำหรับคนที่หารถบ้านไว้ใช้งานจริง หรือนำไปแต่งต่อได้ง่าย

เครื่องยนต์ L15A จับคู่เกียร์ 5AT ขับสนุก รอบจัดจ้าน:

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 9.0 - 11.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล: ประมาณ 14.0 - 16.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 12.0 - 13.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: อาจจะไม่ประหยัดเท่า Eco Car ยุคปัจจุบัน แต่ได้พละกำลัง 120 แรงม้าที่เร่งแซงได้มั่นใจกว่า และเกียร์ 5AT ที่ทนทาน ดูแลรักษาง่าย

• ความจุ: 506 ลิตร (ใหญ่ที่สุดในคลาสตอนนั้น)
• จุดเด่น: พื้นที่ลึกและกว้าง ใส่ถุงกอล์ฟได้ 2 ใบสบายๆ และเมื่อพับเบาะหลังลงจะสามารถใส่ของชิ้นยาว เช่น ราวตากผ้า หรืออุปกรณ์กีฬาได้

รถคันนี้เน้นความเดิม สะอาด เรียบร้อย:

Honda City 1.5 SV คันนี้คือ "รถเก๋งมือสองที่คุ้มค่าเงินที่สุดในงบ 2 แสนกลาง"

• ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับ "คนทำงานเริ่มต้น หรือ นักศึกษา" ที่ต้องการรถเก๋งราคาประหยัด (ผ่อนสบาย 4-5 พันบาท) แต่ได้สมรรถนะดีกว่า Eco Car เครื่อง 1.2 ลิตร ขับทางไกลมั่นใจกว่า และต้องการรถที่ซ่อมง่าย อะไหล่หาง่าย
• ราคา 2.59 แสน: ได้รถรุ่นท็อป SV ที่ออปชั่นครบ (Paddle Shift, เบาะพับ, ล้อ 16") ในราคาที่จับต้องได้ง่าย
• สภาพเดิม: การหารถปี 2013 ที่สภาพเดิมๆ ไม่ผ่านการแต่งซิ่งหรือดัดแปลงเครื่องยนต์เริ่มยากขึ้น คันนี้จึงน่าสนใจสำหรับคนที่ชอบรถคลีนๆ
• ความทนทาน: เครื่อง L15A และเกียร์ 5AT ของฮอนด้า ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ไม่จุกจิก ติดแก๊สก็ทน (ถ้าต้องการติดเพิ่ม)

• รุ่น: Honda City (Sedan 4 ประตู โฉม GM6)
• รุ่นย่อย: 1.5 V (รุ่นกลางคุ้มค่า)
• ปี: 2015
• เลขไมล์: 13x,xxx กม. (ไมล์แท้)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร (L15Z1) i-VTEC 117 แรงม้า รองรับ E85
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ CVT
• จุดเด่น: รองรับ E85, ภายในกว้างที่สุดในกลุ่ม, เปลี่ยนจอ Android 9 นิ้ว, ล้อแม็ก LENSO, สเกิร์ตรอบคัน
• ราคาจำหน่าย: 269,000 บาท

เครื่องยนต์รองรับ E85:

• ประโยชน์: เป็นจุดเด่นของ City โฉมนี้ที่สามารถเติมน้ำมัน E85 ได้จากโรงงาน ช่วยประหยัดค่าน้ำมันต่อลิตรได้มาก เหมาะกับยุคน้ำมันแพง และเครื่องยนต์ทนทานดูแลรักษาง่าย

ห้องโดยสารกว้างขวาง (Best in Class):

• รายละเอียด: การออกแบบ Man Maximum, Machine Minimum ทำให้พื้นที่วางขาเบาะหลังกว้างกว่ารถระดับเดียวกัน (กว้างกว่า Civic บางโฉมด้วยซ้ำ)
• ประโยชน์: นั่งสบาย 5 คนไม่อึดอัด เหมาะสำหรับครอบครัวหรือคนที่มีเพื่อนฝูงเยอะ

อัพเกรดจอ Android 9 นิ้ว:

• รายละเอียด: เปลี่ยนวิทยุเดิมเป็นจอสัมผัส Android ขนาดใหญ่
• ประโยชน์: ใช้งาน Google Maps, YouTube, Spotify ได้สะดวกเหมือนใช้แท็บเล็ตในรถ พร้อมกล้องมองหลังเพิ่มความปลอดภัย

