รถมือสอง คัดสภาพ ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนถูก

• เครื่องยนต์: ดีเซล 5 สูบ 3.2 ลิตร Duratorq TDCi 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร
• ระบบขับเคลื่อน: 4WD พร้อม Shift-on-the-Fly และ Locking Rear Differential
• ของแต่ง: ฝาปิดท้ายกระบะ Roller Shutter, ชุดเครื่องเสียงอัปเกรด (Top Panel)
• เทคโนโลยี: Adaptive Cruise Control, Lane Keeping System, และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC™

ขุมพลัง 3.2 ลิตร...ที่สุดแห่งพละกำลัง

นี่คือหัวใจที่ทำให้ WildTrak เป็นตำนาน เครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ ให้กำลังและแรงบิดที่เหนือกว่ารถกระบะทั่วไปในยุคนั้นอย่างชัดเจน ทำให้การลากจูงของหนัก, การบรรทุกเต็มพิกัดขึ้นทางชัน, หรือการเร่งแซงบนทางหลวง เป็นไปอย่างง่ายดายและทรงพลัง

อเนกประสงค์และปลอดภัยด้วยฝาปิดท้าย

การติดตั้งฝาปิดท้ายกระบะแบบม้วน (Roller Shutter) ช่วยเพิ่มประโยชน์ใช้สอยได้อย่างมหาศาล คุณสามารถเก็บสัมภาระสำคัญไว้ท้ายกระบะได้อย่างปลอดภัย ป้องกันทั้งแดด, ฝน และการโจรกรรม

เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับรถยุโรป

ในปี 2017 Ranger WildTrak ได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มาใส่ในรถกระบะ ทั้ง Adaptive Cruise Control, Lane Keeping System และระบบเตือนการชนด้านหน้า

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ประมาณ 9 - 11 กม./ลิตร
• อัตราสิ้นเปลืองเมื่อบรรทุกหนัก: ประมาณ 7 - 9 กม./ลิตร

Ford Ranger WildTrak 3.2 คันนี้คือ "ที่สุดของรถกระบะอเนกประสงค์" ในตลาดมือสอง ไม่เพียงแต่คุณจะได้รถรุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น แต่ยังมาพร้อมของแต่งที่ใช้งานได้จริงและมีราคาสูงติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว

การได้รถที่ "พร้อมใช้" ทั้งในงานหนักและชีวิตประจำวัน ในราคาเพียงสี่แสนกว่าบาท ถือเป็นความคุ้มค่าที่หาไม่ได้ง่ายๆ นี่คือการลงทุนใน "ความแกร่ง" ที่พร้อมจะรับใช้คุณไปอีกนานแสนนานครับ

• รุ่น: Mercedes-Benz C350e (Plug-in Hybrid)
• รุ่นย่อย: Exclusive (รุ่นเน้นความหรูหรา, ดาวลอย)
• ปี: 2018
• เลขไมล์: 18,XXX กม. (สภาพป้ายแดง)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้า
• กำลังสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 279 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 600 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS)
• จุดเด่น: ไมล์ 18,XXX กม. (น้อยที่สุดในตลาด), ช่วงล่างถุงลม (Airmatic), เครื่องเสียง Burmester, ขับขี่แบบ EV Mode ได้
• ราคาจำหน่าย: 789,000 บาท

เลขไมล์ 18,XXX กม. (สภาพเหมือนใหม่):

• จุดเด่น: นี่คือจุดขายที่สำคัญที่สุด รถปี 2018 (อายุ 6-7 ปี) ที่วิ่งเฉลี่ยเพียงปีละ ~3,000 กม. ถือเป็น "รถสะสม" หรือ "รถจอด"
• ประโยชน์: สภาพภายใน ภายนอก และระบบเครื่องกลต่างๆ แทบไม่ผ่านการใช้งานหนัก ระบบที่ซับซ้อนอย่างแบตเตอรี่ไฮบริดและช่วงล่างถุงลมจึงยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก

ช่วงล่างถุงลม (AIRMATIC):

• จุดเด่น: เป็นออปชันที่ "แพงที่สุด" และ "ดีที่สุด" ของ C-Class (มีเฉพาะในรุ่น C350e เท่านั้น) เป็นระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ปรับความนุ่ม-แข็ง และความสูง-ต่ำได้
• ประโยชน์: ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นอื่นอย่างชัดเจน เทียบเท่ากับ S-Class รุ่นใหญ่

รุ่น Exclusive (เน้นความหรูหรา):

• จุดเด่น: รุ่น Exclusive จะได้กระจังหน้าแบบคลาสสิก พร้อมโลโก้ดาวลอยบนฝากระโปรง, ภายในตกแต่งด้วยลายไม้ Walnut, และนาฬิกาอนาล็อกกลางคอนโซล
• ประโยชน์: ให้ภาพลักษณ์ที่ภูมิฐาน สุขุม และหรูหราเหนือกาลเวลา

ขุมพลัง Plug-in Hybrid (600 Nm):

• จุดเด่น: ให้แรงบิดมหาศาล 600 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที
• ประโยชน์: ขับสนุก แรงสั่งได้ทันที และยังสามารถขับขี่ใน "EV Mode" (ไฟฟ้าล้วน) ได้ไกล 25-30 กม. ทำให้การขับในเมืองประหยัดน้ำมันสูงสุด

เนื่องจากเป็นรถ Plug-in Hybrid (PHEV) การวัดอัตราสิ้นเปลืองจะขึ้นอยู่กับการชาร์จไฟ:

