รถมือสองราคาตั้งแต่ 200,000 ถึง 400,000 บาท

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 1GD-FTV, 2.8 ลิตร (2,755 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,600 รอบ/นาที (สำหรับเกียร์ธรรมดา)
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ (iMT)
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• ขุมพลัง 2.8 ลิตรที่ทรงพลังที่สุด: นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้รถคันนี้แตกต่าง ด้วยแรงบิดมหาศาลถึง 420 นิวตัน-เมตร ทำให้มีพละกำลังในการบรรทุกหนัก, ลากจูง, หรือวิ่งขึ้นทางชันได้อย่างสบาย เหนือกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรอย่างชัดเจน
• ความทนทานและน่าเชื่อถือ: เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์ สามารถใช้งานหนักได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นรถกระบะที่มีราคาขายต่อแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	2.4 J Plus	2.8 J Plus (รุ่นนี้)
ราคาเปิดตัว	~605,000 บาท	~605,000 บาท
เครื่องยนต์	ดีเซล 2.4L (150 แรงม้า)	ดีเซล 2.8L (177 แรงม้า)
แรงบิด	343 นิวตัน-เมตร	420 นิวตัน-เมตร
จุดเด่น	ประหยัดน้ำมัน, คุ้มค่า	กำลังสูง, เหมาะกับงานหนัก

• สเปคตู้บรรทุก: ตู้ทำความเย็นคุณภาพสูงจาก MPC COOL ความสูงภายในประมาณ 1.80 เมตร ปริมาตรบรรทุกโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 6.138 ลูกบาศก์เมตร

*** หมายเหตุ อ้างอิงจากขนาดตู้มาตรฐานสำหรับรถกระบะตอนเดียว ขนาดที่ใช้ ความยาวภายในตู้: 2.20 เมตร x ความกว้างภายในตู้: 1.55 เมตร x ความสูงภายในตู้: 1.80 เมตร ***

• ข้อดีของตู้บรรทุก: สามารถรักษาคุณภาพของสินค้าที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการความเย็น เช่น ผัก, ผลไม้, เครื่องดื่ม, นม หรืออาหารสดต่างๆ
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน (เนื่องจากมีการเสริมแหนบ)
• อุณหภูมิที่ทำได้: ด้วยชุดทำความเย็นที่มีคอยล์เย็น 2 ตัว สามารถทำอุณหภูมิได้แบบ แช่เย็น (Chilled) ที่ประมาณ +5 ถึง -5 องศาเซลเซียส

*** หมายเหตุ อุณหภูมิตามข้อความเป็นข้อมูลที่อ้างอิงมาจากเว็บไซต์ทั่วไป ในการใช้งานจริงอาจจะมีการคลาดเคลื่อนตามอายุของตู้ และคอมเพรสเซอร์เครื่องทำความเย็น สภาพแวดล้อม รวมถึงสภาพอากาศด้วย ***

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ตู้ทำความเย็น (MPC COOL)	ตู้สแตนเลส/อลูมิเนียม พร้อมฉนวนคุณภาพสูง	80,000 - 100,000 บาท
2. ชุดทำความเย็น	คอมเพรสเซอร์, คอยล์ร้อน, และคอยล์เย็นพัดลม 2 ตัว	80,000 - 100,000 บาท
3. การเสริมช่วงล่าง	เสริมแหนบแบบหนาพิเศษ	5,000 - 10,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		165,000 - 210,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เมื่อวิ่งตัวเปล่าประมาณ 12-15 กม./ลิตร เมื่อบรรทุกหนักและเปิดระบบทำความเย็น จะอยู่ระหว่าง 8 - 12 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่, สภาพการจราจร, และอุณหภูมิที่ตั้งไว้สำหรับตู้เย็น ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2018): Toyota Hilux Revo 2.8 J Plus MT ราคาประมาณ 605,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.8 J Plus ปี 2018 พร้อมตู้ทำความเย็น คันนี้ ในราคา 399,000 บาท ถือเป็น "รถทำเงินสเปคเทพ สภาพดี ที่คุ้มค่าการลงทุนอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 399,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 605,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 165,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~770,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 371,000 บาท หรือลดลงกว่า 48%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2GD-FTV, 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,800 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• ความทนทานและน่าเชื่อถือ: เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์ สามารถใช้งานหนักได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
• เครื่องยนต์ 2.4L ที่สมดุล: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่องานบรรทุก แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม ช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นรถกระบะที่มีราคาขายต่อแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	Entry (รุ่นที่คุณสนใจ)	Entry (เดิม)
ราคาเปิดตัว	~589,000 บาท	~544,000 บาท
ดีไซน์ด้านหน้า	โฉมใหม่ (คล้าย GR Sport)	โฉมเดิม
เครื่องยนต์	ดีเซล 2.4L (150 PS)	ดีเซล 2.4L (150 PS)
จุดเด่น	ดีไซน์ทันสมัย, ประหยัด	ราคาเริ่มต้นต่ำสุด