เครื่องยนต์ L15Z1 + เกียร์ CVT เน้นความประหยัดและความนุ่มนวล:

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 11.0 - 13.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล (เติม E20/91): ประมาณ 16.0 - 18.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 14.0 - 15.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: หากเติม E85 อัตราสิ้นเปลืองจะลดลงเหลือประมาณ 9-11 กม./ลิตร แต่แลกมาด้วยราคาน้ำมันที่ถูกกว่า

• ความจุ: 536 ลิตร
• จุดเด่น: ห้องเก็บของท้ายลึกและกว้างมาก สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ และใบเล็กอีก 2 ใบได้สบายๆ เหมาะกับการไปเที่ยวต่างจังหวัด

รถคันนี้มีการตกแต่งภายนอกและภายในให้ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น:

Honda City 1.5 V คือ "ซิตี้คาร์ ขวัญใจมหาชน"

• ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการรถใช้งานที่ "ไว้ใจได้" ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา พนักงานออฟฟิศ หรือแม่บ้าน City โฉมนี้ขับง่าย ปัญหาน้อย อะไหล่หาง่ายที่สุดรุ่นหนึ่งในไทย
• ราคา 2 แสนกลาง: ได้รถปี 2015 (อายุไม่เยอะ) ออปชั่นปุ่มสตาร์ท แอร์ดิจิตอล ในราคาที่จับต้องได้ง่าย ผ่อนสบายกระเป๋า
• ไมล์แท้ 13x,xxx กม.: เฉลี่ยปีละ 1.6 หมื่นโล ถือว่าใช้งานน้อย-ปานกลาง เครื่องยนต์ยังฟิต ใช้งานต่อได้อีกยาวไกล
• แต่งมาครบ: ทั้งล้อแม็ก สเกิร์ต จอ Android และเบาะหนัง ไม่ต้องเสียเงินทำเพิ่มแล้ว ขับหล่อได้เลย

• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.0 ลิตร VTEC TURBO (122 แรงม้า) แรงบิด 173 นิวตันเมตร
• เกียร์: อัตโนมัติ CVT ตอบสนองไวและประหยัดน้ำมัน
• รูปแบบตัวถัง: Hatchback 5 ประตู (ท้ายสั้น คล่องตัว)
• จุดเด่นสูงสุด: เบาะนั่ง Ultra Seats พับได้ 4 โหมด (Utility, Long, Tall, Refresh)
• รุ่นย่อย: SV (รองท็อป) ได้เบาะหนังและออปชั่นครบครัน
• ภายใน: หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว (Apple CarPlay/Android Auto), แอร์อัตโนมัติ
• ความปลอดภัย: กล้องมองหลังปรับ 3 ระดับ, ABS, VSA, HSA, ถุงลม 4 จุด

1. เบาะนั่ง Ultra Seats (เอกลักษณ์เฉพาะรุ่น 5 ประตู)

พับเบาะได้อิสระ 60:40 และปรับได้ 4 โหมด: พับราบขนของใหญ่ (Utility), พับหน้า-หลังขนของยาว (Long), ยกเบาะขึ้นขนต้นไม้สูง (Tall), และพับนอน (Refresh) เหนือกว่ารุ่น Sedan ชัดเจน

2. เครื่องยนต์ 1.0 VTEC TURBO จิ๋วแต่แจ๋ว

แรงบิดสูงถึง 173 Nm ที่รอบต่ำ ทำให้ออกตัวและเร่งแซงทันใจเหมือนเครื่อง 1.8 ลิตร ขับสนุก ไม่ต้องเค้น และประหยัดภาษีประจำปี

3. รุ่น SV ออปชั่นคุ้มค่า

ให้เบาะหนังแท้ผสมหนังสังเคราะห์ ดูแลรักษาง่ายกว่าเบาะผ้า พร้อมแอร์อัตโนมัติและหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว ใช้งานได้สะดวกสบายโดยไม่ต้องจ่ายแพงเท่ารุ่น RS

ราคาหลุดโลก: 4.29 แสนบาท ได้รถปี 2022 สภาพใหม่ ถูกกว่าตลาดและป้ายแดงมหาศาล

อเนกประสงค์ตัวจริง: ตัวถัง Hatchback + Ultra Seats ขนของได้ทุกรูปแบบที่รถเก๋งทำไม่ได้

ความแรงที่ไว้ใจได้: เครื่อง 1.0 Turbo ขับสนุก อะไหล่หาง่าย ศูนย์บริการเยอะ ใช้ยาวๆ สบายใจ

• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร i-VTEC (L15A) 120 แรงม้า แรงที่สุดในยุคนั้น
• เกียร์: อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5AT) ขับสนุกกว่า CVT ลากรอบได้สะใจ
• รุ่นย่อย: 1.5 SV (Top Grade) ภายในดำ เบาะหลังปรับเอนได้
• จุดเด่นพิเศษ: Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, เบาะหลังพับ 60:40
• ของแต่ง: ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว ลาย RE30 + น็อตแต่ง + ยางใหม่
• สภาพ: รถสวยเดิมบาง สีเทาเงางาม ภายในสะอาด

1. เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และ Paddle Shift

เอกลักษณ์ของรุ่นนี้คือเกียร์ 5AT ที่ตอบสนองฉับไว ไม่หน่วงเหมือน CVT รุ่นใหม่ พร้อม Paddle Shift ให้เชนจ์เกียร์เองได้ ขับสนุก มั่นใจเวลาเร่งแซง

2. ห้องโดยสารอเนกประสงค์เกินตัว

เบาะหลังปรับเอนได้ (Reclining) นั่งทางไกลสบาย พื้นที่เก็บของใต้เบาะหลัง และพับเบาะเชื่อมต่อกระโปรงท้ายเพื่อขนของยาวได้

3. สมรรถนะเครื่องยนต์ L15A

เครื่องยนต์ในตำนาน อะไหล่หาง่าย ทนทาน รองรับ E20 อัตราเร่งดีเยี่ยม ไม่อืดอาด

ฟีลลิ่งขับสนุก: เกียร์ 5AT + Paddle Shift ตอบโจทย์สายซิ่งที่เบื่อเกียร์ CVT

รุ่นท็อปคุ้มค่า: เบาะหลังพับได้ ปรับเอนได้ ออปชันครบจบตั้งแต่ออกโรงงาน

ทรงสวยพร้อมใช้: ได้ล้อแม็กแต่งลายยอดนิยม ยางใหม่ ไม่ต้องกำเงินไปแต่งเพิ่ม

• เครื่องยนต์: เบนซิน V6 2.5 ลิตร (M272) 204 แรงม้า เสียงหวาน เดินนิ่ง
• เกียร์: อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-TRONIC) เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล
• รุ่นย่อย: Avantgarde (ตัวท็อปสายสปอร์ต) กระจังหน้าดาวจม
• อัพเกรดพิเศษ: จอ Android Touchscreen ตรงรุ่น + กล้องมองหลัง
• ช่วงล่าง: Agility Control แบบสปอร์ต หนึบแน่นมั่นใจ
• สภาพภายใน: เบาะหนังสีดำสภาพตึง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปุ่มไม่ลอก

1. สุนทรียภาพของเครื่องยนต์ V6

เครื่อง 6 สูบ ให้ความนิ่งเงียบในรอบเดินเบาที่ดีกว่าเครื่อง 4 สูบมาก อัตราเร่งมาต่อเนื่อง และเสียงเครื่องยนต์ไพเราะดุดันเมื่อลากรอบ เป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในรถยุคใหม่

2. ระบบความบันเทิง Android (อัพเกรดแล้ว)

เปลี่ยนวิทยุเดิมเป็นจอ Android ขนาดใหญ่ รองรับ YouTube, Google Maps และ Netflix ลบจุดอ่อนเรื่องเทคโนโลยีของรถปี 2010 ให้ใช้งานได้สะดวกเท่ารถปัจจุบัน

3. ความทนทานของตัวถัง W204

ได้รับฉายาว่ารถถังยุคใหม่ วัสดุภายในทนทาน ปุ่มลอกยาก ระบบไฟฟ้าไม่จุกจิก ซ่อมง่าย อะไหล่เยอะ เป็นรุ่นที่น่าใช้ที่สุดรุ่นหนึ่งของ Mercedes-Benz

สมรรถนะเกินราคา: งบ 2 แสนปลาย ได้เครื่อง V6 204 แรงม้า ขับสนุกกว่า Eco Car ป้ายแดงคนละเรื่อง

เทคโนโลยีทันสมัย: ติดตั้งจอ Android และกล้องหลังมาแล้ว ลบจุดด้อยรถปีเก่า ใช้งานสะดวกสบาย

ภาพลักษณ์ดี ดูแลง่าย: ตราดาวสามแฉกยังคงดูภูมิฐาน ตัวถัง W204 ทนทาน อะไหล่เยอะ ซ่อมจบง่าย

