10 รถเก๋งมือสองผ่อนง่ายฟรีดาวน์ได้รายได้น้อยก็ผ่อนสบายหาได้ที่กฤษฎากู๊ดคาร์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่หลายๆ คนกำลังมองหารถยนต์ที่สามารถผ่อนได้สบายๆ และสามารถออกได้ง่ายๆทั้งกลุ่มลูกค้าเพิ่งเริ่มทำงาน รวมไปถึงคนที่กำลังอยากได้รถ แต่มีรายได้ที่ไม่สูงมากนัก วันนี้จะมาแนะนำและรีวิวรถเก๋งที่อาจจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ลองมาดูกันครับ ว่ามีรุ่นไหนบ้าง

8. Toyota Corolla Altis 1.8 TRD Sportivo (ปี 2013)
รถยอดฮิตที่มียอดจำหน่ายในตลาดมือหนึ่งเป็นจำนวนมหาศาลที่สุดในยุกนั้นๆ ซึ่งเป็นรถที่สามารถนำไปติดตั้งระบบเชื้อเพลิงทางเลือกได้อย่างหลากหลาย และอีกทั้งยังเป็นรถที่มีจุดขายในเรื่องของความคงทน อะไหล่ไม่แพง แถมซ่อมง่าย หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบความจุกจิกก็แนะนำเป็นตัว Toyota Altis ตัวพิเศษ TRD ชุดแต่ง TRD ล้อ TRD พวงมาลัยพาวเวอร์ กระจกไฟฟ้า และแอร์ก๋ยังเป็นระบบดิจิต้อล ที่แต่งมาจากศูนย์ เป็นเครื่องเบนซิน 1.8 ที่อัตราการซดน้ำมันไม่เว่อวังจนเป๋าตังเสียหาย ผ่อนสบายๆ แค่เดือนละไม่เกิน 7,000 บาทในระยะสั้นๆ และปัจจุบันก็สามารถปรึกษาออกรถได้ฟรี ขั้นอยู่กับข้อตกลงกับทางไฟแนนซ์นะครับ

7. Honda City 1.5 ปี2015 6928
Honda City เป็นรถอีกรุ่นที่ถูกยอมรับมากที่สุดในกลุ่มของลูกค้าที่ได้เคยเป็นเจ้าของรุ่นนี้ เพราะทั้งความคุ้มค่าทั้งราคาและ การใช้งานเพราะถ้ายิ่งเป็นตัวท๊อป เรียกว่าอ๊อพชั่นที่ได้มาครบครันทั้งแอร์ดิจิต้อล จอเดิมจากศูนย์ แถมยังเป็นเป็นพวงมาลัย มัลติฟังค์ชั่นมี Paddle Shift แอร์แบค 2 ใบ เบาะหนัง และยังเป็นปุ้มสตาร์ท กุญแจรีโมท นอกจากจะเป็นรถที่มีอ๊อพชั่นดีสุดในตลาดแล้ว จุดขายของรุ่นนี้คือการดีไซน์ถึงภายในที่มีความล้ำหน้าล่ำสมัยกว่ายี่ห้ออื่นในกลุ่มเดียวกัน


6. Toyota Yaris 1.5 ปี 2008 TRD 3003
เป็นรถมือสองที่มีเสนห์ในเรื่องของราคาที่คุ้มค่าสุดๆเพราะทั้งการดูแลรักษาที่ง่ายกว่าทุกรุ่นทุกยี่ห้อจึงทำให้ Toyota Yaris ถือครองตลาดรถขนาดเล็กมาอย่างยาวนาน คันนี้เรียกว่าจัดทรงหล่อ เบาะตัวพิเศษ Racing TRD ที่ไม่ได้เกลื่อนในประเทศไทย ที่สำคัญคือ สภาพยังไม่เคยผ่านการติดตั้งระบบแก๊สจึงทำให้เครื่องยนต์ไม่เสื่อมไวเน้นใช้งานทั่วไป ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบรถทที่ดูแลง่ายไม่จุกจิก ก็แนะนำเป็นคันนี้เลย


5. Nissan Almera 1.2 ปี 2020 E SPORTECH ราคา 349,000 บาท

ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ชอบความกว้างในกลุ่ม ECO CAR ก็ขอ แนะนำเป็น Sedan ECO CAR คันนี้เลย ชุดแต่งพิเศษ Sportech ที่ทางศูนย์ได้ผลิตออกมาอย่างมีจำกัด และเป็นรถได้รับความนิยมในหมูของคนที่เริ่มต้นวัยทำงานมากที่สุด เพราะในเรื่องทั้งค่างวดและราคาที่สามารถจับต้องได้ง่ายๆในกลุ่มของคนที่อยากมีรถนั่งไม่เกิน 5 คน ตัวถังและบอดี้ใหญ่ ล้อลายใหม่พวงมาลัยท้ายตัด ได้ทั้งความสวยและสปอร์ตและยังคงความเป็นลิมิเต็ด ซึ่งจะสังเกตุได้จากความสวยงามสีเดิมโรงงาน และสามารถผ่อนได้ถึง 84 งวด ตกเดือนละ



4. Nissan March ปี 2018 1.2 ราคา 289,000 บาท
ถ้าชอบความคล่องตัว ผ่อนง่าย บำรุงรักษาสบายๆ Nissan March เป็นตัวเลือกหลักๆสำหรับคนที่ชอบความประหยัด แถมยังสีสวยฟ้าสดเป็นตัวที่วางขายและทำตลาดถึงจะเป็นสีฟ้าแบบนี้ก็เป็นสีเดิมจากโรงงาน และคันนี้เอกสารติดรถก็ติดมาจากโรงงาน สภาพคันนี้ภายในสะอาดสะอ้านมากๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่อยากให้ลูกค้าและรับประกันสภาพจากโชว์รูมอีกด้วย