• สเปคตู้บรรทุก: ตู้ทึบอลูมิเนียม/ไฟเบอร์จากศูนย์โตโยต้าหรืออู่มาตรฐาน ความสูง 1.55 เมตร เป็นความสูงที่คล่องตัวมาก เหมาะสำหรับการเข้า-ออกใต้อาคารหรือลานจอดรถที่มีเพดานต่ำ ปริมาตรการบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 5.291 ลูกบาศก์เมตร

*** หมายเหตุ อ้างอิงจากขนาดตู้มาตรฐานสำหรับรถกระบะตอนเดียว ขนาดที่ใช้ ความยาวภายในตู้: 2.20 เมตร x ความกว้างภายในตู้: 1.55 เมตร x ความสูงภายในตู้: 1.55 เมตร ***

• ข้อดีของตู้บรรทุก: สามารถป้องกันสินค้าจากสภาพอากาศ (แดด, ฝน, ฝุ่น) ได้อย่างสมบูรณ์ และป้องกันการสูญหายของสินค้าระหว่างการขนส่งได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับธุรกิจขนส่งพัสดุ, สินค้าอุปโภคบริโภค, หรืออุปกรณ์ต่างๆ
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): โดยทั่วไปรถที่ดัดแปลงลักษณะนี้จะมีการเสริมแหนบเพื่อเพิ่มความสามารถในการบรรทุก ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ตู้ทึบบรรทุก	ตู้แห้งสูง 1.55 เมตร จากอู่มาตรฐาน	35,000 - 45,000 บาท
2. การเสริมช่วงล่าง	มีการเสริมแหนบเพื่อรองรับน้ำหนัก (เป็นการดัดแปลงมาตรฐาน)	5,000 - 8,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		40,000 - 53,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เฉลี่ยประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (เมื่อวิ่งตัวเปล่า) และเมื่อบรรทุกเต็มพิกัด จะอยู่ระหว่าง 9 - 11 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็ว, สภาพการขับขี่, และน้ำหนักบรรทุกจริง ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2021): Toyota Hilux Revo 2.4 Single Entry MT ราคาประมาณ 589,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.4 Entry ปี 2021 พร้อมตู้ทึบ คันนี้ ในราคา 369,000 บาท ถือเป็น "รถทำเงินสภาพใหม่ ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 369,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 589,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 40,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~629,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 260,000 บาท หรือลดลงกว่า 41%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ RZ4E-TC, 1.9 ลิตร (1,898 ซีซี) Ddi Blue Power
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,600 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• เครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power: ขึ้นชื่อเรื่องความ "ประหยัดน้ำมัน" เป็นเลิศ แต่ยังคงให้กำลังและแรงบิดที่เพียงพอสำหรับการบรรทุก ทำให้มีต้นทุนการขนส่งต่อเที่ยวที่ต่ำ
• ความทนทานและไว้ใจได้: Isuzu เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในด้านความทนทานของเครื่องยนต์และโครงสร้างแชสซีส์ เหมาะกับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: เป็นรถตลาดที่หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นแบรนด์ที่ตลาดมือสองมีความต้องการสูง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	SPARK 1.9 Ddi B (รุ่นที่คุณสนใจ)	SPARK 1.9 Ddi S
ราคาเปิดตัว	~547,000 บาท	~572,000 บาท
กันชนหน้า	สีดำ (วัสดุดิบ)	สีเดียวกับตัวรถ
เครื่องเสียง	ไม่มี (เป็นช่องว่าง)	มี วิทยุ CD/MP3
กระจกไฟฟ้า	ไม่มี (มือหมุน)	มี
เซ็นทรัลล็อก	ไม่มี	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้นต่ำสุด, เหมาะกับการดัดแปลง	ได้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบจากโรงงาน

สเปคตู้บรรทุก: เป็น "หลังคาอลูมิเนียมทรงสูง" หรือที่เรียกกันว่า "คอกทึบ" ความสูงถึง 2.10 เมตร จากพื้นกระบะ ซึ่งสูงมาก ทำให้สามารถจุสินค้าได้ในปริมาตรการบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 7.161 ลูกบาศก์เมตร

*** หมายเหตุ อ้างอิงจากขนาดตู้มาตรฐานสำหรับรถกระบะตอนเดียว ขนาดที่ใช้ ความยาวภายในตู้: 2.20 เมตร x ความกว้างภายในตู้: 1.55 เมตร x ความสูงภายในตู้: 2.10 เมตร ***

ข้อดีของตู้บรรทุก:

• น้ำหนักเบา: เมื่อเทียบกับตู้ทึบแบบไฟเบอร์ ทำให้ตัวรถไม่แบกน้ำหนักมากเกินไปเมื่อวิ่งตัวเปล่า
• ความจุสูงสุด: สามารถบรรทุกของที่มีความสูงหรือซ้อนกันได้หลายชั้น เช่น เฟอร์นิเจอร์, ต้นไม้, กล่องสินค้าขนาดใหญ่
• เหมาะสำหรับค้าขาย: เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับรถส่งผัก, ผลไม้, หรือรถขายของตลาดนัด เพราะสามารถกันแดดกันฝนได้ดีในระดับหนึ่งและระบายอากาศได้ดีกว่าตู้ทึบ

น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): โดยทั่วไปรถที่ติดตั้งหลังคาลักษณะนี้จะมีการเสริมแหนบเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น สามารถบรรทุกได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. หลังคาอลูมิเนียม	หลังคาทรงสูง 2.10 เมตร พร้อมประตูท้าย	25,000 - 35,000 บาท
2. การเสริมช่วงล่าง	มีการเสริมแหนบเพื่อรองรับน้ำหนัก (เป็นการดัดแปลงมาตรฐาน)	5,000 - 8,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		30,000 - 43,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เฉลี่ยประมาณ 15 - 18 กม./ลิตร (เมื่อวิ่งตัวเปล่า) เมื่อบรรทุกเต็มพิกัด จะอยู่ระหว่าง 9 - 11 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็ว, สภาพการขับขี่, และน้ำหนักบรรทุกจริง ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2020): Isuzu D-MAX Spark 1.9 B MT ราคาประมาณ 547,000 บาท

สำหรับ Isuzu D-MAX 1.9 SPARK B ปี 2020 พร้อมหลังคาอลูมิเนียม คันนี้ ในราคา 369,000 บาท ถือเป็น "รถทำกินสุดคุ้มค่า ที่พร้อมลุยตลาดทันที"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 369,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 547,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 30,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~577,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 208,000 บาท หรือลดลงกว่า 36%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ YD25DDTi, 2.5 ลิตร (2,488 ซีซี) พร้อม VGS Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลังยกสูง (Calibre)

แชสซีส์ "โมโนเฟรม" ที่แข็งแกร่ง:

Navara มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องความแข็งแกร่งของโครงสร้างแชสซีส์แบบชิ้นเดียวตลอดคัน ทำให้มีความทนทานสูงมาก เหมาะสำหรับการบรรทุกหนักและใช้งานในสภาพถนนที่ทุรกันดาร

• ความแข็งแกร่งและทนทาน: โครงสร้างแบบกล่องตลอดแนว (Fully Boxed Frame) ทำให้สามารถรองรับงานบรรทุกหนักได้อย่างมั่นใจ
• สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม: ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งและสมดุล ทำให้รถมีการทรงตัวที่ดีทั้งในทางตรงและขณะเข้าโค้ง

เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ทรงพลัง:

ให้แรงบิดสูงถึง 403 นิวตัน-เมตร ซึ่งสูงที่สุดในคลาสรถกระบะ 2.5 ลิตรในยุคนั้น ทำให้มีพละกำลังในการบรรทุกและเร่งแซงที่ดีเยี่ยม