• ชาร์จไฟเต็มทุกวัน (ขับในเมือง): สามารถใช้งานโดยไม่ใช้น้ำมันเลยได้ หากระยะทางไป-กลับไม่เกิน 25-30 กม. (อัตราสิ้นเปลือง 0 กม./ลิตร)
• โหมด Hybrid (ขับทางไกล): ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับพลังงานในแบตเตอรี่)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย (ตาม ECO Sticker): 47.6 กม./ลิตร (เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบโดยชาร์จไฟเต็ม)

• ความจุ: 335 ลิตร
• หมายเหตุ: พื้นที่ท้ายรถจะลดลงจากรุ่นปกติ (480 ลิตร) และมีลักษณะเป็นขั้นบันได เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริด

(เน้นออปชันมาตรฐานรุ่น C350e Exclusive ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นพื้นฐาน)

Mercedes-Benz C350e Exclusive คันนี้คือ "รถที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด" อย่างแท้จริง

• "ไมล์ 18,XXX" ในราคา "ไมล์ 2 แสน": นี่คือจุดขายที่สำคัญที่สุด ราคา 789,000 บาท เป็นราคาปกติของรถรุ่นนี้ที่วิ่งมาแล้ว 1.5 - 2 แสนกิโลเมตร การได้รถสภาพ "ใหม่กริ๊บ" ในราคานี้ ถือว่าประหยัดไปอีกอย่างน้อย 2-3 แสนบาทจากราคาตลาดทั่วไป
• ได้เทคโนโลยี "S-Class ย่อส่วน": คุณได้ "ช่วงล่างถุงลม" และ "เครื่องเสียง Burmester" ซึ่งเป็นออปชันที่ปกติจะอยู่ในรถ S-Class ให้ความนุ่มนวลและสุนทรียภาพที่ C-Class รุ่นอื่นให้ไม่ได้
• สมรรถนะที่เร้าใจ: ด้วยแรงบิด 600 นิวตันเมตร ทำให้รถคันนี้แรงกว่ารถสปอร์ตหลายรุ่น แต่ยังสามารถขับประหยัดแบบรถ EV ในเมืองได้
• ภาพลักษณ์หรูหรา: รุ่น Exclusive ดาวลอย ให้ภาพลักษณ์ที่สุขุม

• รุ่น: Mercedes-Benz C350e (Plug-in Hybrid)
• รุ่นย่อย: AMG Dynamic (รุ่นท็อปสุด)
• ปี: 2018
• เลขไมล์: 10x,xxx กม. (ดูแลดีมาก)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้า
• กำลังสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 279 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 600 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS)
• จุดเด่น: ชุดแต่ง AMG Dynamic, หลังคา Panoramic Sunroof, ช่วงล่างถุงลม (Airmatic), เครื่องเสียง Burmester, แรงบิด 600 Nm
• ราคาจำหน่าย: 769,000 บาท

ขุมพลัง Plug-in Hybrid (279 แรงม้า / 600 Nm):

• จุดเด่น: เป็นรถ "2 บุคลิก" ที่สมบูรณ์แบบ ให้แรงบิดมหาศาล 600 นิวตันเมตร (เทียบเท่า V8) ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที
• ประโยชน์: ขับสนุก แรงสั่งได้ทันที และยังสามารถขับขี่ใน "EV Mode" (ไฟฟ้าล้วน) ได้ไกล 25-30 กม. ทำให้การขับในเมืองประหยัดน้ำมันสูงสุด

ช่วงล่างถุงลม (AIRMATIC):

• จุดเด่น: นี่คือออปชันที่ "แพงที่สุด" และ "ดีที่สุด" ของ C-Class (มีเฉพาะในรุ่น C350e เท่านั้น) เป็นระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ปรับความนุ่ม-แข็ง และความสูง-ต่ำได้
• ประโยชน์: ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นอื่นอย่างชัดเจน เทียบเท่ากับ S-Class รุ่นใหญ่

รุ่น AMG Dynamic (สปอร์ตเต็มพิกัด):

• จุดเด่น: แตกต่างจากรุ่น Exclusive ชัดเจนด้วยชุดแต่ง AMG (กันชนหน้า-หลัง, สเกิร์ตข้าง), ล้อ AMG 18 นิ้ว, กระจังหน้าดาวใหญ่, พวงมาลัยสปอร์ตท้ายตัด, และ "หลังคา Panoramic Sunroof"
• ประโยชน์: ให้ภาพลักษณ์ที่ดุดัน ทันสมัย และสปอร์ตเต็มขั้น ซึ่งเป็นรุ่นที่ตลาดมือสองต้องการมากที่สุด

ประวัติดูแลดี ไมล์ 10x,xxx กม.:

• จุดเด่น: เลขไมล์ 1 แสนกิโลเมตรสำหรับรถ 6 ปี ถือเป็นระยะใช้งานปกติ (เฉลี่ยปีละ 16,xxx กม.) การที่มีประวัติ "ดูแลดีมาก" (Very Well Maintained) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
• ประโยชน์: มั่นใจได้ว่าระบบที่ซับซ้อนอย่าง Plug-in Hybrid และช่วงล่างถุงลม ได้รับการบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้งาน

เนื่องจากเป็นรถ Plug-in Hybrid (PHEV) การวัดอัตราสิ้นเปลืองจะขึ้นอยู่กับการชาร์จไฟ:

• ชาร์จไฟเต็มทุกวัน (ขับในเมือง): สามารถใช้งานโดยไม่ใช้น้ำมันเลยได้ หากระยะทางไป-กลับไม่เกิน 25-30 กม. (อัตราสิ้นเปลือง 0 กม./ลิตร)
• โหมด Hybrid (ขับทางไกล): ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับพลังงานในแบตเตอรี่)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย (ตาม ECO Sticker): 47.6 กม./ลิตร (เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบโดยชาร์จไฟเต็ม)