• รุ่น: Mercedes-Benz A-Class Sedan (V177)
• รุ่นย่อย: A200 Progressive (ประกอบในประเทศ)
• ปี: 2021
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.3 ลิตร (M282) 4 สูบ เทอร์โบ
• กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า / แรงบิด 250 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-DCT) คลัตช์คู่
• จุดเด่น: ดีไซน์ Baby CLS, ภายใน Widescreen Cockpit, ระบบ MBUX, เครื่องเล็กแรงประหยัด
• ราคาจำหน่าย: 999,000 บาท

เครื่องยนต์ 1.3 Turbo (Small but Powerful):

• รายละเอียด: พัฒนาร่วมกับ Renault-Nissan ใช้เทคโนโลยี Cylinder Deactivation (ตัดการทำงานของลูกสูบเมื่อเดินเบา)
• ประโยชน์: ให้สมรรถนะอัตราเร่งที่จัดจ้าน (0-100 กม./ชม. ใน 8.1 วินาที) เทียบเท่าเครื่อง 2.0 ลิตรยุคเก่า แต่เสียภาษีถูกกว่าและประหยัดน้ำมันกว่ามาก

ระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience):

• รายละเอียด: ระบบปฏิบัติการมัลติมีเดียที่เรียนรู้นิสัยผู้ใช้ สั่งงานด้วยเสียง "Hey Mercedes" ได้ และมี Touchpad ควบคุมที่คอนโซลกลาง
• ประโยชน์: สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ทันสมัย สะดวกสบาย และดู High-tech ที่สุดในรถระดับเดียวกัน หน้าจอคมชัดและตอบสนองไว

ดีไซน์ภายใน (The Best Interior in Class):

• รายละเอียด: ช่องแอร์ทรง Turbine และหน้าจอ Widescreen Cockpit ยาวเชื่อมต่อกัน
• ประโยชน์: ให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียม เกินหน้ารถ Compact Sedan ทั่วไป สร้างความประทับใจทุกครั้งที่เข้ามานั่ง

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 10.0 - 12.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล: ประมาณ 16.0 - 19.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 13.0 - 15.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: หากขับเนียนๆ ใช้โหมด Eco สามารถทำตัวเลขแตะ 20 กม./ลิตร ได้จริง ซึ่งประหยัดพอๆ กับ Eco Car ญี่ปุ่น แต่ได้สมรรถนะและความปลอดภัยระดับเบนซ์

• ความจุห้องสัมภาระท้าย: 420 ลิตร
• จุดเด่น: ปากทางเข้ากว้าง และลึก สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ หรือถุงกอล์ฟได้
• ความอเนกประสงค์: เบาะหลังพับได้แบบ 40:20:40 ช่วยให้ขนของยาวๆ เช่น ราวผ้าม่าน หรืออุปกรณ์กีฬา ได้โดยไม่ต้องเสียที่นั่งผู้โดยสารทั้งแถว

รถคันนี้เน้นความเดิมสนิท (Stock) ซึ่งดีมากสำหรับรถยุโรปมือสอง:

Mercedes-Benz A200 Progressive คือ "ตั๋วใบแรกสู่โลกของ Benz ที่คุ้มค่าที่สุด"

• ราคาต่ำล้าน: การได้ขับ Mercedes-Benz ปีใหม่ๆ (2021) ในราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ถือเป็น Sweet Spot ที่คุ้มค่ามาก ราคาลงมาครึ่งหนึ่งจากป้ายแดง
• สภาพใหม่กริ๊บ: รถปี 2021 ไมล์ 8 หมื่นโล ถือว่าใช้งานปกติ (เฉลี่ยปีละ 2 หมื่นโล) ภายในยังดูใหม่มาก ปุ่มต่างๆ ไม่ลอก หน้าจอยังใส
• รุ่น Progressive ขับสบาย: ช่วงล่างของรุ่น Progressive จะเซ็ตมานุ่มนวลกว่ารุ่น AMG Dynamic ทำให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่า ไม่กระด้างจนเหนื่อย

• รุ่น: Mercedes-Benz SLK200 Kompressor (R171 Facelift)
• ปี: 2010 (โฉมสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเป็น R172)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.8 ลิตร (M271) 4 สูบ Supercharged
• กำลังสูงสุด: 184 แรงม้า / แรงบิด 250 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5G-Tronic) พร้อม Paddle Shift
• รูปแบบตัวถัง: Roadster เปิดประทุนหลังคาแข็ง (Vario-Roof)
• จุดเด่น: หน้า F1 Nose, ชุดแต่ง AMG รอบคัน, จอ Android, เข็มขัดแดง, หลังคาไฟฟ้า
• ราคาจำหน่าย: 679,000 บาท