3. Suzuki Celerio GL ปี 2021 ราคา 299,000 บาท
เป็นรถมือสองในกลุ่ม ECO CAR ที่มีเครื่องเล็กสุดในตลาดประเทศไทย ด้วยเครื่องเพียงแค่ 1.0 ลิตร ก็ทำให้ถูกใจสำหรับกลุ่มตลาดของคุณแม่บ้าน และถ้าหากมองดีๆ เราจะเห็นค่าน้ำมันของประเทศไทยมีราคาที่สูงขึ้น สำหรับรถเครื่องขนาดนี้นี่แหละ เหมาะสมกับประเทศเราสุดๆ และจุดขายอีกหนึ่งสิ่งของคันนี้ก็คือ ลวดลายที่อยู่ในตัวถัง ซึ่งจะเห็นได้ว่าแซมด้วยสีแดงซึ่งเป็นชุดแต่งพิเศษและสำหรับคันนี้ ไมล์แค่ 2 หมื่นกิโลเท่านั้น ราคาเพียงแค่ 299,000 บาท สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้เดือนละ 12,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถยื่นขอทำเรื่องกู้ ออกรถคันนี้ได้เรียกว่าทั้งง่ายๆ และยังผ่อนสบายๆอีกด้วย


2. Suzuki Ciaz 2017 ราคา 269,000 บาท
ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ชอบความโอ่อ่า Suzuki Ciaz ก็เป็นอีกอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ได้แย่เลยนะครับ เพราะถึงจะเป็นเครื่อง 1.2 ลิตร แต่ก็สามารถทำความเร็วได้ทันใจไม่อืดอาด ด้วยเกียร์ระบบ CVT ที่มีความนุ่มนวล Suzuki Ciaz จะเน้นไปทางการใช้งานแบบครอบครัวเป็นหลัก และฝาท้ายก็สามารถเก็บของได้พอๆกับ Toyota Vios เลยทีเดียว และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สามารถฟรีดาวน์ได้ และรายได้เพียงแค่ 12,000 บาทก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้
เสนห์ของรถคันนี้คือ เป็นรถที่มีอัตราสิ้นเปลืองที่ทำใด้ดีเป็นอันดับต้นๆของตลาด ECO CAR ถึงจะเป็นรถที่มีททรงขนาดใหญ่ ภายในสภาพเดิมๆ จอแอนดรอยจากศูนย์ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งระบบ Apple Carplay และ Android Auto แต่ไม่มี MAP เพราะเป็นตัว GL และแอร์ก็ยังเป็นแบบปรับมือ


1. Toyota Vios 1.5 ปี 2016 ราคา 339,000 บาท
TOYOTA Vios เป็นรถ City CAR ที่ทำตลาดมาอย่างยาวนาน VIOS จึงกลายเป็นอีกรุ่นที่สามารถทำยอดขายในกลุ่ม City car เครื่อง 1.6 ลิตร ได้เป็นอันดับ 1 ของกลุ่มในปัจจุบันเป็นรถที่สามารถฟรีดาวน์ ออกง่าย จัดไฟแนนซ์ได้สบาย และจัดไฟแนนซ์ได้สูงสุดถึง 84 งวด ผ่อนตกเดือนละเพียงแค่ 4 พันกว่าบาทกันเลยทีเดียวผ่อนได้สูงสุดเพียงแค่ 72 งวด ต่องวดที่ 6 พันกว่าบาท เป็นรถบ้านแท้ ที่เจ้าของเดิมมีประวัติการเช็คศูนย์ทุกระยะ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

Suzuki Tour H1 รถสุดประหยัด ในเวอร์ชั่นอินเดีย

Maruti suzuki ในประเทศอินเดีย ได้เปิดตัว Maruti Suzuki Tour H1 ซิตี้คาร์แบบ 4 ที่นั่ง ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Suzuki Aito K10 เจเนเรชั่นล่าสุด ในเวอร์ชั่อินเดีย ที่เน้นการใช้งานแบบขับขี่ในเมืองไม่หนักมากรูปร่างกระทัดรัด โดยมีขุมพลังให้เลือกทั้งแบบ เบนวินและ CNG โดยเปิดราคามาอย่างน่าสนใจเพียงแค่ 2 แสนกว่าบาทเท่านั้น

สำหรับรถ City Car ขนาดเล็กจิ๋ว Maruti Suzuki Tour H1 ได้วางจำหน่ายในอินเดีย แบบ 4 ทที่นั่งเป็นรถที่มีพื้นฐานช่วงล่างเดียกับ Suzuki Alto K10 เวอร์ชั่นที่วางขายยในอินเดีย

ในด้านมิติของตัวถัง จะมีความยาวของงตัวรถที่ 3,445 มิลลิเมตร ความกว้างที่ 1,490 ความสูง 1,475 มิบบิเมตร และระยะฐานล้อที่ 2,360 มิลลิเมตร มาพร้อมกับรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.6 เมตร

ในส่วนของการดีไซน์ภายนอก Maruti Suzuki Tour H1 ยังคงมากับงานออกแบบที่มีลักษณะความโค้งมนตามชาตินิยมแบบคนอินเดีย ซึงจะถอดแบบมาจาก Suzuki Alto K10 โดยชุดกันชนจะเป็นแบบสีดำทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กระจกข้างสีดำแบบปรับมือหลอดไฟหน้าแบบ ฮาโลเจน ดีไซน์คล้ายๆกับรูปหยดน้ำด้านหน้าออกแบบให้เหมือนกับสเกิร์ตมาพร้อมกับช่องรับลมที่แบ่งออกเป็น 6 ช่อง

ด้านข้างรถมีเส้นสายที่ดูเรียบง่าย มาพร้อมกับฝล้อขนาดเล็กเพียงแค่ 13 นิ้ว ฝาครอบกระจกมองข้างมาในรูปแบบสีดำ

ไฟท้ายออกแบบให้มีชุดไฟท้ายขนาดใหญ่ มองเห็นได้อย่างชัดเจน พร้อมกันชนด้านหลังขนาดใหญ่และติดตั้งชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ไว้ที่กระจกบานหลัง

โดย Maruti Suzuki Tour H1 ในอินเดียจะวางจำหน่ายทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Solid White สีเงิน Silky Silver และดำ Midnight Black

ภายในห้องโดยสารเป็นแบบ 4 ที่นั่ง และเน้นการใช้เป็นหลัก ระบบความบันเทิงต่างๆจะถูกถอดออกจนหมด ซึ่งจะต่างจากตัว Suzuki Alto K10 แผงแดชบอร์ดจะติดตั้งมาเพียงมาตรวัดความเร็วที่เป็นแบบเข็ม

เบาะนั่งเป็นแบบผ้าถุงลมนิรภัยคู่ เครื่องปรับอากาศ และที่วางขวดขนาด 1 ลิตร ที่ช่องเก็บข้างประตู และจุดสำคัญของรุ่นนี้คือ เบาะแถวหลังจะไม่สามารถพับเพื่อเพิ่มพืื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระได้เหมือนกับ Alto K10

เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 66 แรงม้า และแรงบิด 89 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์เชื้อเพลิง CNG ก๊าซธรรมชาติอัด ให้กำลังที่ 56 แรงม้า และแรงบิด 82.1 นิวตันเมตร โดยทั้งสองเครื่องยนต์จะเชื่อมต่อด้วยชุดเกียร์แบบ 5 สปีด มาตรฐานและระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น

ตัวรถ Suzuki Tour H1 จะพร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศอินเดีย โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนวิน 1.0 ลิตรนั้นจะมีราคาคำหน่ายเริ่มต้น ที่ 480,500 รูปี หรือประมาณ 207,998 บาท และ 570,500 หรือประมาณ 247,200 บาท

อัพเดทรถใหม่เพิ่มเติมได้ที่

10 สัญญาณที่บอกอาการเบรกกำลังมีปัญหา

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ระบบที่มักจะเกิดปัญหาในช่วงหน้าฝนมากที่สุดคือระบบเบรกซึ่งระบบเบรกจะสามารถบอกอาการเบื้องต้นว่ากำลังมีปัญหาในส่วนไหน และต้องทำอะไรบ้างในบทความนี้ หากเพื่อนๆเจออาการเหล่านี้ลองเทียบดูครับ ว่าใช่หรือไม่

1. เบรกดัง

เบรกดัง อาการคือมีเสียงดังในขณะที่กดเบรกจะต้องสังเกตว่ามาจากจุดใด มีเสียงจากทุกล้อหรือแค่ล้อใดล้อหนึ่ง แต่ถ้าหากเสียงมาจากล้อคู่ใดคู่หนึ่ง ตั่วอย่างเช่นมาจากล้อคู่หน้า ก็แสดงว่า ผ้าเบรกกำลังจะหมดลงทำให้เหล็กเกิดการเสียดกับจานนั่นเอง

แต่ถ้าหากเกิดเสียงแหลมดังจากเบรคล้อใดล้อหนึ่งตามความเร็วของล้อหมุนก็อาจจะเกิดจากเศษหิน หรือ วัตถุอะไรบางอย่างเข้าไปเสียดสีระหว่างผ้าเบรกควรตรวจสอบและแก้ไขโดยเร็วเพื่อไม่ให้หน้าจานเบรกเกิดรอยและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

2. เบรกสั่น

อาการเบรกสั่นมักจะเกิดในช่วงหน้าฝน ซึ่งสามารถทดสอบได้จากการเหยียบเบรกเบาๆ ที่แป้นเบรกสะเทือนไปถึงพวงมาลัย หากปล่อยไว้อาจจะสั่นไปทั้งคัน โดยสาเหตุจะเกิดจากจานเบรกคดบิดตัว สึกหรอ หน้าจานมีลักษณะไม่สม่ำเสมอซึ่งสาเหตุก็เกิดจากการเบรกที่รุนแรง จะเกิดความร้อนสูงแล้วลุยน้ำ และจานเบรกไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งอาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งระบบดิกส์เบรกและดรัมเบรกควรทำการแก้ไขโดยการเจียรหน้าจานเบรกนั่นเอง

3.เบรกปัด


เบรกปัดคืออาการเบรคแล้วรถมีอาการปัดเป๋เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เช่นถ้าหากเบรกแล้วรถมีอาการเอียงไปทางด้านซ้าย แสดงว่าจุดที่กำลังจะต้องตรวจสอบนั้นอยู่ด้านขวา ซึ่งอาจจะต้องตรวจสอบน้ำมันและสารหล่อลื่นต่างๆภายในระบบเบรก หรืออาจจะมีสารลื่นมาติดอยู่ที่หน้าเบรกทำให้ประสิทธิภาพในการจับของคาลิปเปอร์เบรก ทั้ง 2 ข้าง แตกต่างกัน


4.เบรกติด


เบรกติด อาการเบรกติดจะเหมือนว่าเบรกทำงานอยู่ตลอดเวลา หรือเหมือนกับใส่เบรกมืออยู่ตลอดเวลา สังเกตได้ว่าเมื่อรถออกตัวจะมีอาการตื้อ รถหยุดสั้นกว่าปกติ เบรกร้อน และมีกลิ่นไหม้ หรือจอดแล้วเข็นรถยาก หรือไม่สามารถเข็นได้เลย อาการเบรกติดมักจะเกิดจากลูกยางของกันฝุ่น


5.เบรกลื่น


เบรกลื่น อาการเบรกลื่นเป็นอาการที่อันเกิดขึ้นได้เมื่อใช้งานเบรกถี่ๆซ้ำๆบ่อยๆจนทำให้ระบบหม้อลมเบรกผิดปกติ หรือ อาการที่บ่งบอกว่า ท่อลมเบรกนั้นอาจจะมีรอยรั่วซึมทำให้เบรกไม่สามารถปั้มลมไปยังระบบคาลิปเปอร์ได้ หรือแม่ปั้มเบรควงจรหน้าและหลังไม่ทำงาน ในส่วนของอาการเหล่านี้จะต้องเข้าศูนย์เพื่อไล่ระบบลมว่ามีจุดไหนรั่ว และไม่ควรใช้งานเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงจากการเบรกไม่อยู่ได้นั่นเอง


6.เบรกหมด


เบรกหมด อาการที่เบรกหมด จะสังเกตได้จากเสียงที่เกิดจากการเสียดสีของเหล็กกับหน้าจาน และประสิทธิภาพของเบรกก็จะลดลง ระยะเบรกยาวขึ้น และไม่ควรปล่อยเอาไว้ ควรรีบเปลี่ยนใหม่เพราะเหล็กของแป้าคาลิเปอร์ จะทำให้หน้าดิกส์เบรกนั้นเป็นรอย


7.เบรกกระพือ


เบรกกระพือ จะมีอาการสั่นสู้เท้าจนสามารถรู้สึกได้เมื่อเวลาแตะเบรก และ อาจจะมีอาการสั่นถึงพวงมาลัยเมื่อแตะเบรก ซึ่งเกิดจากปัญหาของหน้าจานเบรกที่มีร่องรอยของความเสียหายจากการใช้งานและขาดการดูแล จนเกิดการชำรุดเกิดร่องรอยทิ้งไว้ที่หน้าจาน ถ้าหากมีร่องรอยไม่ลึกก็สามารถแก้ไขโดยการเจียรจานถ้าหากลึกมากก็แนะนำให้เปลี่ยนจานเบรกไปเลยดีกว่า