• ความจุ: 335 ลิตร
• หมายเหตุ: พื้นที่ท้ายรถจะลดลงจากรุ่นปกติ (480 ลิตร) และมีลักษณะเป็นขั้นบันได เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริด

(เน้นออปชันมาตรฐานรุ่น C350e AMG Dynamic ที่เป็นรุ่นท็อปสุด)

Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic คันนี้คือ "รถสปอร์ตซีดานที่คุ้มค่าที่สุด"

• ได้รุ่นท็อป AMG: ในงบ 7 แสนกว่าบาท คุณได้รุ่น AMG Dynamic ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด ได้ทั้งความสปอร์ตและ "หลังคา Panoramic Sunroof"
• ได้เทคโนโลยี "S-Class ย่อส่วน": คุณได้ "ช่วงล่างถุงลม" และ "เครื่องเสียง Burmester" ซึ่งเป็นออปชันที่ปกติจะอยู่ในรถ S-Class ให้ความนุ่มนวลและสุนทรียภาพที่ C-Class รุ่นอื่นให้ไม่ได้
• สมรรถนะที่เร้าใจ: ด้วยแรงบิด 600 นิวตันเมตร ทำให้รถคันนี้แรงกว่ารถสปอร์ตหลายรุ่น แต่ยังสามารถขับประหยัดแบบรถ EV ในเมืองได้
• ประวัติชัดเจน: การระบุว่า "ดูแลดีมาก" และมีเลขไมล์ที่สมเหตุสมผล (10x,xxx กม.) ทำให้มั่นใจได้ว่ารถผ่านการบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำคัญมากสำหรับรถยุโรป

• รุ่น: Mercedes-Benz C350e (Plug-in Hybrid)
• รุ่นย่อย: Exclusive (รุ่นเน้นความหรูหรา, ดาวลอย)
• ปี: 2018
• เลขไมล์: 4x,xxx กม. (น้อยมาก)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้า
• กำลังสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 279 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด (รวมทั้งระบบ): 600 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS)
• จุดเด่น: ไมล์น้อยสภาพป้ายแดง, ช่วงล่างถุงลม (Airmatic), เครื่องเสียง Burmester, ขับขี่แบบ EV Mode ได้
• ราคาจำหน่าย: 719,000 บาท

ขุมพลัง Plug-in Hybrid (279 แรงม้า / 600 Nm):

• จุดเด่น: เป็นรถ "2 ระบบ" ที่สมบูรณ์แบบ ให้แรงบิดมหาศาล 600 นิวตันเมตร (เทียบเท่า V8) ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที
• ประโยชน์: ขับสนุก แรงสั่งได้ทันที และยังสามารถขับขี่ใน "EV Mode" (ไฟฟ้าล้วน) ได้ไกล 25-30 กม. ทำให้การขับในเมืองประหยัดน้ำมันสูงสุด

ช่วงล่างถุงลม (AIRMATIC):

• จุดเด่น: นี่คือออปชันที่ "ดีที่สุด" ของ C-Class (มีเฉพาะในรุ่น C350e เท่านั้น) เป็นระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ปรับความนุ่ม-แข็ง และความสูง-ต่ำได้
• ประโยชน์: ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นอื่นอย่างชัดเจน เทียบเท่ากับ S-Class รุ่นใหญ่

รุ่น Exclusive (เน้นความหรูหรา):

• จุดเด่น: รุ่น Exclusive จะได้กระจังหน้าแบบคลาสสิก พร้อมโลโก้ดาวลอยบนฝากระโปรง, ภายในตกแต่งด้วยลายไม้ Walnut, และนาฬิกาอนาล็อกกลางคอนโซล
• ประโยชน์: ให้ภาพลักษณ์ที่ภูมิฐาน สุขุม และหรูหราเหนือกาลเวลา

เลขไมล์เพียง 4x,xxx กม.:

• จุดเด่น: รถปี 2018 ที่วิ่งเพียง 4 หมื่นกว่ากิโลเมตร ถือว่าใช้งานน้อยมาก (เฉลี่ยปีละไม่ถึง 1 หมื่นกิโล)
• ประโยชน์: สภาพภายในและภายนอกจะยังคงใหม่มาก ระบบต่างๆ เช่น แบตเตอรี่ไฮบริด และช่วงล่างถุงลม ยังไม่สึกหรอเท่ารถที่วิ่งมาหลักแสนกิโลเมตร

เนื่องจากเป็นรถ Plug-in Hybrid (PHEV) การวัดอัตราสิ้นเปลืองจะขึ้นอยู่กับการชาร์จไฟ:

• ชาร์จไฟเต็มทุกวัน (ขับในเมือง): สามารถใช้งานโดยไม่ใช้น้ำมันเลยได้ หากระยะทางไป-กลับไม่เกิน 25-30 กม. (อัตราสิ้นเปลือง 0 กม./ลิตร)
• โหมด Hybrid (ขับทางไกล): ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับพลังงานในแบตเตอรี่)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย (ตาม ECO Sticker): 47.6 กม./ลิตร (เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบโดยชาร์จไฟเต็ม)

• ความจุ: 335 ลิตร
• หมายเหตุ: พื้นที่ท้ายรถจะลดลงจากรุ่นปกติ (480 ลิตร) และมีลักษณะเป็นขั้นบันได เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริด

(เน้นออปชันมาตรฐานรุ่น C350e Exclusive ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นพื้นฐาน)

Mercedes-Benz C350e Exclusive คันนี้คือ "รถที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด" อย่างแท้จริง