เครื่องยนต์ Kompressor (Supercharged):

• รายละเอียด: ใช้ระบบอัดอากาศแบบซูเปอร์ชาร์จที่ทำงานด้วยสายพานพ่วงกับเครื่องยนต์
• ประโยชน์: ให้แรงบิดมาต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ ไม่ต้องรอรอบเหมือนเทอร์โบ ขับขี่ในเมืองสนุก กดเป็นมา และดูแลรักษาง่ายกว่าระบบเทอร์โบซับซ้อนในรถยุคใหม่ๆ

หลังคาแข็ง Vario-Roof:

• รายละเอียด: สามารถพับเก็บได้ภายในเวลาประมาณ 22 วินาที เปลี่ยนจากรถคูเป้เป็นรถเปิดประทุนได้เพียงปลายนิ้ว
• ประโยชน์: ได้รถ 2 บุคลิกในคันเดียว คือความเงียบและปลอดภัยแบบรถเก๋งเมื่อปิดหลังคา และความสุนทรีย์รับลมธรรมชาติเมื่อเปิดหลังคา ปลอดภัยกว่าหลังคาผ้าใบ

ภายในอัพเกรดทันสมัย (Android Head Unit):

• รายละเอียด: รถคันนี้ได้รับการเปลี่ยนวิทยุเดิมเป็นจอ Touchscreen ระบบ Android ขนาดใหญ่
• ประโยชน์: แก้จุดอ่อนเรื่องเทคโนโลยีของรถปีลึก ทำให้สามารถใช้ Google Maps, Spotify, YouTube และเชื่อมต่อ Bluetooth ได้สะดวกเหมือนรถรุ่นใหม่

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 8.0 - 9.5 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล: ประมาณ 12.0 - 14.0 กม./ลิตร
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 10.0 - 11.0 กม./ลิตร

วิเคราะห์เพิ่มเติม: เกียร์ 5 สปีดอาจจะรอบสูงนิดนึงเมื่อวิ่งความเร็วสูงมากๆ แต่แลกมาด้วยความทนทานที่เป็นเลิศ

• เมื่อปิดหลังคา (Roof Up): 300 ลิตร (ใส่ถุงกอล์ฟใบใหญ่ได้ 1 ใบ หรือกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง 2 ใบ)
• เมื่อเปิดหลังคา (Roof Down): 208 ลิตร (พื้นที่ส่วนหนึ่งจะถูกใช้เก็บชุดหลังคา แต่ยังมีแผ่นกั้นสัมภาระให้วางของชิ้นเล็กๆ ได้)
• จุดเด่น: เป็นรถ Roadster ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในคลาส

รถคันนี้แต่งมาครบในสไตล์สปอร์ตดุดัน (Black Series Look):

SLK R171 คันนี้คือ "ของเล่นคนมีรสนิยม" ในราคา Eco Car

• ราคาแข็งแต่ซื้อได้ถูก: R171 เป็นรุ่นที่ราคาเริ่มนิ่งและอาจจะขยับขึ้นในอนาคตในฐานะ Modern Classic การได้รถสภาพแต่งสวยไมล์น้อยในราคา 6 แสนปลายถือว่าคุ้ม
• ซ่อมง่าย: เครื่อง M271 ฝาร่อง/ฝาเรียบ เป็นเครื่องพื้นฐานของ Benz C-Class / E-Class ยุคนั้น อะไหล่เกลื่อนเมือง ช่างอู่นอกซ่อมหลับตาซ่อมได้ ค่าดูแลไม่แพงเหมือนรถสปอร์ตทั่วไป
• แต่งจบ: ของแต่งที่ใส่มาทั้งจอ Android, ล้อ, และชุดแต่ง AMG ช่วยประหยัดเงินแต่งรถไปได้เกือบแสนบาท ได้รถหล่อพร้อมขับทันที
• สรุป: ให้ภาพลักษณ์เศรษฐี และขับสนุกแบบ Open Air โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อมบานปลาย

