Mercides-AMG One Hyper Car เครื่อง F1 Turbo+Hybrid กำลังสูงสุด 1049 แรงม้า

Mercides-AMG One Hyper Car เครื่อง F1 Turbo+Hybrid กำลังสูงสุด 1049 แรงม้า

ในที่สุด ก็ได้เปิดตัวหลังจากที่ Mercedes-Benz ประกาศครั้งแรกว่าพวกเขาจะผลักดันเครื่องยนต์ Formula 1 ให้เป็นรถ ที่ใช้บนท้องถนนได้ถูกต้องตามกฎหมาย ในที่สุดก็ได้เปิดตัวออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้ได้เห็นภายใต้รหัส AMG One ตามที่เซ็นต์สัญญาทั้งหมดกับ Mercedes โดยมีเครื่องยนต์ F1 เป็นสัญญาหลักของ Project นี้ ด้วยกำลังรวม 1049 แรงม้า (782 กิโลวัตต์) และยังเป็นไปตามมาตราฐาน Euro 6

หัวใจหลักของ AMG One ได้เคยถูกประกาศครั้งแรกในปี 2560 และทราบกันดีว่า Mercedes จะใช้เครื่องยนต์ F1 และผลักดันให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเครื่องยนต์สันดาปขนาด V6 ขนาด 1.6 ลิตร Turbo แบบไฟฟ้า ที่สามารถทำรอบได้สูงถึง 11,000 รอบต่อนาที สูงถึง 566 แรงม้า (422กิโลวัตต์) และยังผ่านมาตราฐานระบบไอเสีย EURO6

ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำงานควบคู่กับระบบไฟฟ้ามอเตอร์ 4 ตัวรวมกันเพื่อให้ One มีอัตรากำลังสูงถึง 1049 แรงม้า และมีความสามารถในการขับเคลื่อนทุกล้อ มอเตอร์ 2 ตัวที่ด้านหน้าให้กำลังถึง 322 แรงม้า มอเตอร์ตัวที่สาม ติดตั้งกับเครื่องยนต์เบนซินส่งกำลัง 161 แรงม้า (120 กิโลวัตต์) ไปยังเพลาข้อเหวี่ยง มอเตอร์ตัวที่ 4 เป็นเครื่องยนต์ที่เชื่อมโยงกับเทอร์โบชาร์จไฮเทค ซึ่ง Mercedes-AMG กล่าวว่า เพิ่มอีก 212 แรงงม้า (90 กิโลวัตต์) ในการผสมผสาน มอเตอร์เข้าด้วยกัน และยังสามารถชดเชยพลังงานจากเทอร์โบได้เนื่องจากการใช้พลังงานจากก๊าซไอเสียแบบหมุนเวียน

นอกจากเครื่องยนต์แล้ว วิศวกรของ Mercedes ยังใช้เวลาอย่างมากกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอไอออนของ One เนื่องจากเป็น Plug-in Hybrid จึงไม่มีแบตเตอรี่ได้อย่างเหลือเฟืออย่างที่รายงานโดยมีความจถเพียง 8.4 kWh แต่การทำให้แบตเตอรี่มีความเย็นมากกว่าที่จะเกิดความร้อนจำเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับประสิทธิภาพสูงสุดทำให้ Mercedes ให้ระบบระบายความร้อนด้วยของวงเหลวที่ซับซ้อนสำหรับแบตเตอรี่แต่ละก้อน สิ่งนี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถลดน้ำหนักของแบตเตอรี่ลงได้

ผลลัพธ์ที่ได้คือรถยนต์์ที่มีแรงม้ารวมกันราวๆ 1,000 กว่าแรงม้า ที่สามารถรักษาอุณหภูมิแบตเตอรี่ได้ประมาณ 45 องศา เซลเซียส และสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้เพียง 11.2 ไมล์ ภายใต้น้ำหนักประมาณ 3,730 ปอนด์ หรือราวๆ 1,695 กิโลกรัม AMG One สามารถเร่งความเร็ว 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ (0-100 km/h) ภายใน 2.9 วินาทีเท่านั้นโดยใช้ระบบ AMG 4Matic และเกียร์ธรรมดาอัตโนมัติ 7 สปีด ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ และยังสามารถทำความเร็ว 0-124 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ(0-200 km/h) เพียง 7 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 219 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

ช่วงล่างเป็นแบบ Mono Cock ระบบกันสั่นสะเทือนแบบกระทุ้ง ได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้วัสดุแแบบ อะลูมิเนียม ในหลายๆส่วน โดยติดตั้งจุดยืดแบบสตรัทแบบปรับได้ทั้ง 2 ตัวที่ด้านหน้าและ 2 ตัวที่ด้านหลัง และติดตั้งในแนวขวาง กับทิศทางการเคลื่อนที่สำหรับ Comfort, Sport หรือ Sport+ ขึ้นอยู่กับโหมดการขับเคลื่อนโดยรวมที่มีอยู่ใน AMG One ยังมีระบบการวัดแรงบิดด้วย AWD สามารถเลือกโหมดขับขี่ได้ยิบย่อยอีกด้วย