8.เบรกแตก


เบรกแตก คืออาการที่เมื่อเหยียบเบรกไปแล้วกลับไม่มีอาการตอบสนองหรือชะลอรถลงแม้ว่าจะเหยียบลงจนสุด ซึ่งอาการเบรกแตกจะเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุเช่น

  • ความร้อนอันเนื่องมากจากการเบรกกระทัน หรือเบรกย้ำบ่อยๆ จนทำให้ระบบเบรกและน้ำมันเกิดความร้อนสูงน้ำมันเบรกก็จะเกิดการระเหยจนกลายเป็นไอจึงทำให้มีช่องวางภายในสายเบรกทำระบบเบรกไม่ทำงานในช่วงจังหวะนั้น จึงจะต้องทำการเปลี่ยนน้ำมันเบรกเพื่อไล่ละบบปีละครั้ง
  • เกิดจากรอยรั่วในระบบ เช่น เกิดการรั่วจาก ซิลต่างๆ หรืออุปกรณ์ต่างๆภายในระบบเบรกมีการรั่วซึม ทำให้เกิดช่องว่างในอากาศและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเบรกแตกได้เช่นกัน


9.เบรกจม


เบรกจม จะมีอาการคือเหยียบเบรกลึกกว่าปกติ ซึ่งถ้าหากขับรถทุกๆวันจะสามารถรู้สึกได้ ซึ่งเกิดจากระบะของผ้าเบรกมีความห่างมากขึ้น จึงทำให้ระยะของการกดเบรกต้องมากขึ้นตามไปด้วย และอาจจะถึงขั้นกดสุดแล้วยังจับได้ไม่เต็มแรง วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น ให้ช่างตรวจสอบว่าผ้าเบรกหมดหรือไม่ ถ้ายังไม่หมดก็สามารถตั้งระยะความห่างของงผ้าเบรก แต่ถ้าหากหมดก็ควรเปลี่ยนนั่นเองครับ

10. เบรกทื่อ

เบรกทื่อ คืออาการที่ต้องเหยียบแรงกว่าปกติ ระบบเบรกถึงจะทำงานซึ่งความสามารถในการควบคุมน้ำหนักเบรกในแต่ละครั้งเป็นไปได้ยาก อาการเบรกทื่อเกิดจากความผิดปกติของระบบหม้อลมเบรกที่มีอากาศมากเกินไปโดยมี น้ำมันเบรก ซิลยางหม้อลมเบรก ลูกยางแม่ปั๊มเบรก เสื่อมสภาพเสียหาย

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

All-New Honda S2000 EV รถสปอร์ตเปิดประทุนไฟฟ้าล้วน ที่อาจจะได้เปิดตัวปลายนี้

เชื่อว่าหลายคนจะต้องรอคอยเจ้า S2000 ที่ทิ้งสายการผลิตมาอย่างยาวนาน แต่มีข่าวว่าอาจจะเปิดตัวรุ่นใหม่ ที่เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนไฟฟ้าล้วน โดยมีกำหนดที่อาจจะเปิดตัวภายในปลายปีนี้

สำหรับสาวกที่กำลังติดตาม Honda S2000 คงจะต้องรอราวๆปลายปีอย่างใจจดใจจ่อ เพราะยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวอย่างแน่ชัด อย่างไรถ้าหากมีความเคลื่อนไหว ทาง Kitsadagoodcar News จะนำมาแจ้งให้ได้ทราบครับ

ในปี 2023 ก็เป็นปีที่ทาง บริษัท Honda ครบรอบ 75 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ทางผู้บริหารระดับสูงของทาง Honda บางท่านได้ปล่อยข้อมูลหลุดออกมาคาดว่าจะปล่อยออกมาปลายปีนี้

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1999 ทาง Handa ฉลองครบรอบ 50 ปี บริษัท ด้วยการเปิดตัวรถสปอร์ตแบบบ 2 ประตูสุดคลาสสิกที่ใช้ชื่อว่า Honda S2000

โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ F20C และการตั้งค่าระบบขับเคลื่อนด้านหลัง ในอัตราส่วนน้ำหนัก 50:50 ด้วยตัวรถยนต์ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัด และขับขี่สนุก จึงทำให้ Honda S2000 เป็นรถยนต์หนึ่งในใจของสาวก H ทั่วโลก และทำการยุติการผลิตไปในปี 2009 โดยมียอดขายรวมทั้งหมดเกิด 110,000 คัน

ตามรายงานจากสื่อต่างประเทศสำนักหนึ่งได้เปิดเผยว่า Honda S2000 จะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของรถ EV ก่อนหน้านี้ทาง Honda ก็ได้วางจำหน่าย Honda NSX ในรูปแบบของรถ Hybrid ซึ่งรถสปอร์ตภายใตผ้าคลุมทั้ง 2 คัน คาดว่าจะเป็น All-New Honda NSX และ All-New Honda S2000 EV

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

เลือกซื้อยาง ต้องดูอะไรถึงจะได้ยางที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง

ยางรถยนต์เป็นอุปกรณ์ที่สุดแสนจะจะเป็นของคนใช้รถ เพราะถึงจะเป็นอุปกรณ์ที่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญและการหาข้อมูลเพราะเมื่อพูดถึงราคาแล้วก็ทำเอาหลายๆคนกุมขมับได้เมื่อถึงอายุที่จะต้องเปลี่ยน ซึ่งยางรถยนต์เองก็มีให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน ตั้งตามงบ และ สมรรถนะ เราลองมาดูครับ ว่าการจะเลือกยางให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