• พละกำลังและแรงบิดที่ยอดเยี่ยม: แรงบิดมหาศาลที่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้รถออกตัวได้อย่างรวดเร็วและมีพละกำลังเหลือเฟือ
• ความทนทานที่เชื่อถือได้: เครื่องยนต์รหัส YD25DDTi เป็นเครื่องยนต์ที่ Nissan พัฒนาและใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้ความทนทานได้รับการพิสูจน์แล้ว

ช่วงล่างที่นุ่มนวล:

Navara Calibre ให้ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลสบายในการโดยสาร ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลายๆ รุ่น

• ช่วงล่างด้านหน้าที่นุ่มนวลและควบคุมง่าย: ระบบกันสะเทือนอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) ช่วยให้การตอบสนองของพวงมาลัยแม่นยำ
• ช่วงล่างด้านหลังที่ทนทานและทรงตัวดี: ระบบแหนบแบบยาว (Leaf Spring) ได้รับการปรับจูนมาอย่างดี ทำให้รถมีการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม

คุณสมบัติ	S (เริ่มต้น)	E	EL (รุ่นนี้)	V (รุ่นท็อป)
ราคาเปิดตัว	~6xx,xxx บาท	~7xx,xxx บาท	~7xx,xxx บาท	~8xx,xxx บาท
ล้อ	กระทะเหล็ก 16"	ล้ออัลลอย 16"	ล้ออัลลอย 16"	ล้ออัลลอย 18"
เครื่องเสียง	วิทยุพื้นฐาน	วิทยุพื้นฐาน	วิทยุพื้นฐาน	จอสัมผัส + กล้องหลัง
ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง	ไม่มี	ไม่มี	มี	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น	คุ้มค่า, ได้ล้ออัลลอย	เพิ่มปุ่มที่พวงมาลัย	หล่อที่สุด, ออปชันเต็มที่สุด

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 14 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2016): ประมาณ 750,000 - 800,000 บาท

สำหรับ Nissan Navara 2.5 King Cab Calibre EL ปี 2016 คันนี้ ในราคา 249,000 บาท ถือเป็น "รถกระบะพันธุ์แกร่ง ออปชันครบ ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 249,000 บาท
• ราคาเปิดตัว: ~780,000 บาท
• ส่วนต่าง: ประหยัดจากรถใหม่ป้ายแดงไปถึง 531,000 บาท หรือลดลงกว่า 68%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2GD-FTV, 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,800 รอบ/นาที (สำหรับเกียร์ธรรมดา)
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• ความทนทานและน่าเชื่อถือ: เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์ สามารถใช้งานหนักได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
• เครื่องยนต์ 2.4L ที่สมดุล: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่องานบรรทุก แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม ช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นรถกระบะที่มีราคาขายต่อแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	J (รุ่นเริ่มต้น)	J Plus (รุ่นที่คุณสนใจ)
ราคาเปิดตัว	~569,000 บาท	~605,000 บาท
กันชนหน้า	สีดำ (วัสดุดิบ)	สีเดียวกับตัวรถ
กระจกไฟฟ้า/เซ็นทรัลล็อก	ไม่มี (มือหมุน)	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น, เน้นใช้งาน, ทนทาน	ได้ออปชันอำนวยความสะดวกเพิ่ม

• สเปคตู้บรรทุก: ตู้ทำความเย็นคุณภาพสูง ความสูง 1.50 เมตร ซึ่งเป็นความสูงที่คล่องตัวมาก เหมาะสำหรับการเข้า-ออกใต้อาคารหรือลานจอดรถที่มีเพดานต่ำ ปริมาตรการบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 5.115 ลูกบาศก์เมตร

*** หมายเหตุ อ้างอิงจากขนาดตู้มาตรฐานสำหรับรถกระบะตอนเดียว ขนาดที่ใช้ ความยาวภายในตู้: 2.20 เมตร x ความกว้างภายในตู้: 1.55 เมตร x ความสูงภายในตู้: 1.50 เมตร ***

• ข้อดีของตู้บรรทุก: สามารถรักษาคุณภาพของสินค้าที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการความเย็น เช่น ผัก, ผลไม้, เครื่องดื่ม, นม หรืออาหารสด
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.2 ตัน (เนื่องจากมีการเสริมแหนบ)
• อุณหภูมิที่ทำได้: ด้วยชุดทำความเย็นที่มีคอยล์เย็น 2 ตัว สามารถทำอุณหภูมิได้แบบ แช่เย็น (Chilled) ที่ประมาณ +5 ถึง -5 องศาเซลเซียส