แม้ว่าหน้าตาอาจจะดูเรียบๆไม่หวือหวา แต่การสร้างระบบไอโร่ไดนามิก มันสามารถลดแรงต้านและทำความเร็วได้ราวๆ 31 ไมล์ต่อชั่วโมงแต่ทางAMG ยังไม่เปิดเผยว่า สามารถลดแรงด้านได้เท่าไหร่ เนื่องจาก One นั้นเต็มไปด้วย ส่วนประกอบของอุปกรณ์แอโร่แอกทีฟ และสปอยเลอร์แบบแอฌคทีฟที่ดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้าช่องระบายอากาศที่เหนือซุ้มล้อหน้า และแน่นอนปีกหลังสามารถทำงานร่วมกับระบบขับขี่แบบ Race Plus และ Start2 ภายใต้โหมดการขับขี่ย่อยที่หลากหลายเรียกว่าแรงกดของลมที่มาประทะรถนั้นสามารถสูงได้กว่าปกติถึง 5 เท่า โหมดที่สามถูกเรียกว่า Race DRS เป็นการลากจากความเร็วต่ำสู่ความเร็วแบบสูงสุด

และไม่ใช่เพียงแค่เครื่องยนต์ที่ถูกยกจาก F1 เพราะเบาะภายในก็เป็นทรงเดียวกันกับที่ F1 ใช้เช่นกันคุณจะเห็นได้ว่า พวงมาลัยเป็นรูปทรงเดียวกับที่ Formula 1 เช่นกัน ช่องระบายอากาศเล็กๆด้านข้างถูกออกแบบไม่ให้โดดเด่นกว่าอุปกรณ์อื่นๆภายในรถและตะแกรงลำโพงที่ผสมผสานเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์สลับกับหนังอาคันทาร่า ประตูปีกผีเสื้อมีกระจกไฟฟ้า

ภายนอก AMG ได้ใช้ล้อแม็กนีเซียม 9 ก้าน หุ้มด้วยยาง MMichelin Pilot Sport Cup 2 M01 ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับไฮเปอร์คาร์โดยเฉพาะ และ คาลิปเปอร์ 6 พอร์ทที่ยึดด้วยดิกส์เบรค์์แบบคาร์์บอนเซรามิกขนาด 15.6 นิ้ว ไว้ด้านหน้าและ แบบ 4 พอร์ทพร้อมดิกส์ 15 นิ้วอยู่ที่ด้านหลัง ก็ถือว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง และมีการหยุดได้ดีพอๆกับการเร่งความเร็วเลยททีเดียว

อ่านข่าวสารรถใหม่

ฤกษ์ออกรถในเดือน มิถุนายน 2565 ออกรถวันไหน ชีวิตดีเช็คเลย

ฤกษ์งามยามดีกับการออกรถ รับรถคันใหม่ไปใช้งานเป็นอีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ควบคู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นแบบปี แบบเดือน หรือแบบวัน รวมไปถึงช่วงเวลาที่จะออกรถเพื่อเสริมศิริมงคลทั้งชีวิตและเงินทอง วันนี้แอดมินเลยนำฤกษ์ดีประจำเดือน มิถุนายน 2565 มาฝากเพื่อนๆกันครับ

สำหรับผู้ที่ต้องการออกรถใน เดือน มิถุนายน 2565 วันนี้แอดมินมีฤกษ์งามยามดีมาฝากกันครับ

ฤกษ์ออกรถประจำเดือน มิถุนายน 2565

วันพุธที่ 1 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันพฤหัสบดี 2 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 06.01-06.01 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 13.13 – 15.36 น.

วันเสาร์ 4 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 06.01-06.01 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันพุธที่ 8 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 13.13 – 15.36 น.

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 06.01-06.01 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 13.13 – 15.36 น.

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันพฤหัสบดี 23 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 13.13 – 15.36 น.

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 13.13 – 15.36 น.

วันพุธที่ 29 มิถุนายน ฤกษ์ออกรถช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นคือช่วงเช้า เวลา 08.00-10.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและ ช่วงบ่าย 14.30-18.00 น.

สำหรับคนที่ต้องการออกรถในเดือน มิถุนายนนี้อาจจะต้องดูสภาพอากาศกันซักหน่อยนะครับ เพราะอุปสรรค์เดียวในการรับรถเดือนนี้คือพายุฝนเท่านั้นเองครับ สำหรับการออกฤกษ์ดวงต่างๆจะนำพาความเป็นสิริมงคล ความร่ำรวย และความสุขมาให้ หากมีการเริ่มต้นที่ดี ทุกๆอย่างก็จากเป็นสิ่งดีๆตามไปด้วย ในความเชื่อของคนไทยนะครับ


ดูโหราศาสตร์เพิ่มเติม


จับตา Tesla ร่วมลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าผลักดันไทยฐานผลิตอีวี

ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ประเทศเราเริ่มมีความหวังในเรื่องของการพัฒนาเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ เทสล่า (Tesla) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อดังได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ ทุนจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ที่ 3 ล้านบาท ในวันที่ 25 เมษายน 2565


ซึ่งก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวของอีลินมักส์ (Elon Musk) CEO บริษัท Tesla ได้เดินทางมายังประเทศอินโดนีเซียเพื่อหารือกับทางรัฐบาลอินโดนีเซีย ในการก่อสร้างโรงงาน ผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์ในประเทศดังกล่าว ซึ่งอินโดนิเซียเป็นพื้นที่ที่มีแร่นิเกิลจำนวนมาก และมีกระแสข่าวล่าสุดในการก่อโรงงานดังกล่าวในช่วงปลายปีนี้จากคำยืนยันอย่างไม่เป็นทางการจากรัฐบาลอินโดนีเซีย