แน่นอนว่าการประหยัดเงินมากที่สุด คือการสลับยางไปมา จากล้อหน้าไปล้อหลัง และ ล้อหลังมาใส่ล้อหน้าซึ่งมักจะเห็นเทคนิกนี้ในรถยนต์ประเภทขับเคลื่อนบน 2 ล้อ เพราะล้อหน้ามักจะเกิดการกินหน้ายางมากกว่าล้อหลัง จึงทำให้สูญเสียดอกยาง และทำให้เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ มีผลในการเลี้ยวหรือการโค้งหนักๆ อาจจะทำให้รถเกิดอาการเสียศูนย์และเกิดอันตรายได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะต้องเปลี่ยนยางใหม่แล้ว
สามารถสังเกตได้จากสภาพของหน้ายางที่เปลี่ยนไป ถ้าหากคุณใช้ยางมานานมากกว่า 3 ปี สภาพของยางก็จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทั้งความนุ่มของยางก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการสังเกตสภาพขอบยางด้านในสุดหรือนอกสุดของยางก็จะมีความสึกหรอที่รวดเร็วกว่าปกติ และยางรุ่นใหม่ๆจะมีสะพานยางไว้สำหรับสังเกตว่า ยางได้สึกหรอจนบางมาถึงจุดที่ควรเปลี่ยนแล้วหรือไม่

สะพานยางคืออะไร

สะพานยาง หรือ Tread Wear Indicator คือปุ่มร่องดอกยางที่อยู่ในตำแหน่งของยางรถยนต์ สำหรับเพื่อวัดความสูงของดอกยาง และเป็นเกณฑ์สำหรับวัดระดับความสึกของหน้ายางเมื่อถึงรำดับของตำแหน่งสะพานยาง ก็เท่ากับว่ายางหมดสภาพก็ควรเปลี่ยนแล้ว

แล้วจะเลือกซื้อยางให้เหมาะกับตัวเองได้อย่างไร
การเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นจะต้องคำนึงอยู่หลายข้อ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งการเปลี่ยนยางใหม่จะมีผลกับช่วงล่างและสมรรถนะของรถยนต์โดยตรง

1. ใช้งานในเมืองหรือใช้นอกเมือง
การเลือกลักษณะของยางก็ควรเลือกให้เหมาะกับเส้นทาง ถ้าหากคุณเน้นใช้งานเดินป่าลุยเขาก็ควรละเลือกยางที่มีลายดอกที่ใหญ่ หรือเรียกว่า ยาง AT (All Terrain) หรือยาง MT (Mud Terrain) แต่ถ้าใช้เดินทางในเมืองเป็นหลักก็ควรจะต้องเลือกยางที่สามารถใช้งานในทางเรียบ ก็คือ HT (Highway Terrain) เน้นในเรื่องของความเงียบและประหยัดน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีตาราง ที่บอกลักษณะของคุณภาพ และศักยภาพต่างๆไว้อยู่แล้ว โดยสามารถจำแนกได้หลายๆส่วน เช่น ความนุ่มนวล ความเงียบ สปอร์ต ทนทาน ประหยัด บนถนนแห้ง และบนถนนเปียก เป็นต้น

2. ราคาและคุณภาพ
การเลือกยางด้วยราคาจะต้องหาข้อมูลหลายๆยี่ห้อ เพราะยางรถยนต์ในท้องตลาดก็มีให้เลือกมากมาย หลายรุ่น ขึ้นอยู่กับเกรดของเนื้อยางอีกด้วย ซึ่งยางแต่ละรุ่นก็จะมีค่าดัชนีรับน้ำหนัก (Load Index) โดยสามารถดูสเปคได้จากแก้มยาง ตัวอย่างเช่น ถ้าหากค่าดัชนีรับน้ำหนักมีตัวเลขที่แก้มยางที่ 84 ก็เท่ากับว่ายางแต่ละเส้นสามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 500 กิโลกรัม โดยน้ำหนักมา คูณกัน เท่ากับ 500 x 4 จะเท่ากับ 2,000 กิโลกรัม ฉะนั้น จะต้องคำนวนการรับน้ำนักสงูสุดของยางให้เพียงพอกับน้ำหนักรถ



อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม



5 วิธีขจัดปัญหากลิ่นอับในแอร์ได้ไม่ยาก

หลายๆคนคงประสบปัญหาในเรื่องของกลิ่นอับในช่องแอร์ โดยสามาถเกิดได้หลายๆ สาเหตุอาจจะเกิดจากการนำอาหารเข้ามาในรถ หรือ ความชื้นในอากาศ และถ้าหากไม่ค่อยเปลี่ยนกรองแอร์ก็จะทำให้แอร์มีกลิ่นได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในรถแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร

1. เปิดพัดลมไล่ความชื้น

วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพียงแค่ให้เรา ปิดสวิทช์ A/C เพื่อหยุดการทำงานของคอมเพลสเซอร์ แล้วจึงไล่ความชื้นต่างๆ ออกจากระบบทำความเย็น ก็จะสามารถลดกลิ่นอับที่เกิดขึ้นได้ ควรจะทำก่อนที่จะจอดรถซักประมาณ 5 – 10 นาที หรือถ้าจะให้ผลดีที่สุด ก็จอดเปิดประตู เปิดพักลมไล่ความชื้นนั้นแหละครับ

2. เปิดแอร์แต่พอเหมาะ

หากเปิดแอร์เย็นจนเกินไปก็จะทำให้ความชื้นในระบบแอร์สูงจนเกิดไอน้ำ หยดน้ำสะสม ผสมกับฝุ่นในอากาศทำให้เกิดความสกปรกในระบบปรับอากาศรถยนต์ เมื่อลดอุณหภูมิลงจะสังเกตุได้ว่ามีกลิ่นอับเกิดขึ้น แต่ถ้าหากจำเป็นจะต้องเปิดแอร์เย็นจริงๆ แนะนำให้เปิดพัดลมปิดแอร์ตาม

3.ใช้ความร้อนจากแดดไล่ความชื้น

วิธีธรรมชาติที่หลายๆคนก็ใช้กัน คือการใช้ความร้อนจากแดดไล่ความชื้นและเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในแอร์ ด้วยวิธีการเปิดกระจกหรือเปิดประตู

4.ล้างแอร์
หากทำทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สามารถขจัดกลิ่นอับในแอร์ได้ก็คงต้องเป็นไม้ตายสุดท้ายคือการ “ล้างแอร์รถยนต์” กันไปเลยดีกว่า โดยปัจจุบันอาจจมีค่าใช้จ่ายที่สูงหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุด เพราะตัดปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับแอร์ได้ทั้งหมด เช่น แอร์อุดตัน ช่องแอร์เหม็นอับ รวมไปถึง การผุกร่อนที่จะเกิดตามอายุการใช้งาน และถ้าหากเป็นไปได้ก็ควรเข้าทำการล้างแอร์รถยนต์์ ทุก 30,000 – 60,000 กิโลเมตร ครับ

5.ใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อลดกลิ่นอับ

หรือถ้าหากทำทุกวิธีแล้ว ก็ยังมีกลิ่นอับอาจจะต้องใช้ตัวช่วยแล้วหละครับ ในปัจจุบันมีน้ำหอมมากมายหลายยี่ห้อ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่สามารถขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำหอมแบบเจล เพราะจะทำให้ระเหยเข้าไปอุดตันในระบบแอร์ได้นั่นเอง

หากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

.