*** หมายเหตุ อุณหภูมิตามข้อความเป็นข้อมูลที่อ้างอิงมาจากเว็บไซต์ทั่วไป ในการใช้งานจริงอาจจะมีการคลาดเคลื่อนตามอายุของตู้ และคอมเพรสเซอร์เครื่องทำความเย็น สภาพแวดล้อม รวมถึงสภาพอากาศด้วย ***

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ตู้ทำความเย็น	ตู้สแตนเลส/อลูมิเนียม สูง 1.50 ม.	80,000 - 100,000 บาท
2. ชุดทำความเย็น	คอมเพรสเซอร์, คอยล์ร้อน, และคอยล์เย็นพัดลม 2 ตัว	80,000 - 100,000 บาท
3. การเสริมช่วงล่าง	เสริมแหนบแบบหนาพิเศษ	5,000 - 10,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		165,000 - 210,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เมื่อวิ่งตัวเปล่าประมาณ 13-16 กม./ลิตร เมื่อบรรทุกและเปิดระบบทำความเย็น จะอยู่ระหว่าง 7 - 10 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่, สภาพการจราจร, และอุณหภูมิที่ตั้งไว้สำหรับตู้เย็น ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2018): Toyota Hilux Revo 2.4 J Plus MT ราคาประมาณ 605,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.4 J Plus ปี 2018 พร้อมตู้ทำความเย็น คันนี้ ในราคา 349,000 บาท ถือเป็น "รถทำเงินสุดคุ้มค่า ที่พร้อมใช้งานทันที"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 349,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 605,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 165,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~770,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 421,000 บาท หรือลดลงกว่า 54%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 4JK1-TCX, 2.5 ลิตร (2,499 ซีซี) VGS Turbo
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลังยกสูง (Hi-Lander)

ความทนทานและไว้ใจได้:

Isuzu เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในด้านความทนทานของเครื่องยนต์และโครงสร้างแชสซีส์ สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน มีปัญหาจุกจิกน้อย

เครื่องยนต์ 2.5 VGS Turbo:

ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยม มีพละกำลังที่สมดุล และให้ความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ

• ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างยอดเยี่ยม: เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ดีเซลที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในยุคเดียวกัน
• ความทนทานและเชื่อถือได้: เป็นเครื่องยนต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง ไม่จุกจิก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
• สมรรถนะที่ตอบสนองได้ดี: ระบบเทอร์โบแปรผัน (VGS Turbo) ช่วยให้เครื่องยนต์มีพละกำลังที่ตอบสนองได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

ช่วงล่างที่นุ่มนวล:

Hi-Lander ให้ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล เกาะถนนดี เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเดินทางไกล

• ช่วงล่างด้านหน้าที่นุ่มนวลและควบคุมง่าย: ใช้ระบบกันสะเทือนอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) พร้อมคอยล์สปริง
• ช่วงล่างด้านหลังที่แข็งแกร่งและทนทาน: ใช้ระบบแหนบ (Leaf Spring) ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถกระบะที่เน้นการบรรทุก

รุ่น Z ออปชันครบ:

เป็นรุ่นท็อปในสาย 2.5 ลิตร ที่ให้ออปชันมาครบครันที่สุดจากโรงงาน

• ภายนอกที่ดูดีและมีสไตล์: มาพร้อมกับชุดตกแต่งโครเมียมที่กระจังหน้า, กรอบไฟตัดหมอก, และกระจกมองข้าง
• ภายในที่สะดวกสบายและทันสมัย: ระบบเครื่องเสียงได้รับการอัปเกรดให้มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และอาจมาพร้อมจอแสดงผล
• ออปชันความปลอดภัยและความสะดวกที่ครบครัน: ติดตั้งระบบเบรก ABS / EBD, กระจกไฟฟ้า และเซ็นทรัลล็อก