• "ไมล์ 4 หมื่น" ในราคา "ไมล์ 2 แสน": นี่คือจุดขายที่สำคัญที่สุด ราคา 719,000 บาท เป็นราคาปกติของรถรุ่นนี้ที่วิ่งมาแล้ว 1.5 - 2 แสนกิโลเมตร การได้รถสภาพ "เกือบใหม่" ในราคานี้ ถือว่าประหยัดไปอีกอย่างน้อย 1.5 - 2 แสนบาทจากราคาตลาดทั่วไป
• ได้เทคโนโลยี "S-Class ย่อส่วน": คุณได้ "ช่วงล่างถุงลม" และ "เครื่องเสียง Burmester" ซึ่งเป็นออปชันที่ปกติจะอยู่ในรถ S-Class ให้ความนุ่มนวลและสุนทรียภาพที่ C-Class รุ่นอื่นให้ไม่ได้
• สมรรถนะที่เร้าใจ: ด้วยแรงบิด 600 นิวตันเมตร ทำให้รถคันนี้แรงกว่ารถสปอร์ตหลายรุ่น แต่ยังสามารถขับประหยัดแบบรถ EV ในเมืองได้
• ภาพลักษณ์หรูหรา: รุ่น Exclusive ดาวลอย ให้ภาพลักษณ์ที่สุขุม ภูมิฐาน และคลาสสิกเหนือกาลเวลา

• รุ่น: MG Extender Double Cab (4 ประตู)
• รุ่นย่อย: 2.0 Grand X AT (รุ่นท็อป 2WD)
• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ
• กำลังสูงสุด: 161 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 375 นิวตันเมตร ที่ 1,500 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
• จุดเด่น: รถปี 2022 โฉม Facelift, ราคา 399,000 บาท, รุ่นท็อป Grand X, จอ 10 นิ้ว, เบาะไฟฟ้า, ระบบ i-SMART
• ราคาจำหน่าย: 399,000 บาท

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 เทอร์โบ (161 แรงม้า):

• จุดเด่น: ให้แรงบิดมหาศาลถึง 375 นิวตันเมตร ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร (เทียบกับ 1.9 หรือ 2.2 ลิตร) และมาในรอบที่ต่ำมาก
• ประโยชน์: มีกำลังฉุดลากดีเยี่ยม ออกตัวไม่อืดแม้บรรทุกของ และเร่งแซงบนทางหลวงได้อย่างมั่นใจ

ออปชันรุ่นท็อป "Grand X":

• จุดเด่น: นี่คือรุ่นย่อยที่ให้ออปชันหรูหราที่สุดในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ เทียบเท่ารถเก๋งราคาแพง
• ประโยชน์: ได้หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว, เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง, กุญแจ Keyless พร้อมปุ่ม Push Start และล้ออัลลอย 18 นิ้ว (โฉม Facelift)

ห้องโดยสารขนาดใหญ่:

• จุดเด่น: MG Extender ขึ้นชื่อเรื่องมิติตัวถังที่ใหญ่ที่สุดในคลาส ทำให้มีห้องโดยสารที่กว้างขวาง
• ประโยชน์: ผู้โดยสารตอนหลังนั่งสบาย มีพื้นที่ Legroom และ Headroom เหลือเฟือ เหมาะสำหรับการใช้งานแบบครอบครัว

ระบบ i-SMART:

• จุดเด่น: รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยสำหรับฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ, เครื่องเสียง หรือการโทรออก
• ประโยชน์: เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการขับขี่ โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย

• ในเมือง: ประมาณ 10 - 12 กม./ลิตร
• นอกเมือง: ประมาณ 14 - 16 กม./ลิตร (ที่ความเร็วคงที่ 90-110 กม./ชม.)
• เฉลี่ยรวม: ประมาณ 13 กม./ลิตร

• มิติกระบะท้าย: (มาตรฐานกระบะ 4 ประตู) ยาว 1,485 มม. x กว้าง 1,510 มม. x สูง 530 มม.
• หมายเหตุ: เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ขนสัมภาระ หรือใช้งานแบบไลฟ์สไตล์

วิเคราะห์ราคา:

• ราคา 399,000 บาท สำหรับรถปี 2022 รุ่นท็อป ถือว่า ต่ำกว่าตลาดอย่างมหาศาล

MG Extender Grand X คันนี้คือ "รถปีใหม่ในราคามือสอง 10 ปี"

• คุ้มค่าที่สุดในตลาด: นี่คือรถกระบะ 4 ประตู "ปี 2022" ที่มีราคาเพียง 399,000 บาท ถูกกว่ารถ Eco Car ป้ายแดงเสียอีก
• ได้ออปชันตัวท็อป: ในราคานี้ ปกติจะได้แค่รถกระบะตอนเดียวรุ่นล่างสุด แต่คันนี้คุณได้รุ่น 4 ประตูตัวท็อป "Grand X" ที่มีทั้งจอ 10 นิ้ว, เบาะไฟฟ้า, และกุญแจ Keyless
• เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง: ได้เครื่องยนต์ 161 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตันเมตร ซึ่งมีสมรรถนะสูงกว่ารถกระบะพื้นฐานทั่วไป เหมาะทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการบรรทุก
• ความสดใหม่: ได้รถอายุเพียง 2-3 ปี ในสภาพที่ยังไม่ช้ำมากนัก ใช้งานต่อได้อีกยาวนานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมบำรุงหนักในระยะสั้น

• รุ่น: BMW X1 sDrive18d (F48)
• รุ่นย่อย: M Sport (รุ่นท็อป)
• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร (B47)
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด: 330 นิวตันเมตร
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ (sDrive - ขับเคลื่อนล้อหน้า)
• จุดเด่น: รถปี 2018, ชุดแต่ง M Sport แท้, ประหยัดน้ำมัน (18-20 กม./ลิตร), ภายในกว้าง, ฝาท้ายไฟฟ้า
• ราคาจำหน่าย: 749,000 บาท

ชุดแต่ง M Sport Package:

• จุดเด่น: นี่คือรุ่นท็อปที่มาพร้อมชุดแต่ง M Aerodynamics (กันชนหน้า-หลัง, สเกิร์ตข้าง), ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว, ช่วงล่าง M Sport (เฟิร์มกว่า), พวงมาลัย M Sport และเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sport
• ประโยชน์: ได้ภาพลักษณ์ที่ดุดัน สปอร์ต และสมรรถนะการควบคุมรถที่เฉียบคมกว่ารุ่น xLine อย่างชัดเจน

เครื่องยนต์ดีเซล B47 (150 แรงม้า / 330 Nm):

• จุดเด่น: เป็นเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ของ BMW ที่ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดน้ำมันขั้นเทพ ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ
• ประโยชน์: อัตราเร่งทันใจสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างมหาศาลเมื่อเดินทางไกล

แพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้า (UKL Platform):

• จุดเด่น: การเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้ BMW สามารถออกแบบห้องโดยสารของ X1 (F48) ได้กว้างขวางอย่างเหลือเชื่อ
• ประโยชน์: ผู้โดยสารแถวหลังมีพื้นที่ Legroom และ Headroom ที่กว้างสบาย ไม่อึดอัด เทียบเท่ารถ SUV ขนาดใหญ่กว่า

ออปชันอำนวยความสะดวกครบครัน:

• จุดเด่น: ระบบ iDrive, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อม Memory Seat (ฝั่งคนขับ), ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone, และฝาท้ายไฟฟ้า
• ประโยชน์: มอบความสะดวกสบายระดับรถพรีเมียมในการใช้งานจริง

• ในเมือง: ประมาณ 15 - 17 กม./ลิตร
• นอกเมือง: ประมาณ 20 - 24 กม./ลิตร (ที่ความเร็วคงที่)
• เฉลี่ยรวม: ประมาณ 18 - 20 กม./ลิตร (ประหยัดน้ำมันมาก)

• ความจุมาตรฐาน: 505 ลิตร
• ความจุเมื่อพับเบาะหลัง: 1,550 ลิตร
• หมายเหตุ: กว้างขวางมากเพียงพอสำหรับครอบครัว สามารถพับเบาะหลังแบบ 40:20:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ได้

(เน้นออปชันมาตรฐานรุ่น M Sport ที่เหนือกว่ารุ่น xLine)

วิเคราะห์ราคา:

• ราคา 749,000 บาท สำหรับรถปี 2018 รุ่นท็อป M Sport ถือว่า ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป

BMW X1 M Sport คันนี้คือ "รถ SUV ยุโรปที่คุ้มค่าที่สุดในงบ 7 แสน"

• ราคาที่ช็อกตลาด: นี่คือโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของ BMW ปี 2018 ในราคาเพียง 7 แสนกว่าบาท ซึ่งปกติงบนี้จะได้รถ C-Segment ญี่ปุ่น
• ได้รุ่นท็อป M Sport: คุณไม่ได้แค่ X1 แต่คุณได้รุ่น M Sport ที่แต่งหล่อและขับดีที่สุดในตระกูล มาพร้อมชุดแต่งมูลค่าหลายแสนบาทจากโรงงาน
• ประหยัดน้ำมันขั้นเทพ: เครื่องยนต์ดีเซล B47 ทนทานและประหยัดน้ำมันมาก (เฉลี่ย 18-20 กม./ลิตร) ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้งานประจำวันต่ำมาก
• ความอเนกประสงค์: ภายในกว้างขวาง เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการทั้งสมรรถนะและความพรีเมียม

• รุ่น: Toyota Ventury (VIP 11 ที่นั่ง)
• รุ่นย่อย: 3.0 V (รุ่นท็อป ดีเซล)
• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ (1KD-FTV)
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
• จุดเด่น: เครื่องยนต์ดีเซล 1KD (ทนทาน, อะไหล่เยอะ), เบาะ Captain Seat แถวที่ 2, ประตูสไลด์ 2 ข้าง, ประตูดูด (ข้างซ้าย), จอเพดาน Alpine
• ราคาจำหน่าย: 779,000 บาท

รถคันนี้มาพร้อมออปชันที่เหนือกว่า Commuter ทั่วไป:

เครื่องยนต์ดีเซล "1KD" (ตำนานความทนทาน):

• จุดเด่น: เป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ Hiace Commuter และ Fortuner (โฉมก่อน) ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่า "ทนทานที่สุด" อะไหล่หาง่าย และช่างซ่อมเป็นทุกคน
• ประโยชน์: ให้แรงบิดที่ดีในรอบต่ำ เหมาะสำหรับการบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน วิ่งทางไกล หรือขึ้นเขาได้สบาย และมีค่าบำรุงรักษาต่ำมาก

ห้องโดยสาร 11 ที่นั่ง (เบาะ Captain Seat):

• จุดเด่น: Ventury ถูกออกแบบมาเป็นรถ VIP จากโรงงาน เบาะแถวที่ 2 เป็นแบบ "Captain Seat" แยกอิสระ พร้อมที่เท้าแขน
• ประโยชน์: มอบความสะดวกสบายสูงสุดให้ผู้โดยสารแถวที่ 2 ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวและหรูหรากว่าเบาะแถวยาวของ Commuter