ไม่ใช้รถนานๆ จะเกิดผลเสียอย่างไรบ้างนะ

ไม่ใช้รถนานๆ จะเกิดผลเสียอย่างไรบ้างนะ

สาวๆทราบกันไหมคะว่า การปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ใช้งานเลยจะเกิดผลเสียมาก แต่หากใครคิดว่าคงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ งั้นเรามาดูกันค่ะว่า 5 ปัญหา ที่เกิดจากการไม่ใช้รถเนี่ย จะเกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง

 1.น้ำมันเสื่อมสภาพ

อันที่จริงแล้วในรถยนต์ของเรามีน้ำมันอยู่หลากลหายป ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ หากไม่ได้ใช้น้ำมันนานๆ น้ำมันอาจจะเกิดเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุไป ทำให้เกิดเชื้อราและมีแบททีเรีย หากถูกนำมาใช้ใหม่ จะเกิดการเผาไหม้ผิดปกติ ทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพได้ค่ะ

2.รถสตาร์ทไม่ติด

หลายๆคนอาจเคยจอดรถนาน เมื่อจะใช้อีกครั้งมักจะสตาร์ทไม่ติด สาเหตุมาจาก มอเตอร์หรือแบตเสื่อม

หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ขึ้นก็สามารถพ่วงแบตกับรถคันอื่นได้  หากรถสตาร์ทติดก็แปลว่ายังไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็อย่าชะล่าใจไปเชียว ควรตรวจสอบอายุการใช้งานแบตเตอรี่บ้างนะสาวๆ

3.ยางรถยนต์

เป็นส่วนประกอปรถที่วัสดุเป็นยาง แน่นอนเมื่อโดนความร้อนเข้าไป หรือจอดทิ้งไว้นานๆ ความร้อนของพื้นอาจทำให้ยางรถเผาไหม้ และสึกไปได้

4.สิ่งมีชีวิตเข้าไปอาศัย

ไม่ว่าจะแมลงหรือหนู เมื่อได้เห็นรถก็เหมือนกับว่า พวกมันกำลังได้บ้านคฤหาส ขนาดใหญ่ พร้อมพา ครอบครัวและชาวแก๊งค์เข้ามากัด สายไฟบ้างเอย หรือปล่อยมูลในที่กรองอากาศบ้างแหละ สยองสุดๆ

เป็นไงบ้างคะ เพื่อนๆเคยเจอเหตุการณ์นี้มาบ้างหรือป่าว แชร์ประสบการณ์ที่คอมเม้นท์ได้เลยนะคะ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

Toyota Land Cruiser Prado MILD – Hybrid 2024 มาแน่ในปี 2024

หลังจากที่ทาง Toyota ได้ปล่อยโฉม Toyota Land Cruiser 2024 รถ SUVสายลุยขนานแท้ ขุมพลัง Hybrid Turbo i-FORCE MAX 326 แรงม้า เปิดตัวที่าทงยุโรป ใช้ชื่อว่า Land Cruiser Prado โดยจะมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาดความจุ 2.8 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 201 แรงม้าและเป็นเครื่องยนต์บล๊อคเดียวกันกับ Toyota Fortuner GR Sport ที่มีการเปิดตัวในบ้านเรามาไม่นานนี้เอง

ในด้านการออกแบบและดีไซน์ของ Toyota Land Cruiser Prado 2024 ใหม่ในยุโรปนั้น จะมีลักษณะโมเดลที่คล้ายคลึงกับตัวทางอเมริกา ตัวรถมาในรูปแบบของ SUV Off Road ที่ถูกปรับและพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์ม GA-F ของทาง Toyota ที่มีความแข็งแรงของโครงสร้างเพิ่มขึ้นอีก 50%

ทั้งนี้ยังใส่อ๊อพชั่นเสริมมาให้อย่างเช่น พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าที่สามารถช่วยลดแรงสั่นสะเทือนบนเส้นทางที่ขรุขระและในขณะเดียวกันที่ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลยิ่งขึ้นรวมไปถึงการรองรับการทำงานของระบบ Lane Tracing Assist ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Toyota Safety Sense นั่นเอง

ในส่วนของด้านพละกำลังเครื่องยนต์ของ All-New Toyota Land Cruiser Prado 2024 จะติดตั้งเครื่องยนต์ระบบดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2.8 ลิตร ซึ่งเวอร์ชั่นอเมริกา จะเป็นขุมพลังไฮบริดเทอร์โบ i-FORCE MAX
โดยขุมพลังเทอร์โบล๊อตนี้จะเป็นเครื่องเดียวกันกับที่ใช้บน Toyota Fortuner GR Sport รุ่นก่อนจะปรับปรุงที่เปิดจัวในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี่ โดยจะให้กำลังที่ 201 แรงม้า มาพร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติแบบ Direct Shift 8 AT โดยทาง Toyota ได้เคลมไว้ว่า จะมีพละกำลังในการลากจูงสูงสุดถึง 3,500 กก.