คุณสมบัติ	S (เริ่มต้น)	Z (รุ่นนี้)	Z-Prestige (ท็อปสุด)
ราคาเปิดตัว	~6xx,xxx บาท	~728,000 บาท	~788,000 บาท
ไฟหน้า	มัลติรีเฟล็กเตอร์	โปรเจคเตอร์	โปรเจคเตอร์
ล้ออัลลอย	16 นิ้ว	16 นิ้ว	17 นิ้ว
เครื่องเสียง	วิทยุ CD พื้นฐาน	วิทยุ CD/DVD	DVD พร้อมจอสัมผัส + Navigator
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น, ทนทาน	คุ้มค่า, ออปชันครบ	หรูหราที่สุด, ออปชันเต็ม

หัวข้อนี้ไม่สามารถใช้ได้กับรถยนต์ประเภทนี้

นี่คือหัวใจที่ทำให้รถคันนี้โดดเด่นและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องเสียง

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. ชุดเครื่องเสียงเต็มระบบ	ตู้ลำโพงซับวูฟเฟอร์, ลำโพงกลาง-แหลม, เพาเวอร์แอมป์, Pre-amp	80,000 - 150,000+ บาท
2. เบาะแต่ง (Bride)	เบาะนั่งแบบ Semi Bucket Seat จาก Bride Japan	30,000 - 50,000 บาท
3. ล้อแต่งและยาง	ล้ออัลลอยแต่งลาย Volk Racing TE37 พร้อมยาง	20,000 - 35,000 บาท
4. ฝากระโปรงและฝาท้าย	ติดตั้งงานหุ้มเคฟลาร์ (Carbon Fiber Wrap)	10,000 - 20,000 บาท
5. การโหลดเตี้ย	ปรับแต่งช่วงล่างให้โหลดเตี้ยลง	15,000 - 50,000 บาท
6. ชุดวัดค่าต่างๆ	เกจวัดรอบและบูสต์เทอร์โบ ยี่ห้อ Defi และอื่นๆ	10,000 - 30,000 บาท
7. พวงมาลัย	คอพวงมาลัยแต่งดีไซน์สปอร์ตจาก K-T Racing	2,000 - 5,000 บาท
8. แป้นเหยียบ	ชุดแป้นเหยียบแต่ง	1,000 - 3,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		168,000 - 343,000+ บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2012): 728,000 บาท

สำหรับ Isuzu D-MAX 2.5 Space Cab Hi-Lander Z ปี 2012 พร้อมชุดเครื่องเสียงเต็มระบบ คันนี้ ในราคา 319,000 บาท ถือเป็น "รถสำหรับสายบันเทิง ที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 319,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 728,000 บาท
• บวก ค่าตกแต่ง (ประเมินขั้นต่ำ): 168,000 บาท
• ต้นทุนรวมเมื่อทำใหม่: ~896,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนรวมไปถึง 577,000 บาท หรือลดลงกว่า 64%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ 2GD-FTV, 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) VN-Turbo และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,800 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• ความทนทานและน่าเชื่อถือ: เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์ สามารถใช้งานหนักได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
• เครื่องยนต์ 2.4L ที่สมดุล: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่องานบรรทุก แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยม ช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยความเป็นรถตลาดอันดับหนึ่ง ทำให้หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นรถกระบะที่มีราคาขายต่อแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	J (รุ่นที่คุณสนใจ)	J Plus
ราคาเปิดตัว	~559,000 บาท	~605,000 บาท
กันชนหน้า	สีดำ (วัสดุดิบ)	สีเดียวกับตัวรถ
กระจกไฟฟ้า/เซ็นทรัลล็อก	ไม่มี (มือหมุน)	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น, เน้นใช้งาน, ทนทาน	ได้ออปชันอำนวยความสะดวกเพิ่ม

สเปคตู้บรรทุก: เป็น "หลังคาอลูมิเนียมทรงสูง" หรือที่เรียกกันว่า "คอกทึบ" ทำให้สามารถจุสินค้าได้ในปริมาณมาก

ข้อดีของตู้บรรทุก:

• น้ำหนักเบา: เมื่อเทียบกับตู้ทึบแบบไฟเบอร์ ทำให้ตัวรถไม่แบกน้ำหนักมากเกินไปเมื่อวิ่งตัวเปล่า
• ความจุสูงสุด: ความสูงภายในตู้โดยประมาณ: 1.80 เมตร สามารถบรรทุกของที่มีความสูงหรือซ้อนกันได้หลายชั้น ปริมาตรการบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 6.138 ลูกบาศก์เมตร