สำหรับเทสล่าในภูมิภาคเอเชีย ตอนนี้มีโรงงานอยู่ที่ เซียงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ Giga Factory ผลิตได้ครอบคลุม 50% ของยอดขายทั่วโลก รวมไปถึงสินค้าอื่ืนๆ เช่นแหล่งบรรจุพลังงาน แบตเตอรี่ โซลาร์แพแนลก็อาจจะนำเข้ามาทำตลาดในทวีปเอเชียทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในจีนมีความเสี่ยงและความขัดแย้งระหว่างประเทศ สหรัฐ-จีน โดยอาจจะกระทบกับธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัทญี่ปุ่นเริ่มมีการขยับขยายฐานผลิตบางส่วน

รูปแบบการจำหน่ายของทาง Tesla ทั่วโลกยังไม่มีการแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายที่แท้จริง การสั่งซื้อรถยนต์ Tesla จะมีแค่ผ่านช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์เท่านั้น ในขณะที่ต่างประเทศมีการเปิดโชว์รูม ของ Tesla เพื่อจัดแสดงรถยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นสถานที่ส่งมอบรถยนต์หรือการบริการหลังการขายเหมือนศูนย์จำหน่ายและการบิรการในประเทศที่เราเคยเห็นผ่านๆมา


หลังจากนี้เราอาจจะได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อดังที่มีราคาถูกลงหรือไม่อาจจะต้องคอยติดตาม แต่ทางภาครัฐก็มีความพยายามที่จะช่วยทั้งในเรื่องการลดภาษีนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าจากภาครัฐตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมไปถึงการลดอากรนำเข้าจากศุลกากร 20-40%


อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

Suzuki Vision Gran Turismo Concept เครื่อง Hayabusa บวกมอเตอร์ไฟฟ้า

คอเกมส์ Gran Turismo ต้องร้องว้าว…อีกครั้ง เมื่อ เกมส์ คอนโซลชื่อดังอย่าง Gran Turismo ได้นำรถต้นแบบอย่าง Suzuki Vision Gran Turismo Conncept บรรจุลงในเกมส์นี้อีกด้วย

Suzuki Vision Gran Turismo Conncept ดไ้เริ่มเปิดตัวในเกมส์พร้อมแนวคิดรถโรดเสตอร์แบบเปิดหลังคาพร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อน้ำหนักเบาที่ใช้เครื่องยนต์ Hayabisa พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว

ความพิเศษสำหรับรถรุ่นพิเศษนี้อยู่ที่เครื่องยนต์ที่เลือกใช้ คืหัวใจหลักของ Hayabusa ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4 สูบ ขนาด 1.3 ลิตรพร้อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยขับเคลื่อนที่ล้อหน้า 2 ตัว และติดตั้งที่ด้านหลังอีก 1 ตัว กลายเป็น Suzuki Vision Gran Turismo คันนี้กลายเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อไปเลย ให้กำลังสูงสุดกว่า 432 แรงม้า (PS) ทที่ 9,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 610 ยิงตัน/เมตร

รูปลักษณ์ภายนอกมีการออกแบบให้ดูสปอร์ต โดยเส้นสายบางส่วนที่ถอดมาจาก Suzuki Swift Sport รุ่นปัจจุบัน และสัดส่วนขอบตัวรถนั้นได้แรงบันดาลใจจาก Cappuchino Roadster ขนาด 2 ประตูขับเคลื่อนล้อหลังในตำนวน ที่เคยสร้างชื่อเสียงทั้งความเล็กและความเบาเพียง 970 กิโลกรัม มาแล้ว

หาซื้อ รถมือสอง Suzuki ทุกรุ่น การันตีสภาพ ได้ที่ Kitsadagoodcar.com

ถุงลมนิรภัย 8 ยี่ห้อดัง ต้องรีบเปลี่ยน เช็คเลย!

รถยนต์ที่คุณใช้อยู่เข้าข่ายต้องเปลี่ยนถุงลมนิรภัยหรือเปล่า?

บริษัท “ทาคาตะ” (TAKATA) ผู้ผลิตถุงลมนิรภัย วอนเร่งตรวจสอบถุงลมนิรภัยทั้ง 8 ยี่ห้อ เปลี่ยนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
จากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดของถุงลมซึ่งได้รับการยืนยันจากการชันสูตรว่าเกิดจากเศษโลหะของชิ้นส่วนถุงลมนิรภัยที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นเหตุของการเสียชีวิตให้กับผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ยังมีรถยนต์ที่อยู่ในประเทศไทย และยังมีการใช้งงานกว่า 600,000 คัน ที่ยังใช้ถุงลมนิรภัยสุดอันตรายนี้

เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค ได้เรียกร้องให้บริษะทรถยนต์ทั้ง 8 บริษัท ได้มีการขายรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ได้ติดตั้งถุงงลมนิรภัยสุดอันตรายยี่ห้อดังกล่าวในประเทสไทยมากกว่า 10 ปี เร่งกำเนินการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยให้มีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

โดยทั้ง 8 บริษัทนี้ได้แก่


1. ฮอนด้า – จำนวน 10 รุ่น ระหว่างปี 1998 – 2014

2. BMW – จำนวน 14 รุ่น ระหว่างปี 1998 – 2018

3. Nissan – จำนวน 8 รุ่น ระหว่างปี 2000 – 2014

4. TOYOTA – จำนวน 7 รุ่น ระหว่าง 2001 – 2014

5. Mitsubishi – จำนวน 4 รุ่น ระหว่าง 2005 – 2015

6. Mazda – จำนวน 5 ระหว่างปี 2004 – 2014

7. Chevrolet – จำนวน 4 รุ่น ระหว่าง 2007 – 2015

8. Ford – จำนวน 2 รุ่น ระหว่าง 1998 – 2014

ทั้งนี้เจ้าของรถสามารถตรวจสอบข้อมูลผ่าน เว็บไซด์ www.checkairbag.com หีิอนำรถเข้าไปที่ศุนย์บริการทุกสาขา หรืือ ติดต่อผ่านฝ่ายบริการลูกค้าผ่านทาทงโทรศัพท์ (Call Center) ของแต่ละบริษัทรถยนต์ หรือ ติดต่อสายด่วน 1584 เพื่อสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง

แต่ถ้าหากผู้บริโภคนำรถรุ่นที่มีปัญหาไปเปลี่ยนถุงลมนิรภัย แล้วมีการถูกเรียกเงิน หรือไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ สามารถร้องเรียนได้ที่ ไลน์สภาองคืกรของผู้บริโภค tccthailand โทรศัพท์ 02 239 1839 อีเมล์ complaint@tcc.or.th Inbox facebook : สภาองค์กรผู้บริโภค หรือ เว็บไซด์ www.tcc.or.th

เบอร์ติดต่อ ศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง

  • บริษัท บีเอ็มดับเบิ้ลยู (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-305-8888
  • บริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิล (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-341-7777
  • บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-030-5666
  • บริษัท มิตซูบิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-401-9600 (กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล) 1-800-900-500 (โทรฟรีสำหรับต่างจังหวัดเฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน)
  • บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โทร 02-386-2000
  • บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โทร 1734
  • บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด โทร 1383 1-800-255-449 (โทรฟรีสำหรับต่างจังหวัด)
  • กรมการขนส่งทางบก Call Center โทร 1584

ผู้ที่ใช้รถยนต์ ที่อยู่ในกลุ่มของลิสต์กลุ่มเสี่ยงข้างต้น ควรรีบดำเนินการประสานงานกับศูนย์บริการรถหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยใหม่ทันที แต่ถึงอย่างไรถุงลมนิรภัยก็ยังเป็นอุปกรณ์์ทที่ช่วยให้คุณปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มีสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนจะต้องคำนึงคือความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และ ขับรถอย่างมีสติ ปฎิบัติตามกฎจราจร เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้ครับ

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

9 อันดับรถบ้านมือสองขนาดเล็กยอดนิยมสุดประหยัดน้ำมันในปี 2022

เรียกว่ายุคนี้เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงสำหรับคนที่มีเงินจำกัดหรือรายได้ที่ไม่มากอาจจะต้องปรับตัวให้สามารถอยู่ในยุคแบบนี้ ทั้งความสะดวกบนความประหยัดฉะนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้สำหรับค่าเดินทาง สำหรับคนที่กำลังหารถในกลุ่มประหยัดแล้วยังตัดสินใจไม่ได้ วันนี้ลองมาดูรถยนต์ 9 อันดับรถบ้านมือสองขนาดเล็กยอดนิยมสุดประหยัดน้ำมันที่เหมาะสำหรับคนยุคนี้กันครับ

1. Mitsubishi Mirage
พูดได้เต็มปากว่าเป็นรถ ECO CAR ยอดนิยมสูงสุดในตลาด เพราะด้วยความคุ้มค่าในเรื่องของราคา การดูแล และอะไหล่ต่างที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน รองรับน้ำมันแบบ E20 จึงเป็นรถที่มือใหม่มักจะเลือกเป็นตัวเลือกแรก
และด้วยเครื่องยนต์รหัส 3A92 ขนาด 3 สูบ 1.2 ขนาดเล็ก แบบ DOHC Mivec มีกำลังแรงม้าอยู่ที่ 78 แรงม้า พร้อมแรงบิด 100 นิวตันเมตร กับน้ำหนักความจุของน้ำมัน 35 ลิตรทำให้รวมกับตัวถังแล้วอยู่ราวๆเพียงแค่ 830 – 865 กิโลกรัมเท่านั้น สามารถทำอัตราความประหยัดน้ำมันได้สูงสุดถึง 23.8 กิโลเมตร ต่อลิตร เลยทีเดียว

2. Nissan March

เป็นรถขนาดเล็ก ที่สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้อย่างน่าพอใจอีกหนึ่งรุ่น ด้วยความสามารถในการใช้ความเร็วราวๆประ 100 กิโลเมตร และทำอัตราประหยัดได้สูงถถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตรและทำความเร็วที่ 120 ก็สามารถประหยัดได้ถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร

ภายใต้เครื่องยนต์ DOHC ขนาด 3 สูบ 12 วาล์ว คิดแล้วเท่ากับเป็น 4 วาล์ว ต่อ 1 สูบ เหมือนกับรถอื่นๆ เพียงแค่ มาร์ชนั้นมีแค่ 3 สูบ เลยมีเพียงแค่ 12 วาล์วเท่านั้น ถึงจะเป็นรถที่มีเครื่องยนต์เพียงแค่ 1.2 ลิตร แต่ก็ได้ใส่เทคโนโลยีต่างๆเข้าไว้มากๆมายทั้งระบบควบคุมวาล์วแปรผัน CVTC ที่ทำหน้าที่เปิดปิดวาล์์วให้มีความเหมาะสมตามรอบเครื่องยนต์อัพเป็นที่มาของแรงม้าทั้ง 79 ตัว และแรงบิดสูงถึง 10.8 กิโลกรัม/เมตร ในรอบเครื่องยนต์เพียงแค่ 4,400 รอบ/นาที เท่านั้น มันก็เพียงพอสำหรับนิสสันมาร์ชที่มีน้ำหนักตัวเพียง 965 กิโลกรัม รวมน้ำหนักของ เชื้อเพลิง 41 ลิตร จะอยู่ราวๆ 979 กิโลกรัม และจากการทดสอบการวิ่งในเมืองที่ความเร็ว 70-80 กิโลเมตร สามารถทำตัวเลขความประหยัดได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร เรียกว่าตอบสนองต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี จึงเป็นรถขนาดเล็กที่ประหยัดและคุ้มค่าอีกหนึ่งรุ่น