ระบบประตูดูด (Easy Closer Door):

• จุดเด่น: ประตูดูดไฟฟ้า (ฝั่งซ้าย)
• ประโยชน์: เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย เพียงเลื่อนประตูมาใกล้ๆ ระบบจะดูดปิดให้เองอัตโนมัติ ไม่ต้องออกแรงกระแทกปิด

ระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสาร:

• จุดเด่น: ติดตั้งจอเพดานแบบพับเก็บได้ของ "Alpine" เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงจอสัมผัส Toyota ด้านหน้า
• ประโยชน์: ผู้โดยสารตอนหลังสามารถรับชมความบันเทิงระหว่างการเดินทางไกลได้

• ในเมือง: ประมาณ 8 - 10 กม./ลิตร (เนื่องจากเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และน้ำหนักตัวรถ)
• นอกเมือง: ประมาณ 10 - 12 กม./ลิตร (ที่ความเร็วคงที่ 100-110 กม./ชม.)
• เฉลี่ยรวม: ประมาณ 9 - 11 กม./ลิตร

• เมื่อใช้งาน 4 แถว (11 ที่นั่ง): พื้นที่ด้านหลังเบาะแถวสุดท้ายมีจำกัด เหมาะสำหรับกระเป๋าเป้ หรือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก
• เมื่อพับเบาะแถวสุดท้าย: เบาะแถวสุดท้าย (4 ที่นั่ง) สามารถพับแขวนขึ้นด้านข้างได้ซึ่งจะเปิดพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่มาก สามารถวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ 6-8 ใบ

รถคันนี้มาพร้อมออปชันมาตรฐานโรงงานระดับท็อป และมีการอัปเกรดเพิ่มเติม:

Toyota Ventury 3.0 V คันนี้คือ "รถตู้ VIP ที่ทนทานและคุ้มค่าที่สุด"

• ความทนทานระดับตำนาน: เครื่องยนต์ 1KD คือที่สุดของความทนทาน บำรุงรักษาง่าย อะไหล่มีทุกที่ ทำให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของในระยะยาวต่ำมาก
• คุ้มค่ากว่าป้ายแดง: ประหยัดเงินไปเกือบ 9 แสนบาท (มากกว่า 50%) แต่ได้รถตู้ VIP แท้จากโรงงาน
• อเนกประสงค์: เป็นรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวใหญ่ (11 ที่นั่ง) หรือผู้ประกอบการที่ต้องการรถรับรองลูกค้า/นักท่องเที่ยว ที่ให้ความสบายมากกว่า Commuter
• ราคาไม่ตก: Ventury เครื่องดีเซล เป็นที่ต้องการของตลาดสูงมาก ทำให้ราคาขายต่อแข็งมาก

• รุ่น: Honda CIVIC (โฉมที่ 11, รหัส FE)
• รุ่นย่อย: 1.5 EL (รุ่นเริ่มต้นของเครื่องเทอร์โบ)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร VTEC Turbo
• กำลังสูงสุด: 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 240 นิวตันเมตร ที่ 1,700 - 4,500 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ CVT (รองรับ E85)
• จุดเด่น: เครื่อง 1.5 Turbo 178 แรงม้า, Honda SENSING (มีในทุกรุ่นย่อย), Remote Engine Start, รถปี 2022 โฉมปัจจุบัน
• ราคาจำหน่าย: 699,000 บาท

ขุมพลัง 1.5L VTEC Turbo (178 แรงม้า):

• จุดเด่น: เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบที่ให้พละกำลังสูงมาก (178 แรงม้า) และมีแรงบิด 240 นิวตันเมตร มาตั้งแต่รอบต่ำมาก (1,700 รอบ/นาที)
• ประโยชน์: ให้อัตราเร่งที่เร้าใจ ขับสนุก สั่งได้ดั่งใจในทุกย่านความเร็ว แต่ยังคงประหยัดน้ำมันเมื่อขับขี่ปกติ และรองรับ E85 ช่วยลดค่าใช้จ่าย

ระบบความปลอดภัย Honda SENSING (มาตรฐาน):

• จุดเด่น: นี่คือจุดขายหลักของโฉม FE เพราะ Honda ใส่ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะมาให้ "ทุกรุ่นย่อย" แม้ในรุ่น EL
• ประโยชน์: คุณจะได้รับเทคโนโลยีความปลอดภัยครบถ้วน ทั้งระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) แบบ Low-Speed Follow, ระบบเตือนและช่วยเบรก (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKAS) ช่วยให้การขับขี่ทางไกลสบายและปลอดภัยมาก

ดีไซน์ที่หรูหรา ภูมิฐาน (Elegant Design):

• จุดเด่น: Civic โฉม FE ปรับดีไซน์ให้ดูโตขึ้น ภูมิฐานขึ้น คล้ายรุ่นพี่อย่าง Accord ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่เฉียบคม
• ประโยชน์: ให้ภาพลักษณ์ที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่ หรูหราเกินราคา และยังคงความสปอร์ตไว้

ฟังก์ชัน Remote Engine Start:

• จุดเด่น: สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดระบบปรับอากาศได้จากรีโมทกุญแจ
• ประโยชน์: ช่วยลดอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนขึ้นรถ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศร้อนในประเทศไทย

• ในเมือง: ประมาณ 12 - 14 กม./ลิตร
• นอกเมือง: ประมาณ 17 - 20 กม./ลิตร (ที่ความเร็วคงที่)
• เฉลี่ยรวม: ประมาณ 15 - 17 กม./ลิตร (รองรับ E85)