*** หมายเหตุ อ้างอิงจากขนาดตู้มาตรฐานสำหรับรถกระบะตอนเดียว ขนาดที่ใช้ ความยาวภายในตู้: 2.20 เมตร x ความกว้างภายในตู้: 1.55 เมตร x ความสูงภายในตู้: 1.80 เมตร ***

• เหมาะสำหรับค้าขาย: เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับรถส่งผัก, ผลไม้, หรือรถขายของตลาดนัด

น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): โดยทั่วไปรถที่ติดตั้งหลังคาลักษณะนี้จะมีการเสริมแหนบเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น สามารถบรรทุกได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. หลังคาอลูมิเนียม	หลังคาทรงสูง พร้อมประตูท้าย	25,000 - 35,000 บาท
2. การเสริมช่วงล่าง	มีการเสริมแหนบเพื่อรองรับน้ำหนัก (เป็นการดัดแปลงมาตรฐาน)	5,000 - 8,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		30,000 - 43,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13 - 16 กม./ลิตร (เมื่อวิ่งตัวเปล่า) และถ้าบรรทุกเต็มพิกัด อัตราสิ้นเปลืองจะลดลงมาอยู่ที่ ประมาณ 9-11 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็ว, สภาพการขับขี่, และน้ำหนักบรรทุกจริง ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2016): Toyota Hilux Revo 2.4 J Single Cab MT ราคา 559,000 บาท

สำหรับ Toyota HILUX REVO 2.4 J ปี 2016 พร้อมหลังคาอลูมิเนียม คันนี้ ในราคา 299,000 บาท ถือเป็น "รถทำกินสุดคุ้มค่า ที่พร้อมลุยตลาดทันที"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 299,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 559,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลง (ประเมินขั้นต่ำ): 30,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~589,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 290,000 บาท หรือลดลงกว่า 49%!

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ MZR, 1.5 ลิตร (1,498 ซีซี) DOHC
• กำลังสูงสุด: 103 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ 4 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า

การขับขี่ที่สนุกที่สุดในคลาส:

นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Mazda 2 ด้วยช่วงล่างที่หนึบแน่น, การตอบสนองของพวงมาลัยที่เฉียบคม, และโครงสร้างตัวถังที่มั่นคง ทำให้เป็นรถ B-Segment ที่ให้ความสนุกและความมั่นใจในการขับขี่สูงที่สุดในยุคนั้น

• โครงสร้างตัวถังและแชสซีส์ที่แข็งแรง: ตัวถังถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่
• ระบบช่วงล่างที่ตอบสนองได้ดี: ด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut และด้านหลังแบบ Torsion Beam ที่ได้รับการปรับจูนมาเป็นอย่างดี

ความน่าเชื่อถือและความทนทาน:

เป็นรถที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน, ไม่จุกจิก, และมีค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูงนัก

• เครื่องยนต์ที่ทนทาน: เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส MZR เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องความทนทานและจุกจิกน้อย
• เกียร์อัตโนมัติแบบทอร์กคอนเวอร์เตอร์: เป็นระบบที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและเชื่อถือได้สูง
• ค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล: อะไหล่สำหรับ Mazda 2 รุ่นนี้ยังคงมีให้เลือกทั้งอะไหล่แท้และอะไหล่เทียบคุณภาพดีในท้องตลาด

ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์:

มีการออกแบบที่ดูสปอร์ตและปราดเปรียว แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

ความคุ้มค่าของรุ่น Limited Edition:

เป็นรุ่นพิเศษที่นำรุ่น Groove (รุ่นกลาง) มาเพิ่มออปชันที่จำเป็นในราคาที่คุ้มค่ามาก

"Limited Edition" เป็นชื่อรุ่นพิเศษที่เพิ่มออปชันจากรุ่นปกติ

คุณสมบัติ	Groove (พื้นฐาน)	Limited Edition (รุ่นนี้)	Maxx (รุ่นท็อป)
ราคาเปิดตัว	~615,000 บาท	~635,000 บาท	~675,000 บาท
เบาะนั่ง	เบาะผ้า	เบาะหนัง	เบาะหนัง
เครื่องเสียง	วิทยุ CD/MP3	วิทยุ CD/MP3 พร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย	วิทยุ CD/MP3 พร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย
ถุงลมนิรภัย	1 ใบ (คนขับ)	2 ใบ (คู่หน้า)	2 ใบ (คู่หน้า)
ไฟตัดหมอกหน้า	ไม่มี	มี	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้น	คุ้มค่าที่สุด, ได้ออปชันครบ	หรูหราที่สุด