และ Toyota ได้ติดตั้งเทคโนโลยี SDM ที่เป็นเหล็กกันโคลงด้านหน้าแบบปลดการเชื่อมต่อ ที่สามารถปลดการทำงานของเหล็กกันโคลง (Anti-roll bar) ผ่านปุ่มควบคุมภายในห้องโดยสาร รวมไปถึงการอัพเกรดระบบต่างๆ ทั้ง Multi-Terrain Monitor ที่หน้าจอแสดงระดับของตัวรถเมื่อต้องการลุยเส้นทาง Off Road ซึ่งจะแสดงผลวัดความลาดเอียง และลักษณะของตัวรถทั้งด้านหน้าตรง หลังตรง และด้านข้าง Multi-Terrain Monitor ผู้ขับจะสามารถเลือกการตอบสนองของช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพเส้นทางได้โดย Manual และ อัตโนมัติ

รวมทั้งยังเปิดเผยอีกว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า 2025 ทาง Toyota จะนำเอาระบบ Mild-Hybrid 48V พ่วงเข้ากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ได้มาติดตั้งบนตัว Toyota Land Cruiser Prado โดยยังให้แรงม้าแรงบิดเท่าเดิม แต่จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบสันดาปล้วน

ทางโตโยต้าจะเปิดจ้องในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ส่วนในเรื่องของราคาก็จะต้องคอยติดตาม แต่มีการรายงานว่าจะมีการส่งมอบได้ในช่วงปี 2024 ที่จะถึงนี้

สามารถอ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


7ไอเท็ม ที่สาวๆไม่ควรลืมในรถ ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง

7ไอเท็ม ที่สาวๆไม่ควรลืมในรถ ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง

รถยนต์นอกจากจะเป็นพาหนะคู่ใจแล้ว สาวๆหลายๆคนก็มองว่า รถยนต์เป็นะพื้นที่ส่วนตัวที่สามารถเก็บของได้ไม่พอ ยังเป็นพื้นที่ ที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ จึงทำให้มีข้าวของมากมายหลายๆสิ่งจนรกไปหมด แต่มันจะมีสิ่งของบางอย่างที่อาจจะเสียหายและสร้างอันตรายให้กับรถและคุณสาวๆได้ มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

1.ลิปสติก

เป็นสิ่งที่สาวๆมักชอบลืมวางไว้ตรงซอกใดซอกนึงในรถ ถ้าเป็นลิปน้ำมารูปแบบแท่งก็ยังพอรับได้หากปิดฝาไว้ แต่ลิปสติกบรรจุแบบแท่งนี่นะสิสาวๆ แพงแค่ไหนก็อาจละลายหายไปเป็นแค่ความทรงจำได้นะจ้ะ

2.รองเท้า
กลิ่นรองเท้าที่อยู่ในรถข้ามวันข้ามคืน สาวๆพอจะเดาออกได้มั้ยคะว่าบนรถจะมีกลิ่นแบบไหน

นอกจากจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้วยังสามารถขัดขา เมื่อตอนแตะหรือเหยียบเบรกได้เลยนะ ถือว่าอันตรายสุดๆ

3. อุปกรณ์ต่างๆที่วัสดุเป็นยาง

เช่นจุ๊บติดกระจก เคสมือถือหรือแผ่นรองมือถือแบบยาง ด้วยวัสดุสิ่งนี้โดนความร้อน มักจะละลาย อาจทำให้เกิดเลอะหรือเสียหายภายในรถได้

4.แอลกอฮอลล์

นอกจากจะเป็นที่น่าจับจ้องของคุณตำรวจแล้ว ยังเป็นเครื่องดื่มที่รสชาติสามารถเปลี่ยนได้

เพราะความร้อนในรถสามารถทำลายกรดในแอลกอฮอลล์ได้ เผลอลืมเข้า เสียทั้งเงินเสียทั้งใจของสาวๆสายปาร์ตี้เลยก็ว่าได้

5.บัตรเครดิต

ไม่ว่าจะบัตรเครดิต หรือบัตรอะไรที่วัสดุเป็น พลาสติก โดนความร้อนไปอาจทำให้บัตรบิดเบี้ยวหรือเสียหาย หากเครื่องรูดไม่ได้ ซวยแน่ เสียเวลาไปทำใหม่อีกนะคะ โอ้ยย

6.พาวเวอร์แบงค์ หรือ แบตเตอรี่สำรอง

ถือว่าเป็นไอเท็มที่อันตรายมากหากลืมในรถ เพราะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า และวัสดุในพาวเวอร์แบงค์มักมี สารลิเธียม ที่มีความไวต่อปฎิกิริยาทางเคมี ทำให้เกิดการระเบิดได้  นอกจากของจะเสียหาย อาจเกิดอันตรายอื่นๆตามมาด้วยนะ น่ากลัวสุดๆ

7.สเปรย์กระป๋อง

สเปรย์ต่างๆที่เป็นไอเท็มเด็ดของสาวๆ ไม่ว่าจะ สเปรย์ฉีดผม สเปรย์ดับกลิ่น หรืออาจจะเป็นของที่ใช้ในรถอย่างสเปรย์เคลือบเงาล้อ  เจอกับอุณหภูมิ สูงๆเข้าไป จะเกิดการบวม เกิดประกายไฟ และระเบิดได้ในที่สุด

 เป็นอย่างไรบ้างคะ สาวๆ กับไอเท็ม7 อย่างที่กล่าวมา สาวๆคนไหนเคยเผลอลืม ไว้ในรถ และเกิดเหตุการณ์อะไร ลองคอมเม้นท์ แชร์ประสบการณ์หน่อยค่ะ

อ่านสาระน่ารู้รถยนต์เพิ่มเติมได้ที่

7 คำถามที่ห้ามพลาด เตรียมตัวก่อนมาซื้อรถมือสอง

ถ้าหากว่าคุณกำลังเตรียมตัวจะซื้อรถ หนึ่งคัน สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการซื้อรถมือสองจะต้องมีอะไรบ้าง นอกจากจะไปดูรถคันจริงตามเต็นท์แล้ว ก็จะต้องเตรียมคำถามเพื่อผลประโยชน์ในการเลือกรถให้ได้มากที่สุด การเตรียมคำถามต่างก็ถือว่าสำคัญสุดๆ เพราะในช่วงเวลาระยะสั้นๆ ที่คุณจะมีโอกาสถามเกี่ยวกับตัวรถ วันนี้ กฤษฎากู๊ดคาร์ จึงรวบรวมคำถามมาให้ลูกค้าได้ลองถามฝ่ายขายกันครับ

การตั้งคำถามต้องถามยังไง?