• รุ่น: Jaguar XF (X250) Facelift Sedan
• ปี: 2012 (โฉม Minorchange)
• เครื่องยนต์: ดีเซล 2.2 ลิตร (AJ-i4D) เทอร์โบแปรผัน
• กำลังสูงสุด: 190 แรงม้า / แรงบิด 450 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP) พร้อม Paddle Shift
• จุดเด่น: หน้าตา Facelift ทันสมัย, เครื่องดีเซลประหยัดน้ำมัน, เกียร์ 8 สปีด, จอ Android อัปเกรดแล้ว
• ราคาจำหน่าย: 659,000 บาท

เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร + เกียร์ ZF 8 สปีด:

• รายละเอียด: เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Jaguar ยุคนั้นที่หันมาใช้เครื่องเล็กแต่แรงบิดสูง จับคู่กับเกียร์ ZF 8 สปีด ที่ฉลาดและตอบสนองไวมาก
• ประโยชน์: ได้ทั้งความแรง (แรงบิด 450 Nm ดึงหลังติดเบาะ) และความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ ต่างจากเครื่อง 3.0 V6 รุ่นเก่าที่กินน้ำมันดุเดือด เกียร์ 8 สปีดช่วยให้รอบเครื่องต่ำเมื่อวิ่งทางไกล ลดเสียงรบกวนและประหยัดเชื้อเพลิง

หน้าจอ Infotainment แบบ Android ตรงรุ่น (อัพเกรดมาแล้ว):

• รายละเอียด: รถคันนี้ได้รับการเปลี่ยนจอกลางเป็นจอ Touchscreen ขนาดใหญ่ระบบ Android ที่ทันสมัย
• ประโยชน์: แก้จุดอ่อนเรื่องเทคโนโลยีของรถปีลึก รองรับแผนที่นำทาง (Google Maps), YouTube, Bluetooth และกล้องถอยหลังที่ชัดเจน ใช้งานสะดวกเหมือนรถยุคปัจจุบัน

โฉม Facelift (X250 LCI):

• รายละเอียด: ไฟหน้าเรียวเล็กลงพร้อมไฟ DRL รูปตัว J ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่
• ประโยชน์: ดูทันสมัยและไม่ตกยุค หน้าตาใกล้เคียงกับรถรุ่นใหม่ๆ ของ Jaguar มากขึ้น ขับไปไหนยังดูภูมิฐานและสปอร์ต

เป็นจุดขายหลักของรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ดีเซล ประหยัดกว่ารุ่น 3.0 V6 เกือบเท่าตัว:

• ขับขี่ในเมือง: ประมาณ 11.0 - 13.0 กม./ลิตร
• ขับขี่ทางไกล (ความเร็วคงที่): ประมาณ 16.0 - 19.0 กม./ลิตร (ทำได้จริงเพราะเกียร์ 8 สปีดช่วยทดรอบ)
• เฉลี่ยการใช้งานจริง: ประมาณ 14.0 - 15.0 กม./ลิตร

• ความจุห้องสัมภาระท้าย: 540 ลิตร (กว้างขวางกว่าคู่แข่งในยุคนั้นหลายรุ่น)
• จุดเด่น: พื้นที่ลึกและกว้าง ใส่ถุงกอล์ฟได้ 2 ใบตามขวาง หรือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2-3 ใบได้สบาย
• ฟังก์ชันเพิ่มเติม: เบาะหลังสามารถพับลงได้ (60:40) เพื่อเพิ่มพื้นที่วางของแนวยาว

รถคันนี้มีการตกแต่งที่เพิ่มมูลค่าการใช้งานมาอย่างดี:

Jaguar XF 2.2 Diesel (Facelift) คือ "ตัวจบ" ที่น่าเล่นที่สุด

• ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้บริหาร หรือคนที่ต้องการภาพลักษณ์รถยุโรปที่มีระดับ แต่ต้องการความประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงที่ไม่โหดร้ายเหมือนรุ่นเครื่อง V6 หรือ V8
• ได้โฉม Facelift ในราคาดี: หน้าตาแบบนี้ยังดูไม่เก่า ขับไปเทียบกับรถปี 2016-2017 ได้สบาย
• เครื่องยนต์และเกียร์: เครื่อง 2.2 ดีเซล + เกียร์ ZF 8 สปีด คือ "Golden Combination" ของ Jaguar ยุคนั้น ทนทาน ประหยัด และขับสนุก
• ออปชั่นจบ: จอ Android ที่ใส่มาให้แล้วช่วยประหยัดงบแต่งไปได้อีกหลายหมื่นบาท ได้รถพร้อมใช้งานทันที