3. Suzuki Celerio

เป็นรถเก๋งขนาดเล็กที่สุดในตลาดรถ ECO CAR บ้านเรา ซึ่งเหมาะกับคุณพ่อบ้านหรือแม่บ้านจ่ายตลาดหรือ หนุ่มสาววัยทำงาน ที่เน้นการเดินทางในมืองแบบคล่องตัวสุดๆ และเป็นรถที่เปิดตัวมาด้วยความประหยัดน้ำมันตั้งแต่แรกเริ่มทำตลาด ซึ่งจากการที่เคยทดสอบ และ การแข่งขันความประหยัดที่เคยทำได้ สูงถึง 33.2 กิโลเมตรต่อลิตร และยังเป็นรถยนต์ขนาดเล้กที่มีอ๊อฟชั่นคุ้มค่ามากสุดๆในตลาดอีกรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้

4.Suzuki Ciaz

รถเก๋งขนาดเล็กทรง Sedan 4 ประตูที่เคย บุกตลาด ECO CAR ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยราคาที่สามารถเป็นรถคันแรกของใครหลายคนได้อย่างสบายๆ และยังสามารถพาครอบครัวเล็กๆไปเที่ยวได้ทุกที่ด้วยภายในที่กว้างเหมือนกับ รถ Sedan ทั่วๆไป เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ซีซี เหมือนกับ Suzuki Swift แต่ได้มีการปรับจูนให้เหมาะสมกับเรื่องของน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการกินน้ำมัน สามารถทำได้ถึง 28 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อวิ่งนอกเมือง แต่ถ้าวิ่งในเมื่อก็จะอยู่ราวๆ 17.8 กิโลเมตรต่อลิตร บนความเร็วที่ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปัญหาเรื่องอะไหล่ก็ไม่แพงและจุกจิกมากนัก และยังได้ในเรื่องของอ๊อฟชั่นเกินตัวเกินราคาอีกด้วย


5.Nissan Almera

Nissan Almera เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ปรับปรุงในเรื่องของเครื่องยนต์ที่เริ่มนำเทคโนโลยีเทอร์โบมาใช้ในเครื่องขนาดเล็ก 1.0 ลิตร หรือ 990 ซีซี เทอร์โบไฟฟ้า ได้กำลังสูงถึง 100 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 152 นิวตันเมตรเลยทีเดียว ถึอว่าเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ที่มีกำลังเท่ากับเครื่อง 1.6 ซีซี เลยก็ว่าได้ พร้อมเทคโนโลตีอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี เตือนสุดอับสายตา เบรคฉุกเฉินอัจฉรียะ เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนททางลาดชันพร้อมถุงลมนิรภัยมากถึง 6 จุด แต่มีอัตราการกินน้ำมันเพียงแค่ 23.3 ต่อลิตร เมื่อวิ่งนอกเมือง แต่วิ่งในเมืองสามารถทำได้ 14.15 กิโลเมตรต่อลิตร เท่านั้น ในช่วงของมื่อหนึ่งค่าตัวสูงถึง 6.39 แสนเลยทีเดียว แต่มือ 2 ปรับราคาลงมาเหลือราวๆ 4.7 แสนเท่านั้น

6.Honda City
Honda City เป็นอีกหนึ่งรุ่น ที่น่าสนใจในหมู่วัยรุ่นวัยทำงานที่ชอบในเรื่องของความสนุกและสามารถประหยัดน้ำมันได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความการขับขี่ของผู้ใช้ ด้วยความที่เป็นเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร อีกหนึ่งรุ่นที่ทำงานควบบคู่กับเทอร์โบไฟฟ้า พ่วงกำลังมาทั้งหมด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดสุดถึง 173 นิวตันเมตรที่ 2,000 – 4,500 เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นรถเครื่องเล็กที่มีกำลังสูงสุดในกลุ่มรถขนาดเล็ก และยังรองรับน้ำมันแบบ E20 เรียกว่าอัตราสิ้นเปลืองตามสเปคที่วิ่งในเมืองสามาถทำได้ถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร และวิ่งยอกเมืองสามารถทำได้ถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว อ๊อฟชั่นภายในเรียกว่าครบสุดในทุกรุ่น และยังเป็นรถที่สามารถเลือกได้ระหว่างรุ่น Hatchback และ Sedan 4 ประตู ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนอีกด้วย

7.Mazda 2

Mazda 2 เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ทำตลาดทั้งเครื่องเบนซิลและดีเซล เรียกว่า ในช่วงนี้น้ำมันเบนซินแพงถึงขีดสุด สำหรับคนที่กำลังอยากจะได้รถขนาดเล็กอาจจะหันไปมองกลุ่มรถดีเซลสำหรับ Live Style คนเมืองที่ไม่ต้องการความใหญ่โต อุปกรณ์ภายในครบครันแบบสไตล์สปอร์ท และยังมีโหมดสปอร์ตที่น่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบความหลากหลายในการขับขี่ ระบบควบคุมความเสถียรภาพการทรงตัว

รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว 1,299 ซีซี อัตรากำลังสูงสุด 93 แรงม้า ที่ 5800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร ที่ 4,000 จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รองรับน้ำมันประเภท E20 และอัตราการกินน้ำมันอยู่ราวๆ 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อวิ่งนอกเมือง

รุ่นเครื่องดีเซล Skyactiv-D ขนาด 1.5 ลิตร 1499 ซีซี 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว พ่วงเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาทีแรงบอกสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 ต่อนาทีเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อวิ่งนอกเมือง

8.Suzuki Swift

เป็นรถขนาดเล็กที่ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.2 ลิตร 1,197 ซีซี ระบบหัวฉีด Dual Jet เป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องให้กำลังสูงถึง 83 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที และสามารถจุน้ำมันได้ถึง 37 ลิตร รองรับน้ำมัน E20 และด้วยน้ำหนักของตัวรถ เพียงแค่ 875 – 910 กิโลกรัม (เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง) ขับขี่ในเมืองสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้สูงสุดถึง 19 กิโลเมตรต่อลิตร และทำอัตราสิ้นเปลืองแบบนอกเมืองวิ่งยาวๆที่ 23 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว

9.TOYOTA Yaris

เป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของกลุ่มรถขนาดเล็กที่หันมาใช้เครื่องขนาด 1.2 ลิตร จากรุ่นก่อนใช้เป็นเครื่อง 1.5 ที่ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่ม City Car ซะอย่างนั้น ซึ่งเครื่อง 1.2 ลิตรนี้ จะอยู่ภายใต้รหัส 3NR-FE 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว 1197 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 86 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้ปรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i รองรับน้ำมันสูงสุดแบบ E20 ขับขี่แบบในเมืองสามารถทำได้ถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร และ ขับขี่นอกเมืองสามารถทำได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่การแนะนำสำหรับคนที่กำลังมองหารถที่มีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำประหยัดเงินประหยัดกระเป๋า เน้นไปในเรื่องของการใช้งาน ให้เหมาะสม หากเพื่อนๆคนไหนอยากได้รถมือสองขนาดเล็ก แนะนำโชว์รูมรถมือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์ เพราะเรามีรถขนาดเล็กให้คุณเลือกกว่า 300 คัน และยังมีรถประเภทอื่นๆ อีก 400 คันครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

ฟิล์มติดรถยนต์แบบไหนที่เหมาะกับคุณ มือใหม่หัดเลือก

ฟิล์มติดรถยนต์กลายมาเป็นอุปกรณ์รถยนต์ที่ขาดไม่ได้สำหรับบ้านเรา นอกจากจะเป็นอุปกรณ์ที่ตกแต่งเพื่อความสวยงามและยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดรังสีความร้อนของแดดและยังช่วยรักษาอุปกรณ์ภายในรถยนต์จากความร้อนของแรงแดดให้เสื่อมช้าลง
และในปัจจุบัน ฟิล์มติดรถยนต์กรองแสงนั้นก็มีหลากหลายแบบให้เราได้เลือก แตกต่างทั้งชนิด คุณภาพ และราคา อีกด้วย ฉะนั้น สำหรับมือใหม่อาจจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจชนิดและประสิทธิภาพของแต่ละประเภท ว่าแบบไหนที่เหมาะกับคุณนะครับ

1. ฟิล์มกรองแสงแบบปกติ (Dyed Window Tint)

ฟิล์มประเภทนี้จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟิล์มกรองแสงแบบย้อมสี” สามารถกรองแสงจากดวงอาทิตย์ให้มีความเข้มที่ลดน้อยลง และยังสามารถสะท้อนรังสีได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถลดเรื่องของความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของฟิล์มกรองแสงประเภทนี้ ยังไม่สามารถลดแสงสะท้อนจากภายนอกได้ดีเท่าไหร่นัก และยังมีอายุการใช้งานที่น้อยและสั้นกว่าประเภทอื่นๆทำให้ฟิล์มกรองแสงแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก

2. ฟิล์มลดความร้อนประเภทไอโลหะ (Metalized Window Tint)

ฟิล์มความร้อนประเภทไอโลหะหรือโดยทั่วๆไปมักจะเรียกกันว่า ฟิล์มปรอท โดยตัวฟิล์มจะมีการเคลือบผิวด้วยไอโลหะต่างๆ ให้มีความันวาวและเมื่อมองจากด้านนอก จะไม่เห็นด้านใน ฟิล์มประเภทนี้มีคุณสมบัติที่เหนือกว่าฟิล์มปกติทั่วๆไป โดยจุดเด่นของฟิล์มประเภทนี้ อยู่ที่การสะท้อนรังสี และความร้อนจากภายนอก และยังสามารถลดความร้อนที่สะสมภายในห้องโดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย และยังมีคุณสมบัติลดแสงจ้าทำให้สบายตาในเวลากลางวัน
แต่ฟิล์มประเภทนี้ก็ยังมีข้อเสียในเรื่องของ ทัศนะวิสัย เพราะจะมีความเหลือมของสีเมื่อมองจากภายในสู่ภายนอก ความคมชัดในเรื่องของแสงไฟในเวลากลางคืน และการส่งผ่านของของสัญญาณต่างๆ เช่น เคลื่อนวิทยุ GPS สัญญาณอินเตอร์เน็ต รวมไปถึง สัญยาณ Easy Pass ทางด่วนอีกด้วย