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 15 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2013): 635,000 บาท

สำหรับ Mazda 2 1.5 Elegance Limited Edition ปี 2013 คันนี้ ในราคา 239,000 บาท ถือเป็น "รถยนต์ B-Segment ที่ขับสนุกและคุ้มค่ามาก"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 239,000 บาท
• ราคาเปิดตัว: 635,000 บาท
• ส่วนต่าง: ประหยัดจากรถใหม่ป้ายแดงไปถึง 396,000 บาท หรือลดลงกว่า 62%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ YD25DDTi, 2.5 ลิตร (2,488 ซีซี) Commonrail
• กำลังสูงสุด: 144 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 356 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลังยกสูง (Calibre)

แชสซีส์ "โมโนเฟรม" ที่แข็งแกร่งที่สุด:

Navara มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องความแข็งแกร่งของโครงสร้างแชสซีส์แบบชิ้นเดียวตลอดคัน ทำให้มีความทนทานสูงมาก เหมาะสำหรับการบรรทุกหนักและใช้งานในสภาพถนนที่ทุรกันดาร

• ความแข็งแกร่งและทนทานสูง: โครงสร้างแบบกล่องตลอดแนว (Fully Boxed Ladder Frame) ทำให้สามารถรองรับงานบรรทุกหนักได้อย่างมั่นใจ
• สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม: ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งและสมดุล ทำให้รถมีการทรงตัวที่ดีทั้งในทางตรงและขณะเข้าโค้ง

เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ทรงพลัง:

ให้แรงบิดสูงถึง 356 นิวตัน-เมตร ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น ทำให้มีพละกำลังในการบรรทุกและเร่งแซงที่ดีเยี่ยม

• พละกำลังและแรงบิดที่ยอดเยี่ยม: แรงบิดมหาศาลที่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้รถออกตัวได้อย่างรวดเร็ว
• ความทนทานที่เชื่อถือได้: เครื่องยนต์รหัส YD25DDTi เป็นเครื่องยนต์ที่ Nissan พัฒนาและใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้ความทนทานได้รับการพิสูจน์แล้ว

ห้องโดยสารที่กว้างขวาง:

เป็นรถกระบะที่มีขนาดห้องโดยสารใหญ่และกว้างขวาง นั่งสบาย

• พื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า: จุดเด่นของรุ่น KING CAB คือมีพื้นที่ด้านหลังเบาะนั่งคู่หน้า ซึ่งสามารถใช้เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ได้
• การออกแบบที่เน้นการใช้งาน: แผงคอนโซลกลางได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายและลงตัว

คุณสมบัติ	SE	SV (รุ่นนี้)
ราคาเปิดตัว	~6xx,xxx บาท	~7xx,xxx บาท
ล้ออัลลอย	16 นิ้ว	16 นิ้ว
ไฟตัดหมอกหน้า	ไม่มี	มี
เครื่องเสียง	วิทยุ CD/MP3	เครื่องเล่น DVD พร้อมจอสัมผัส
กล้องมองหลัง	ไม่มี	มี
จุดเด่น	คุ้มค่า, เน้นใช้งาน	หล่อที่สุด, ออปชันเต็มที่สุด

ข้อดีของรุ่น SV: เป็นรุ่น "ท็อปสุด" ของ King Cab Calibre ที่ให้ออปชันมาครบครันที่สุด ทั้งเครื่องเล่น DVD พร้อมจอสัมผัสและกล้องมองหลัง ซึ่งให้ความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เหนือกว่ารุ่นปกติ

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 11 - 13 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2012): ประมาณ 700,000 - 750,000 บาท

สำหรับ Nissan Frontier Navara 2.5 King Cab SV Calibre ปี 2012 คันนี้ ในราคา 249,000 บาท ถือเป็น "รถกระบะพันธุ์แกร่ง ออปชันครบ ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 249,000 บาท
• ราคาเปิดตัว: ~750,000 บาท
• ส่วนต่าง: ประหยัดจากรถใหม่ป้ายแดงไปถึง 501,000 บาท หรือลดลงกว่า 66%!