• ความจุ: 495 ลิตร
• หมายเหตุ: กว้างขวางมาก สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2-3 ใบ หรือถุงกอล์ฟ 3-4 ใบได้สบาย

(เน้นออปชันมาตรฐานรุ่น EL ที่ให้มาครบครันจากโรงงาน)

วิเคราะห์ราคา:

• ราคา 699,000 บาท สำหรับรถปี 2022 ถือว่า ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป พอสมควร

Honda Civic 1.5 EL คันนี้คือ "รถสปอร์ตซีดานปีใหม่ที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด"

• ราคาที่น่าสนใจมาก: นี่คือโอกาสที่จะได้ขับ Civic โฉมปัจจุบัน (FE) ในราคาเพียง 6 แสนปลายๆ ซึ่งปกติงบนี้จะได้เพียงโฉมก่อนหน้า (FC) ปีท้ายๆ เท่านั้น
• ได้เครื่องเทอร์โบ 178 แรงม้า: คุ้มค่ากว่าการซื้อรุ่น 1.8 โฉมเก่า (FC) เพราะได้ทั้งความแรง ความสดใหม่ และความประหยัดจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่
• เทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มระบบ: การได้ Honda SENSING ในรถปี 2022 ราคานี้ ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในบรรดารถ C-Segment มือสองทั้งหมด

• รุ่น: Toyota Yaris (Hatchback 5 ประตู, โฉม Facelift)
• รุ่นย่อย: 1.2 E (รุ่นคุ้มค่า)
• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร (3NR-FE) Dual VVT-i
• กำลังสูงสุด: 86 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i (พร้อม Sequential Shift)
• จุดเด่น: รถ Eco Car ยอดนิยม, ประหยัดน้ำมันสูง, ระบบความปลอดภัย VSC และถุงลม 7 ใบ (มาตรฐาน), ดูแลง่าย
• ราคาจำหน่าย: 339,000 บาท

ความทนทานและความประหยัด (Reliability & Economy):

• จุดเด่น: เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร Dual VVT-i จับคู่กับเกียร์ Super CVT-i ที่พัฒนามาอย่างดี
• ประโยชน์: ให้อัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานในเมือง ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก และที่สำคัญคือ "ทนทาน" ตามมาตรฐานโตโยต้า ไม่จุกจิก ค่าบำรุงรักษาต่ำ

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน (Standard Safety):

• จุดเด่น: ในโฉม Facelift ปี 2017 เป็นต้นมา Yaris ทุกรุ่นย่อย (รวมถึงรุ่น E) ถูกติดตั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐานมาให้ครบถ้วนจากโรงงาน
• ประโยชน์: ผู้ขับขี่จะได้รับระบบควบคุมการทรงตัว (VSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC) และ ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (รอบคัน) ซึ่งให้ความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่

ความเป็น Hatchback 5 ประตู:

• จุดเด่น: ตัวถังแบบ 5 ประตู ที่สามารถพับเบาะแถวหลังแบบ 60:40 ได้
• ประโยชน์: มีความอเนกประสงค์สูง สามารถปรับพื้นที่เพื่อขนของชิ้นใหญ่ได้สะดวกกว่ารถซีดาน 4 ประตู

รุ่นย่อย E (รุ่นคุ้มค่า):

• จุดเด่น: เป็นรุ่นที่ให้ "ออปชันที่จำเป็น" มาครบถ้วนในราคาที่ไม่แพงเท่ารุ่น G
• ประโยชน์: ได้ล้ออัลลอย, กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า, และเครื่องเสียงที่รองรับ Bluetooth (ซึ่งรุ่น J ไม่มี) ทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกสบาย

• ในเมือง: ประมาณ 14 - 16 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร)
• นอกเมือง: ประมาณ 18 - 22 กม./ลิตร (ที่ความเร็วคงที่ 90-110 กม./ชม.)
• เฉลี่ยรวม: ประมาณ 17 - 18 กม./ลิตร (รองรับ E20)

• ความจุ: 286 ลิตร
• หมายเหตุ: เพียงพอสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง 1-2 ใบ และสามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้

(หัวข้อนี้เว้นไว้ เนื่องจากรถคันนี้เป็นออปชั่นมาตรฐานรุ่น E จากโรงงาน)

วิเคราะห์ราคา:

• ราคา 339,000 บาท สำหรับรถปี 2018 ถือว่าคุ้มค่า และมีอัตราการเสื่อมราคาที่ต่ำมาก (ราคาแข็ง)

Toyota Yaris 1.2 E คันนี้คือ "รถคันแรก" หรือ "รถใช้งานในเมือง" ที่ดีที่สุด

• ความน่าเชื่อถือสูงสุด: ขึ้นชื่อว่า Toyota Yaris หมดกังวลเรื่องปัญหาจุกจิก ทนทาน อะไหล่หาง่ายทั้งแท้และเทียบ
• คุ้มค่าที่สุดในงบ 3 แสน: คุณได้รถปี 2018 (อายุ 6-7 ปี) ที่ยังดูทันสมัย ในราคาเพียง 3 แสนต้นๆ ซึ่งคุ้มค่ากว่าการซื้อรถใหม่ป้ายแดง
• ความปลอดภัยครบถ้วน: นี่คือจุดขายหลักของโฉมนี้ การได้ VSC, TRC, HAC และถุงลม 7 ใบ ในรถ Eco Car ราคานี้ ถือว่าให้ความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถหลายรุ่น
• ต้นทุนการใช้งานต่ำ: ประหยัดน้ำมัน