3. ฟิล์มประเภทคาร์บอน (Carbon Window Tint)

ฟิล์มประเภทคาร์บอน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “นาโนคาร์บอน” จะนำเอาโมเลกุลคาร์บอนมาผสมไว้ใยเนื้อฟิล์มโดยมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับเนื้อฟิล์ม โดยวัตถุประสงค์นั้นจะคล้ายๆกับฟิล์มโลหะ นั่นคือการลดแสงสะท้อนรังสีลดความร้อนถึง 40% แม้ว่าหลังจากติดฟิล์มประเภทนี้จะทำให้มองไม่เห็นจากภายนอก แต่ภายในนั้นมีความใสและสว่างกว่าแบบปรอทและยังไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องอับสัญญาณต่างๆ จึงเป็นที่นิยมของตลาด

ส่วนข้อเสียของฟิล์มประเภทนี้ นั้นคือความคมชัดใสในเวลากลางคืนจะน้อยกว่าเซรามิค ฉะนั้นหากคนแต่ถ้าหากยิ่งอยู่ในช่วงหมดอายุก็จะทำให้ยิ่งเห็นทัศนวิสัยได้ไม่ชัดยิ่งขึ้น

4.ฟิล์มเซลรามิค (Ceramic Window Tint)

ฟิล์มกรองแสง เซรามิค หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “นาโนเซรามิค” เป็นการนำเอาอนุภาคขนาดจิ๋วของเซรามิคมาเป็นชั้นเคลือบฟิล์ม ฟิล์มประเภทนี้จะให้ความใสและเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืนกว่า ประเภททคาร์บอน อีกทั้งยังดูสะอาดตา และยังกัยรังสี UV ได้ถึง 99% กันความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับฟิล์มประเภทอื่นที่มีความเข้มที่เท่ากัน ฟิล์มประเภทนี้ จะไม่รบกวนกับสัญญาณดิจิตอลต่างๆ และความพิเศษของฟิล์มประเภทนี้ คืออายุการใช้งานยาวนาน และฟิล์มประเภทนี้จะมีความมืดทึบเมื่อมองจากด้านนอกลดโอกาศในการถูกโจรกรรมได้ยิ่งขึ้น

และในส่วนของข้องเสียของฟิล์มประเภทนี้ คือในเรื่องของราคาที่สูงนั่นเอง

5.ฟิล์มคาร์บอน-เซรามิค (Carbon-Ceramic Window Tint)

และนอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีฟิล์มอีกหนึ่งประเภท คือ คาร์บอน-เซรามิค ฟิล์มประเภทนี้ เป็นลูกผสมระหว่างฟิล์ม ทั้งสองของประเภทมารวมไว้ด้วยกัย เมื่อมองจากภายนอกแล้วจะมีความเข้มและมืดกว่าฟิล์มแบบอื่นๆ และความทึบก็จะช่วยในเรื่องความเสี่ยงของการโจรกรรม ทรัพย์สินที่มีค่าภายในรถนอกจากนั้นแล้วการเพิ่มส่วนของคาร์บอนจะช่วยในเรื่องของการสะท้อนของแสงจากภายนอกอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ก็เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของฟิล์มแต่ละประเภท ฟิล์มที่ดีจะตัองมีประสิทธิภาพในการกรองแสง และ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่ถ้าหากคุณเลือกฟิล์มที่ไม่ตรงใจก็จะทำให้สิ้นเปลืองเม็ดเงินเพื่อติดใหม่ฉะนั้น การศึกษาหาข้อมูลเรื่องฟิล์มติดรถยนต์ก่อนก็ถือว่าสำคัญทำให้คุณมั่นใจในการเลือกฟิล์มยิ่งขึ้นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และประสิทธิภาพอีกด้วย

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

รู้หรือไม่ การขับรถช้าๆ ไม่ได้ทำให้ประหยัดน้ำมัน

เรียกว่ายุคสมัยนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคิดถึงความคุ้มค่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะการเดินทางซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำคัญกับมนุษย์เราเป็นอย่างมาก โดยความเชื่อที่ว่า”การขับรถช้าๆนั้นรอบเครื่องยนต์ต่ำๆไปตลอดทาง ทำให้ประหยัดน้ำมัน” ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันไม่เป็นความจริง