หากคุณเดินตรงเข้าไปถามว่า รถคันนี้มีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง? หรือ คันนี้ดีไหม? ก็คงไม่มีแม่ค้าพ่อค้าคนไหนจะตอบว่า สินค้าของตัวเองไม่ดี อาจจะเพราะว่ามันเป็นคำถามที่กว้างเกินไป และก็อาจจะตอบคำถามไม่ได้ดีมากนักฉะนั้น ตัวผู้ซื้อเองก็ต้องศึกษาด้วยตัวเองมาบ้าง

7 คำถามสำคัญ

1.รถคันนี้ปีอะไร และ เลขไมล์เท่าไหร่

คำถามแรกที่เราจะต้องเริ่มคือ ปีรถซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับเลขไมล์ ซึ่่งให้เราคำนวนเลขไมล์กับปีของโดยสามารถคำนวนได้ดังนี้
ตัวอย่างรถปี 2004 เลขไมล์ 310,000 กิโลเมตร ให้นำ ปี 2004 ลบกับ ปีปัจุบัน 2023 เท่ากับ รถ 19 ปี
นำ 19 ปี หารด้วยเลขไมล์ 310,000 กิโลเมตร ก็เท่ากับกับ ปีละ 16,315 กิโลเมตร
ก็ถือว่าต่อปีรถคันนี้ใช้มาราวๆ 1.6 หมื่นโลต่อปีเท่านั้น

แต่ทั้งหมดทั้งมวลเลขไมล์ก็ไม่ได้เป็นคำตอบของเรื่องทั้งหมดเพราะถ้าหากเลขไมล์น้อย โดยค่าเฉลี่ยควรจะอยู่ราวๆไม่เกิน ปีละ 10,000 – 20,000 กิโลเมตรต่อปี แต่ถ้าหากเป็นรถที่ใช้งาน แนะนำให้เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 30,000-40,000 ต่อปี การมองด้วยตาเปล่าว่าสภาพดีก็ไม่สามารถดูด้วยตา เปล่าแต่รถผ่านการใช้งานแบบไม่ดูแล หรือสมบุกสมบัน เลขไมล์น้อยๆ นั้นก็อาจจะไม่ใช่คำตอบของการการันตีสภาพเสมอไป เพราะถ้าหากไมล์น้อย แต่ราคากลับถูกมากเกินไป ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ฉะนั้นการเลือกรถก็ควรดูสภาพประกอบกับการใช้งานให้สมเหตุสมผล

2. คันนี้ได้แต่งอะไรมาบ้าง
เป็นคำถามปลายเปิดที่คุณจะได้คำตอบแบบทางบวกหรือทางลบทางใดซักทางหนึ่ง อาจจะแต่งเพราะความสวยงาม หรือแต่งเพราะตอบสนองของเจ้าของเดิม เพราะถ้าหากรถแต่งสวยมาคุณก็อาจจะได้คำตอบในเชิงทางบวกซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช้ทั้งหมด เพราะให้เราพิจารณาเอาเองว่าอุปกรณ์ต่างรถเหล่านั้น ส่งผลดีหรือไม่ผลเสีย อย่างเช่น ถ้าหากรถเปลี่ยนกล่อง ECU มา ข้อดีคือรถสามารถทำรอบได้สูงขึ้น แต่อาจจะทำให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็นำกลับมาพิจารณาได้

3. รถคันนี้เคยชนหนักไหม

คำถามที่สามารถบอกได้เป็น 2 ประเด็นได้ ประเด็นแรกคือการเฉี่ยว อาจจะเกิดรอยลอกนิดหน่อย ซึ่งให้คิดซะว่ามันเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะร่องรอยเหล้านี้เกิดจากการใช้งานเพราะนอกจากจะมีร่อยรอยเศษดิน เศษหินกระเด็น กิ่งไม้หรือยางมะตอย มักจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากมีร่องรอยลึกหรือเยอะเกินไป อาจจะต้องคิดถึงประเด็นต่อมาคือการชนหนัก คือถ้าหากรถมีการถูกชนจนเสียศูนย์เสียสภาพ ทั้งโครงสร้าง และ อะไหล่ต่างๆ พัง ยุบ จนต้องเปลี่ยนใหม่หมด หรือผ่านการซ่อมแซมเชื่อมต่อ ก็จะส่งผลเสียในระยะยาวได้เช่นกัน

4. รถคันนี้ใช้งานมากี่มือแล้ว
คำถามนี้เราอาจจะต้องพิจารณาจากสภาพการใช้งาน โดยให้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องของสภาพจากการใช้งานเป็นหลัก เพราะสิ่งที่เราสามารถสังเกตได้คือความสมเหตุสมผลของสภาพ ถ้าหากว่ารถโทรมมากๆ ก็อาจจะเกิดจากการใช้งานอย่างหนัก เพราะลักษณะการใช้งานของแต่คนนั้นก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย อาจจะส่งผลทำให้เครื่องยนต์และตัวรถ เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ


5. ทำไมเจ้าของเดิมถึงขายคันนี้
อาจจะดูเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา แต่ถ้าหากว่าเรารู้ว่าเหตุผลที่ขายคันนี้เจ้าของเดิมคืออะไรก็อาจจะอุ่นใจมากขึ้นแต่ เราก็มักจะได้ยินคำตอบที่ว่า เจ้าของเดิมต้องการซื้อรุ่นใหม่ เจ้าของเดิมจะขยับรุ่นหรือขยายรถให้ใหญ่เพื่อใช้ในครอบครัว ก็อาจจะต้องพิจารณาที่ตัวรถให้ดีๆ โดยปกติแล้วแบบจากกันด้วยดี การขายรถมักจะเกิดจากการบรรเทาค่าใช้จ่าย หรือ ต้องการเปลี่ยนรถใหม่นั่นเอง

6. รถคันนี้เข้าศูนย์ครบทุกระยะหรือไม่
การเข้าศูนย์ตามระยะก็เป็นการดูแลรถยนต์ และเป็นสัญลักษณ์ของการทนุถนอมรถของเจ้าของเดิม ทางดิลเลอร์หรือศูนย์บริการจะมีการบันทึกการเข้ารับบริการของทางลูกค้าทุกท่านอยู่แล้ว ทางลูกค้าก็สามารถนำเลขทะเบียน ไปตรวจสอบเพื่อขอรับข้อมูลกับทางศูนย์บริการได้

7. รถคันนี้มีการรับประกันหลังจากที่ซื้อหรือไม่

แน่นอนว่าแต่ละเต็นท์จะมีการรับปรับกันในเรื่องของสภาพและการใช้งานหลังจากลูกค้าได้ออกศุนย์ไปอยู่แล้ว แต่จะแตกต่างในเรื่องของระยะทาง หรือ ระยะเวลา แต่อย่างไรก็ตาม สิส่งเหล่านี้จะอยู่ในข้อตกลงหากเราลืมหรือไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า อาจจะพลาดในเรื่องของการรับประกันไปได้นั่นเอง

สาระน่ารู้รถยนต์