• รุ่น: Toyota Hilux Revo Standard Cab (ตอนเดียว)
• รุ่นย่อย: 2.4 Entry MT (เกียร์ธรรมดา 6 สปีด)
• เครื่องยนต์: ดีเซล 2.4 ลิตร เทอร์โบ (2GD-FTV)
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตันเมตร ที่ 1,400 - 2,800 รอบ/นาที
• รูปแบบตัวถัง: กระบะตอนเดียว พร้อมตู้ทำความเย็น (MPC COOL)
• จุดเด่น: อัปเกรดเพลาลอย (Floating Axle), ตู้เย็น MPC COOL (ทำความเย็นติดลบ), เสริมแหนบชุดใหญ่, ล้อกระทะผ่า, รถปี 2021
• ราคาจำหน่าย: 489,000 บาท

รถคันนี้ถูกสร้างมาเพื่องาน "หนัก" และ "เย็น" โดยเฉพาะ:

อัปเกรด "เพลาลอย" (Floating Axle) แล้ว:

• จุดเด่น: นี่คือการอัปเกรดที่สำคัญที่สุดสำหรับรถบรรทุกหนัก โดยเปลี่ยนจากเพลาเดิมติดรถเป็นเพลาลอยแบบรถ 6 ล้อ
• ประโยชน์: สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุก 3-5 ตันได้จริงโดยที่ "ลูกปืนล้อไม่แตก" ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเพลาเดิมติดรถ เพิ่มความปลอดภัยและความทนทานสูงสุดในการใช้งาน

ตู้ทำความเย็น MPC COOL (คอยล์เย็น 2 พัดลม):

• จุดเด่น: ตู้เย็นคุณภาพสูงจาก MPC COOL พร้อมคอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ที่หัวเก๋ง ภายในเป็นสแตนเลสทั้งหมด, พื้นลอน (ระบายความเย็น/น้ำ) และมีคอยล์เย็นพัดลมคู่
• ประโยชน์: ทำความเย็นได้เร็วและทั่วถึง สามารถทำอุณหภูมิได้ถึงระดับ "แช่แข็ง" (ติดลบ) เหมาะสำหรับขนส่งเนื้อสัตว์, ไอศกรีม, หรืออาหารแช่แข็ง

ช่วงล่างเสริมแหนบชุดใหญ่ (Heavy Duty):

• จุดเด่น: มีการเสริมแหนบเป็นตับหนามาก และติดตั้งโช้คอัพแต่ง (Amada Xtreme) เพื่อรองรับน้ำหนัก
• ประโยชน์: "เจ็บแต่จบ" มาให้แล้ว พร้อมรับน้ำหนักบรรทุกหนักได้ทันทีโดยที่รถไม่ยุบตัว ทรงตัวดีเมื่อมีน้ำหนักกดทับ

ล้อหลังกระทะผ่า + ล้อหน้าแม็กซิ่ง:

• จุดเด่น: ล้อหลังเป็นกระทะผ่าสำหรับบรรทุกหนัก ส่วนล้อหน้าเป็นแม็กแต่งลาย TE37
• ประโยชน์: เป็นสูตรสำเร็จของ "รถซิ่งทำกิน" ได้ทั้งความทนทานในการรับน้ำหนักจากล้อหลัง และความสวยงามจากล้อหน้า

สำหรับรถกระบะตู้เย็น (ต้องเดินเครื่องทำความเย็นตลอด) และติดตั้งเพลาลอย (น้ำหนักเยอะ):

• รถเปล่า (เปิดระบบความเย็น): ประมาณ 10 - 12 กิโลเมตร/ลิตร
• บรรทุกหนัก (3-5 ตัน, เปิดระบบความเย็น): ประมาณ 7 - 9 กิโลเมตร/ลิตร
• หมายเหตุ: การเปิดคอมเพรสเซอร์ตู้เย็นจะฉุดกำลังเครื่องและสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20%

• มิติภายในตู้โดยประมาณ: กว้าง 1.7 เมตร x ยาว 2.3 เมตร x สูง 1.60 เมตร
• ปริมาตรบรรทุกรวม: ประมาณ 6.2 ลูกบาศก์เมตร (คิว)
• หมายเหตุ: ภายในตู้เป็นสแตนเลส พร้อมม่านพลาสติก ช่วยกักเก็บความเย็นขณะเปิด-ปิดประตู

• ความสามารถทำความเย็น: สามารถทำอุณหภูมิได้ตั้งแต่ +10 องศาเซลเซียส (แช่เย็น ผัก) ไปจนถึง -18 องศาเซลเซียส (แช่แข็ง)
• การควบคุม: มีแผงควบคุมอุณหภูมิดิจิตอล (Dixell) ติดตั้งในห้องโดยสาร

รถคันนี้มีการตกแต่งที่จำเป็นสำหรับสายบรรทุกมาครบ มูลค่ารวมกว่า 2 แสนบาท:

Toyota Hilux Revo 2.4 ตู้เย็นเพลาลอยคันนี้คือ "รถทำเงินที่สมบูรณ์แบบ"

• ได้รถปีใหม่ 2021: สภาพรถยังสดใหม่มาก ใช้งานได้ยาวๆ แต่ราคาประหยัดกว่าป้ายแดงที่ทำสเปคเดียวกันเกือบ 3 แสนบาท
• สเปค "เพลาลอย" จบจริง: นี่คือจุดที่แพงและสำคัญที่สุด เจ้าของเดิมลงทุนมาให้แล้ว ทำให้คุณสามารถรับงานบรรทุกหนัก 3-5 ตันได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวล
• ประหยัดน้ำมัน: เครื่องยนต์ 2.4L Ddi ให้ความประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดในกลุ่ม ช่วยลดต้นทุนการขนส่งในแต่ละวัน