รถมือสอง กระบะราคาไม่เกิน 3 แสน

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ RZ4E-TC, 1.9 ลิตร (1,898 ซีซี) Ddi Blue Power
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,600 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

• เครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power: ขึ้นชื่อเรื่องความ "ประหยัดน้ำมัน" เป็นเลิศ แต่ยังคงให้กำลังและแรงบิดที่เพียงพอสำหรับการบรรทุก ทำให้มีต้นทุนการขนส่งต่อเที่ยวที่ต่ำ
• ความทนทานและไว้ใจได้: Isuzu เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในด้านความทนทานของเครื่องยนต์และโครงสร้างแชสซีส์ เหมาะกับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: เป็นรถตลาดที่หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นแบรนด์ที่ตลาดมือสองมีความต้องการสูง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว

คุณสมบัติ	SPARK 1.9 Ddi B (รุ่นที่คุณสนใจ)	SPARK 1.9 Ddi S
ราคาเปิดตัว	~528,000 บาท	~553,000 บาท
กันชนหน้า	สีดำ (วัสดุดิบ)	สีเดียวกับตัวรถ
เครื่องเสียง	ไม่มี (เป็นช่องว่าง)	มี วิทยุ CD/MP3
กระจกไฟฟ้า	ไม่มี (มือหมุน)	มี
เซ็นทรัลล็อก	ไม่มี	มี
จุดเด่น	ราคาเริ่มต้นต่ำสุด, เหมาะกับการดัดแปลง	ได้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบจากโรงงาน

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. หลังคาอลูมิเนียม	หลังคาทรงสูง 2.10 เมตร พร้อมประตูท้าย	25,000 - 35,000 บาท
2. การเสริมช่วงล่าง	มีการเสริมแหนบเพื่อรองรับน้ำหนัก (เป็นการดัดแปลงมาตรฐาน)	5,000 - 8,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		30,000 - 43,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลือง: เฉลี่ยประมาณ 15 - 18 กม./ลิตร (เมื่อวิ่งตัวเปล่า) และถ้าบรรทุกเต็มพิกัด คาดการณ์ว่าอัตราสิ้นเปลืองจะลดลงมาอยู่ที่ ประมาณ 8-10 กม./ลิตร

*** หมายเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่, สภาพการจราจร, และน้ำหนักบรรทุกจริง ***

• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2018): Isuzu D-MAX Spark 1.9 B MT ราคาประมาณ 528,000 บาท

สำหรับ Isuzu D-MAX 1.9 SPARK B ปี 2018 พร้อมหลังคาอลูมิเนียม คันนี้ ในราคา 279,000 บาท ถือเป็น "รถทำกินสุดคุ้มค่า ที่พร้อมลุยตลาดทันที"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 279,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 528,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลงพร้อมใช้งาน (ประเมินขั้นต่ำ): 30,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~558,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 279,000 บาท หรือลดลง 50% พอดี!

• ความคล่องตัวสูงสุด: ด้วยขนาดตัวถังที่กระทัดรัดและวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.4 เมตร ทำให้เป็นรถที่คล่องตัวที่สุด สามารถเข้า-ออกซอยแคบ, หาที่จอด, หรือตั้งร้านในพื้นที่จำกัดได้อย่างง่ายดาย
• กระบะท้ายเรียบ เปิดได้ 3 ด้าน: กระบะพื้นเรียบที่ไม่มีซุ้มล้อ ทำให้สามารถจัดวางของหรืออุปกรณ์ค้าขายได้อย่างเต็มพื้นที่ และการที่ฝาท้ายเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน ก็เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าอย่างมาก
• ทนทานและดูแลรักษาง่าย: ใช้เครื่องยนต์และระบบพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน, ไม่จุกจิก, และมีค่าบำรุงรักษาที่ "ถูก" ที่สุดในกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์
• เหมาะกับการติดตั้งแก๊ส: ด้วยความเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ทำให้สามารถนำไปติดตั้งระบบแก๊ส LPG/CNG ได้ง่าย เพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิงในการดำเนินธุรกิจ

Suzuki Carry มีจำหน่ายเพียงรุ่นย่อยเดียว ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ

คุณสมบัติ	Carry 1.5 MT (รุ่นที่คุณสนใจ)
ราคาเปิดตัว	~385,000 บาท
เครื่องยนต์	เบนซิน 1.5L (97 PS)
เกียร์	ธรรมดา 5 จังหวะ
จุดเด่น	คล่องตัว, กระบะเรียบเปิด 3 ด้าน, ทนทาน, คุ้มค่า

• สเปคตู้บรรทุก: เป็น "หลังคาอลูมิเนียมทรงสูง แบบเปิดได้ 3 ด้าน" ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมที่สุดสำหรับการทำเป็น "ร้านค้าเคลื่อนที่" หรือ "Food Truck"
• ข้อดีของตู้บรรทุก:
  • ความยืดหยุ่นสูงสุด: การที่สามารถเปิดด้านข้างได้ทั้ง 2 ฝั่งและด้านหลัง ทำให้สามารถจัดแสดงสินค้า, ตั้งเคาน์เตอร์, และบริการลูกค้าได้อย่างสะดวกสบายรอบทิศทาง
  • น้ำหนักเบา: หลังคาอลูมิเนียมมีน้ำหนักเบา ไม่เพิ่มภาระให้ตัวรถมากนัก
  • เหมาะสำหรับธุรกิจเคลื่อนที่: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขายอาหาร, เครื่องดื่ม, เสื้อผ้า, หรือบริการต่างๆ
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): Suzuki Carry ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 945 กิโลกรัม (ตามสเปคโรงงาน)

รายการดัดแปลง/อัปเกรด	รายละเอียด	มูลค่าประเมิน (เมื่อทำใหม่)
1. หลังคาอลูมิเนียม	หลังคาทรงสูง เปิดได้ 3 ด้าน พร้อมโครงสร้าง	30,000 - 45,000 บาท
รวมมูลค่าของแต่งโดยประมาณ		30,000 - 45,000 บาท

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 15 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2020): 385,000 บาท

สำหรับ Suzuki Carry 1.5 ปี 2020 พร้อมหลังคาอลูมิเนียมเปิด 3 ด้าน คันนี้ ในราคา 269,000 บาท ถือเป็น "ชุดเริ่มต้นธุรกิจ Food Truck ที่คุ้มค่าและพร้อมใช้งานที่สุด"

วิเคราะห์ความคุ้มค่า:

• ราคาขาย: 269,000 บาท
• ราคาเปิดตัวรถใหม่: 385,000 บาท
• บวก ค่าดัดแปลงหลังคา (ประเมินขั้นต่ำ): 30,000 บาท
• ต้นทุนรวมหากทำเองจากรถใหม่: ~415,000 บาท

สรุป: ประหยัดจากต้นทุนการทำรถใหม่ไปถึง 146,000 บาท หรือลดลงกว่า 35%!

• เครื่องยนต์: ดีเซล 2.5 ลิตร VGS Turbo 163 แรงม้า แรงบิดสูง 403 นิวตันเมตร
• เกียร์: อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล นุ่มนวลและตอบสนองดีเยี่ยม
• โครงสร้าง: แชสซีส์เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully-Boxed Frame) แข็งแกร่งที่สุดในคลาส
• ตัวถัง: King Cab Calibre (แค็บเปิดได้, ยกสูง) ลุยได้ทุกสถานการณ์
• รุ่นย่อย: V มาพร้อมออปชันครบครัน ทั้ง Push Start, จอสัมผัส และกล้องมองหลัง

แกร่งจริงด้วยแชสซีส์ Fully-Boxed

นี่คือเอกลักษณ์ที่ทำให้ Navara แตกต่างจากคู่แข่ง โครงสร้างแชสซีส์แบบปิดเต็มเส้นเหมือนกล่องเหล็ก ให้ความแข็งแกร่งทนทานต่อการบิดตัวได้ดีเยี่ยม ทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูงเมื่อต้องบรรทุกหนักหรือขับขี่บนเส้นทางทุรกันดาร

---

ขับสบายด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

ในขณะที่รถกระบะส่วนใหญ่ในยุคนั้นยังใช้เกียร์ 5 หรือ 6 สปีด Navara ได้มอบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่มีอัตราทดชิดกว่า ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล ราบรื่น และยังช่วยประหยัดน้ำมันในการเดินทางไกลได้ดีขึ้น

---

ออปชันครบครันในรุ่น V

คันนี้เป็นรุ่น V ที่ให้ความสะดวกสบายเทียบเท่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ปุ่ม Push Start, ระบบกุญแจอัจฉริยะ (Intelligent Key), หน้าจอสัมผัสพร้อมกล้องมองหลัง, และ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และเกียร์ 7 สปีด ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 - 14 กม./ลิตร

Nissan Navara Calibre V คันนี้คือ "รถกระบะอเนกประสงค์" ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคันหนึ่งในตลาดมือสอง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถที่แข็งแกร่งทนทานเพื่องานบรรทุก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการความสะดวกสบายและออปชันที่ครบครันสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

การได้เป็นเจ้าของรถกระบะยกสูง เกียร์อัตโนมัติ รุ่นท็อป ที่มีโครงสร้างแข็งแกร่งที่สุดในคลาส ในราคาเพียงสามแสนกว่าบาท ถือเป็นความคุ้มค่าอย่างมหาศาล นี่คือรถที่พร้อมจะเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ และรถคู่ใจของครอบครัวในทุกการเดินทางครับ