โดยจากข้อมูลในการใช้เครื่องยนต์ได้พบว่า การใช้เกียร์ต่ำนั้นมีอัตราสิ้นเปลืองกว่าเกียร์สูงซะอีกเพราะการใช้เกียร์สูงพลังงานในการของเครื่องยนต์ที่เท่าๆกันจะหมุนวงรอบของเพลาล้อได้จำนวนมากกว่าจึงทำใ้ได้ระยะทางมากกว่าด้วย ด้วยความสิ้นเปลืองของน้ำมันที่ใช้เท่าๆกัน และในขณะที่ความเร็วต่ำๆ และเกียร์ต่ำ จะเปลืองน้ำมันมากกว่า และอีกอย่างเมื่อความเร็วต่ำก็จะใช้เวลาในการเดินทางที่มากกว่า
โดยการขับรถเร็วมากเกินไปก็จะทำให้เปลืองน้ำมันได้เช่นกัน เพราะเครื่องยนต์จะต้องพยายามทำรอบให้สูงๆ ก็จะต้องเร่งในการเผาผลาญน้ำมัน ก็จะต้องใช้น้ำมันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเร่งความเร็วจากรอบต้นๆให้ไปถึงรอบเครื่องยนต์สูงๆในระยะเวลาสั้นๆก็ทำให้สิ้นเปลืองเช่นกัน เพราะเครื่องยนต์จะต้องสู้กับความเฉื่อยภายในเครื่องยนต์และถ้าหากจะต้องเบรคในเวลาต่อมาก็จะทำให้สิ่นเปลืองศูนย์เปล่าโดยใช่เหตุ ฉะนั้นการขับรถที่เปลืองน้ำมันที่สุดคือการเร่ง และเบรค สลับกันไปมา
ฉะนั้นการขับรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุดคือการค่อยๆเร่งเครื่องยนต์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงเกียร์สูง โดยขับรถรักษารอบเครื่องยนต์ให้มีความเร็วกับรอบเครื่องยนต์ที่คงที่ เมื่อถึงเวลาจะต้องชลอรถ จะได้ไม่ต้องสูญเสียเชื้อเพลิงมากๆ โดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง

โดยรถแต่ละรุ่น แต่ละขนาดเครื่องยนต์และขนาดของตัวถังก็เป็ฯปัจจัยความเหมาะสมที่ไม่เท่ากัน ถ้าหากกำลังเครื่องยนต์ที่น้อย ความเร็วๆที่เหมาะสมก็จะอยู่ประมาณ 50-90 กม.ต่อชั่วโมง แต่ถ้ารถกำลังสูง ใช้เกียร์สูงๆ ในรอบต่ำก็จะได้ความเร็วที่พอเหมาะอาจจะอาจจะอยู่ราวๆ 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถที่มีมาตราวัดรอบเครื่องก็สามารถช่วยให้มีความแม่นยำในการใช้รอบเครื่องยนต์ได้ 2000-3000 รอบต่อนาที (ยกเว้นเครื่องประเภท Hybrid นะครับเพราะเครื่องยนต์ประเภทกึ่งไฟฟ้าจะใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนร่วมด้วย)

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมการขับรถช้าๆ ถึงไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน เรียกว่าหลังจากนี้อาจจะต้องมาเปลี่ยนความคิดและความเชื่อกันใหม่ทั้งหมดนะครับ ว่าแท้จริงแล้วการค่อยๆเร่งและใช้รอบกับความเร็วที่เหมาะสมต่างหากที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น เพื่อความคุ้มค่าในการใช้รถใช้ถนนครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

ครม. เคาะลดภาษีน้ำมัน “ดีเซล” 5 บาท ถึง ก.ค.นี้

โดยกระทรงการคลังได้เสนอการลดภาษีฯ เพิ่มจาก 3 บาทต่อลิตรเป็น 5 บาท ต่อลิตร หลังจากที่ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีส่งสัญญานว่าอาจลดเพิ่มอีกได้หากกระทรวงการคลังเสนอเข้ามาให้ ครม. พิจารณา

รายงานข่าวจาทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 พฤษฎาคม ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหม เป็นประธานประชุมนั้น เบื้องต้นที่ประชุมมีมติให้ลดภาษีฯ น้ำมันดีเซล เพิ่มจาก 3 บาทต่อลิตร 5 บาท ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. ถึงวันที่ 31 ก.ค. นี้ ทั้งนี้เพื่อบรรเทาภาระราคาน้ำมันค่าครองชีพประชาชน และลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแนวทางการลดภาษีสรรพสามิต มีวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้มากจนเกินไป

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม



อวสานรถเมล์ร้อนสาย 123 เลิกเดินรถแล้ว 15 พ.ค.65 นี้

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 Facebook จำนวน 2 เพจ ให้ข้อมูล เกี่ยวกับเส้นทางรถเมล์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รายงานว่า รถประจำทางสาย 123 เส้นทาง ฟาร์มจรเขสามพราน-ท้องสนามหลวง ซึ่งมีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง ถ.เพชรเกษมกับ ถ. พุทธมณฑลสาย 2 สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ถ.บรมราชชนนี และ ถ.จรัญสนิทวงศ์ จะหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.2565 เป็นต้นไป

โดยเพจ “รถเมล์ไทยแฟนคลับ Rotmaethai” โพสข้อความว่า สาย 123 ให้บริการวันนี้เป็นวันสุุดท้าย รอผู้ประกอบการเดินรถรายใหม่เข้ามาเดินรถแทนรายเดิม คนทที่จะเดินทาง ถ.เพชรเกษม ช่วงหนองแขมและ ม.เอเชีย ไปสายใต้ใหม่ หมดตัวเลือการเดินทางไปอีกสายก๋ลำบากไปกันหมด ทั้งผ ู้โดยสาร ทั้งคนให้ข้อมูลสายรถเมล์

“ซึ่งการหายไปของสาย 123 เส้นทางที่ทดแทนก็นั่งกันหลายต่อวุ่นวายไปหมดจากอ้อมน้อยก๋จ้องนั่ง 539 ไปลงสายใต้ใหม่ แล้วต่อสาย 124 ไปสนามหลวง แต่สำหรับคนที่อยู่เพชรเกษม ตรงหนองแขม วัดอุดม ม.เอเชีย ไปสนามหลวง เหลือสาย 80 วิ่งสายเดียว รอดูกันต่อไปว่าผู้ประกอบการรายใหม่เดินรถกันวันไหนนะครับ” ที่มาไลน์กลุ่ม เรารักรถเมล์123

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม