รถมือสอง ผ่อนไม่เกิน 9000 บาท

Isuzu D-MAX 1.9 SPACE CAB L DA (2022)

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ RZ4E-TC, 1.9 ลิตร Ddi Blue Power
• กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด: 350 นิวตัน-เมตร
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 จังหวะ
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง

2. จุดเด่นและข้อดีของ Isuzu D-MAX

• ความประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ: เครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power คือมาตรฐานของวงการในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำ
• ความททนทานและไว้ใจได้: Isuzu เป็นแบรนด์ที่ผู้ประกอบการไว้วางใจในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และแชสซีส์
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: เป็นรถตลาดที่หาอะไหล่ง่าย มีราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการครอบคลุม
• ราคาขายต่อดีที่สุดในตลาด: เป็นแบรนด์ที่ตลาดมือสองมีความต้องการสูง ทำให้มูลค่าของรถไม่ตกลงเร็ว
  

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (D-MAX Space Cab ณ ปี 2022)

ข้อดีของรุ่น L DA: เป็นรุ่นที่ "คุ้มค่าที่สุด" เพราะได้ออปชันที่จำเป็นและทันสมัยมาครบถ้วน ทั้งไฟหน้า Bi-Beam LED, ล้ออัลลอย, และที่สำคัญคือหน้าจอสัมผัสพร้อมกล้องมองหลัง

4. วิเคราะห์ตู้บรรทุก (หลังคา Cityboy)

• สเปค: หลังคาไฟเบอร์คุณภาพสูงจากแบรนด์ Cityboy มีดีไซน์เข้ารูปกับตัวรถ พร้อมกระจกบานสไลด์ด้านข้าง
• ข้อดี: ช่วยป้องกันสัมภาระจากแดด, ฝน, และฝุ่นละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความปลอดภัยจากการถูกลักขโมย
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): เหมาะกับการบรรทุกที่ไม่เกิน 800 - 1,200 กิโลกรัม

5. ตารางการประเมินมูลค่าของแต่ง/ของที่อัปเกรด

6. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 16 - 18 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดยอดเยี่ยม
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2022): 698,000 บาท

สี : ขาว

Toyota HIACE 3.0 Economy Van (2016)

Toyota HiAce รุ่นนี้คือรถตู้เพื่อการพาณิชย์อย่างแท้จริง ถูกออกแบบมาเพื่อความทนทาน, บรรทุกได้เยอะ และมีต้นทุนการดูแลรักษาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นรถที่ "เกิดมาเพื่อทำงาน" โดยเฉพาะ

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร D-4D Commonrail
• กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า (PS)
• แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ
• ประเภทตัวถัง: Panel Van (ตู้ทึบ) จากโรงงาน
• พื้นที่บรรทุก:
  • ปริมาตร: ประมาณ 6.0 ลูกบาศก์เมตร
  • น้ำหนักบรรทุก: ประมาณ 1,155 กิโลกรัม
• ช่วงล่างหลัง: แหนบซ้อน (Leaf Spring) แข็งแกร่งทนทาน

2. จุดเด่นและข้อดีของ Toyota HIACE

• ความทนทานระดับตำนาน: เครื่องยนต์ 1KD-FTV ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องความทนทาน ไม่จุกจิก ดูแลรักษาง่าย อะไหล่มีทุกชิ้นและหาได้ทุกที่
• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ด้วยกลไกที่ไม่ซับซ้อนและอะไหล่ที่มีราคาถูก ทำให้ต้นทุนในการดูแลรักษารถคันนี้ต่ำมาก
• ราคาขายต่อดีเยี่ยม: เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีความต้องการในตลาดมือสองสูงที่สุด ทำให้ราคาขายต่อแข็งแกร่ง
• ขับขี่คล่องตัว: มีมิติตัวถังที่กระทัดรัดและวงเลี้ยวที่แคบกว่า ทำให้การขับขี่ในเมืองหรือซอยแคบทำได้คล่องตัว

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (HIACE ณ ปี 2016)

ข้อสังเกต: รถคันนี้มีลักษณะเป็น "รถตู้ทึบที่เจาะกระจก" ทำให้มีคุณสมบัติผสมผสาน คือได้พื้นที่บรรทุกแบบโล่งกว้าง แต่มีทัศนวิสัยด้านข้างที่ดีกว่ารถตู้ทึบปกติ

4. วิเคราะห์ตู้บรรทุก (พื้นที่ภายใน)

• สเปค: เป็นพื้นที่บรรทุกแบบ "ตอนเดียวโล่ง" ที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวถังรถโดยตรง มีพื้นที่กว้างขวาง ปูพื้นกันลื่นมาให้เรียบร้อย
• ข้อดีของการเจาะกระจก:
  • ความปลอดภัย: ยังคงให้พื้นที่ปิดทึบสำหรับป้องกันสินค้า
  • ทัศนวิสัยที่ดี: การมีกระจกด้านข้างช่วยลดมุมอับสายตา ทำให้การเปลี่ยนเลนหรือถอยจอดปลอดภัยกว่า
  • ความเป็นส่วนตัว: ภายนอกดูกลมกลืนเหมือนรถตู้โดยสาร ไม่เป็นที่สังเกตเท่ารถตู้ทึบแท้ๆ
• น้ำหนักบรรทุกสุทธิ (โดยประมาณ): สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยในช่วง 1.0 - 1.5 ตัน

5. ตารางการประเมินมูลค่าของแต่ง/ของที่อัปเกรด

6. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 11 - 13 กม./ลิตร
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2016): Toyota HIACE Economy Van (ตู้ทึบ) ราคา 939,000 บาท

Chevrolet Colorado 2.5 High Country 4x4 AT (MY2018)

นี่คือ Colorado โฉมปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมหน้าตาดุดันและสมรรถนะที่โดดเด่น รุ่น "High Country" คือรุ่นท็อปที่ให้ออปชันมาเต็มที่สุด อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์รถคันนี้คือการที่ "Chevrolet ได้ยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปแล้วตั้งแต่ปี 2020" ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาและความน่าใช้ในระยะยาว

สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ รหัส XLD25 2.5 ลิตร Duramax VGT
• ความจุ: 2,499 ซีซี
• กำลังสูงสุด: 180 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบต่อนาที
• แรงบิดสูงสุด: 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Manual Mode
• ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time (Shift-on-the-fly)

จุดเด่นและข้อดี (Highlights & Advantages)

"สมรรถนะเครื่องยนต์ Duramax VGT"

• คือจุดแข็งที่สุดของรถคันนี้ เครื่องยนต์ 2.5 Duramax ให้พละกำลังและแรงบิดที่สูงมากในรอบต่ำ ให้อัตราเร่งที่ดุดันและทรงพลัง ขับสนุกและมั่นใจในทุกสถานการณ์

"ออปชันและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่จัดเต็ม"

• ในปี 2018 High Country ถือเป็นรถกระบะที่ล้ำสมัยมาก มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร, และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท

"ดีไซน์และภายในสไตล์ Premium American"

• มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยกระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ และภายในตกแต่งด้วยเบาะหนังสีน้ำตาล ให้ความรู้สึกพรีเมียม
  

อัตราสิ้นเปลือง (Fuel Consumption)

• ใช้งานจริงโดยเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 10 - 13 กม./ลิตร (เป็นไปตามมาตรฐานของรถกระบะ 4x4 ที่ทรงพลัง)

ราคา (Price)

• ราคาเปิดตัว (ป้ายแดงปี 2018): 1,068,000 บาท

Toyota Hilux Revo 2.4 Entry "รถห้องเย็น" ปี 2021

นี่คือการนำรถกระบะตอนเดียวรุ่นพื้นฐานที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน มาดัดแปลงและติดตั้งตู้บรรทุกสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Refrigerated Box) จากผู้ผลิต "MPC COOL" สำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น อาหารสด, ยาและเวชภัณฑ์, หรือดอกไม้

สเปคเด่น (Key Specifications)

• ตัวรถพื้นฐาน: Toyota Hilux Revo 2.4 Entry Single Cab
• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ รหัส 2GD-FTV VN Turbo (150 แรงม้า, 343 นิวตันเมตร)
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์ธรรมดา
• แชสซีส์: SuperFrame แข็งแกร่ง พร้อมเสริมแหนบและใช้ล้อกระทะผ่าเพื่อรองรับน้ำหนัก
• น้ำหนักบรรทุกสูงสุด: ประมาณ 2,000 - 4,000 กิโลกรัม
• ระบบทำความเย็น:
  • ตู้ห้องเย็น: จาก MPC COOL ผนังหนาพิเศษ
  • โครงสร้างตู้ห้องเย็น:
    • ภายนอก: ไฟเบอร์กลาสสีขาวเรียบ, ประตูท้าย 2 บานพร้อมกลอนสเตนเลส
    • ภายใน: ผนังเป็นสแตนเลสพร้อมแถบกันกระแทก, พื้นเป็นสแตนเลสแบบ T-Bar Floor ช่วยให้ความเย็นไหลเวียนและป้องกันสินค้ารถ
  • คอมเพรสเซอร์: ติดตั้งที่เครื่องยนต์ (ใช้กำลังจากเครื่องยนต์โดยตรง)
  • ชุดคอยล์เย็น: แบบพัดลมคู่ ทำอุณหภูมิ 0 ถึง +10 องศาเซลเซียส (เหมาะสำหรับ ผัก, ผลไม้, นม, ยา)
  • ความสูงภายในตู้: 1.60 เมตร

จุดเด่นและข้อดี (Highlights & Advantages)

"รถพร้อมทำเงิน" สำหรับธุรกิจ Cold Chain

• ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการซื้อรถแล้วนำไปต่อตู้อีก (มูลค่าติดตั้งใหม่ 150,000 - 250,000 บาทขึ้นไป)
• จดทะเบียนถูกต้อง: รถ "จดทะเบียนเป็นตู้บรรทุกถูกต้อง" ทำให้สามารถนำรถไปวิ่งงานได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องกฎหมาย

พื้นฐานรถที่ "ทนทานและไว้ใจได้"

• ตัวรถ Toyota Revo ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และช่วงล่าง ทำให้เป็นพื้นฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับนำมาดัดแปลงเป็นรถใช้งานหนัก
• การบำรุงรักษาตัวรถทำได้ง่าย มีศูนย์บริการและอู่ซ่อมที่เชี่ยวชาญทั่วประเทศ

ความสมบูรณ์ของระบบทำความเย็น

• การใช้ชุดทำความเย็นจากแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่าง MPC COOL และมีพัดลมคู่ ช่วยให้มั่นใจได้ในประสิทธิภาพการทำความเย็น

การประเมินมูลค่าและราคา

• ราคารถใหม่พร้อมตู้: หากสร้างใหม่จะมีมูลค่ารวมสูงถึง 720,000 - 800,000 บาท
• ราคาที่ได้มา 479,000 บาท สำหรับรถปี 2021 ที่พร้อมใช้งาน ถือเป็นราคาที่ คุ้มค่าและน่าลงทุนอย่างยิ่ง

อัตราสิ้นเปลือง (Fuel Consumption)

• ตัวรถเปล่า: ประมาณ 14-16 กม./ลิตร
• เมื่อเปิดระบบทำความเย็นและบรรทุก: คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองจริงจะอยู่ที่ประมาณ 8 - 12 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ, น้ำหนักบรรทุก, และสภาพการจราจร)

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

เลขไมล์แท้ 7 หมื่นกว่าโล เช็คศูนย์ตลอด ตัวรถผลิตและจดทะเบียนปี 2008 แท้ๆ โฉม MINI COOPER R56 1.6 S รถแท้ออกศูนย์ มิลเลเนียม ไม่ใช่รถเกรย์ ไม่ใช่รถจดประกอบ สบายใจหายห่วง ประวัติดีมากๆ เซอร์วิสใหญ่หมดแล้ว แสนกว่าบาท บิลครบ เจ้าของดูแลดีมากๆ รถบ้านแท้ๆ เล่มทะเบียนพร้อมโอน

เครื่อง 1600 เบนซิน เทอร์โบ ออโต้ แรงและประหยัดน้ำมันมากๆ ขับสนุก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก

ชุดแต่งรอบคัน ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ PUSH START เครื่องเล่น CD,กระจกไฟฟ้า, เซ็นทรัลล็อค, พวงมาลัยพาวเวอร์, ABS, AIRBAG เบาะหนังแท้, ไฟตัดหมอก ล้อขอบ 17 ยางใหม่ 4 เส้น สภาพเดิมๆ ไม่เคยแต่ง

การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอนกับรถสภาพเหมือนใหม่ เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข

Mini Cooper 1.6 (R56) "S Look" ปี 2008

นี่คือ Mini Hatch เจเนอเรชันที่ 2 (R56) ที่ยังคงดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ แต่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น สิ่งสำคัญคือรถคันนี้คือรุ่น "Cooper" ที่ถูกตกแต่งให้มีหน้าตาเหมือนรุ่น "Cooper S" ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุด

สเปคเด่น (ของรุ่น Cooper พื้นฐาน)

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ รหัส N12 (พัฒนาร่วมกับ PSA)
• ความจุ: 1,598 ซีซี
• กำลังสูงสุด: 120 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบต่อนาที
• แรงบิดสูงสุด: 160 นิวตันเมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Steptronic
• ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อนล้อหน้า

จุดเด่นและข้อดี (Highlights & Advantages)

ได้ลุคสปอร์ต แต่สบายใจกว่า (Sporty Look with More Peace of Mind)

• คือข้อดีที่สุดของรถคันนี้ คุณได้รูปลักษณ์ที่ดุดันเหมือนรุ่น Cooper S แต่ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร "ไม่มีเทอร์โบ" (รหัส N12) ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีปัญหาน้อยกว่าและทนทานกว่าเครื่องยนต์ 1.6 เทอร์โบ (N14) ในรุ่น Cooper S อย่างชัดเจน

ดีไซน์ที่เป็นอมตะ (Timeless Iconic Design)

• ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ดีไซน์ของ Mini R56 ยังคงดูคลาสสิก ทันสมัย และโดดเด่นอยู่เสมอ

การขับขี่สไตล์โกคาร์ท (Go-Kart Feeling)

• พวงมาลัยที่เฉียบคม การตอบสนองที่ฉับไว และช่วงล่างที่หนึบแน่น ทำให้ทุกการเข้าโค้งเต็มไปด้วยความสนุกสนานและมั่นใจ

ความคล่องตัวในเมือง

• ด้วยขนาดที่กะทัดรัด ทำให้การขับขี่ในเมือง, การหาที่จอด, หรือการซอกแซกในการจราจรทำได้อย่างคล่องแคล่ว

หัวใจสำคัญ: การเป็นรถ "S Look"

คำว่า "S Look" หมายความว่ารถคันนี้คือรุ่น Cooper ที่เจ้าของเดิมได้ทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายนอกให้เหมือนกับรุ่น Cooper S ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วย:

• ฝากระโปรงหน้า: เปลี่ยนเป็นแบบที่มี "สกู๊ป" ดักลมตรงกลาง (ซึ่งเป็นเพียงช่องหลอก)
• กันชนหน้า-หลัง: เปลี่ยนเป็นดีไซน์ของรุ่น Cooper S ที่ดูสปอร์ตกว่า
• ท่อไอเสีย: อาจมีการเปลี่ยนเป็นแบบท่อคู่ออกกลาง

ข้อดีคือ: สวยเหมือนตัวท็อป แต่บำรุงรักษาง่ายและประหยัดกว่า

อัตราสิ้นเปลือง (Fuel Consumption)

• ใช้งานจริงโดยเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 12 - 14 กิโลเมตร/ลิตร

ราคา (Price)

• ราคาเปิดตัว (ป้ายแดงปี 2008): ประมาณ 2,200,000 บาท

Toyota CAMRY 2.0 G Sedan ปี 2017

นี่คือรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ (D-Segment) ที่เป็น "รุ่นมาตรฐานยอดนิยม" ของโฉมไมเนอร์เชนจ์ มาพร้อมกับเครื่องยนต์และเกียร์ลูกใหม่ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง โดยเกรด "G" จะเน้นการตกแต่งที่ให้ความรู้สึกสบายตา หรูหรา เหมาะสำหรับผู้บริหารและผู้ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก

สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ รหัส 6AR-FSE VVT-iW
• ระบบจ่ายน้ำมัน: D-4S (หัวฉีดคู่ Direct & Port Injection)
• ความจุ: 1,998 ซีซี
• กำลังสูงสุด: 167 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที
• แรงบิดสูงสุด: 199 นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แบบ Sequential Shift
• รองรับน้ำมัน: E20

จุดเด่นและข้อดี (Highlights & Advantages)

เทคโนโลยีเครื่องยนต์และเกียร์ที่ทันสมัย

• เครื่องยนต์ D-4S และเกียร์ 6 สปีด ให้อัตราเร่งที่ดี ขับสนุก มีความนุ่มนวลต่อเนื่อง และประหยัดน้ำมันกว่าคู่แข่งหลายรุ่นในยุคนั้น

ความสบายและความหรูหราในแบบฉบับ "G"

• ภายในสีเบจ: ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย และหรูหรา ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่และกลุ่มครอบครัว
• ความนุ่มนวลและความเงียบ: ช่วงล่างถูกเซ็ตมาเพื่อความสบายสูงสุด สามารถซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยมและห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดี

ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษาต่ำ

• "Camry ก็คือ Camry" สบายใจได้เต็มร้อยในเรื่องความทนทาน ไม่จุกจิก ค่าอะไหล่และค่าบริการสมเหตุสมผล

ภาพลักษณ์ภูมิฐานและดูเป็นผู้ใหญ่

• การไม่มีชุดแต่งสปอร์ต ทำให้รุ่น G มีภาพลักษณ์ที่ดูสุขุม ภูมิฐาน และเป็นทางการมากกว่า

เปรียบเทียบความแตกต่างของรุ่นย่อย (ปี 2017)

• 2.0 E: รุ่นเริ่มต้นสุด ออปชันน้อยที่สุด
• 2.0 G (รุ่นที่คุณสนใจ):
  • ตำแหน่ง: รุ่นมาตรฐานที่ให้ความคุ้มค่าและออปชันครบครันที่สุดสำหรับเครื่อง 2.0 ลิตร
  • ออปชันสำคัญ: เบาะหนัง, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า, Cruise Control, ม่านหลังไฟฟ้า, แท่นชาร์จไร้สาย
• 2.0 G Extremo: คือรุ่น 2.0 G ที่นำไปใส่ชุดแต่งสปอร์ตและเปลี่ยนภายในเป็นสีดำ เหมาะสำหรับคนชอบความโฉบเฉี่ยว
• 2.5 G / Hybrid: รุ่นที่สูงขึ้นไป ได้เครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้นหรือเทคโนโลยีไฮบริด พร้อมออปชันที่ซับซ้อนกว่า

อัตราสิ้นเปลือง (Fuel Consumption)

• ใช้งานจริงโดยเฉลี่ย: 12 - 14 กม./ลิตร
• นอกเมือง/ทางไกล: สามารถทำได้ถึง 15 - 17 กม./ลิตร

ราคา (Price)

• ราคาเปิดตัว (ป้ายแดงปี 2017): 1,399,000 บาท

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

รถมือเดียวออกห้างป้ายแดง ไมล์แท้ 6 หมื่นโล จดทะเบียนปี 2008 โฉม MINI ONE R 56 รถแท้ออกศูนย์ มิลเลเนียม ไม่ใช่รถเกรย์ ไม่ใช่รถจดประกอบ สบายใจหายห่วง ประวัติดีมากๆ แต่งหล่อๆ

เครื่องเบนซิน ออโต้ ประหยัดน้ำมันมากๆ ขับสนุก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก

แต่งหล่อๆ ล้อ JCW ของแท้ ขอบ 17 PUSH START เครื่องเล่น CD,กระจกไฟฟ้า, เซ็นทรัลล็อค, พวงมาลัยพาวเวอร์, ABS, AIRBAG เบาะหนังแท้, ไฟตัดหมอก

การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอนกับรถสภาพเหมือนใหม่ เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข

Mini One 1.4 (2008) R56 Hatchback: แฮทช์แบ็กไอคอนิกที่ประหยัด (รุ่นเริ่มต้น)

Mini One (รหัสตัวถัง R56) คือเจเนอเรชันที่ 2 ของ Mini ยุคใหม่ (ภายใต้การดูแลของ BMW) ซึ่งเปิดตัวในปี 2006 โดยยังคงรักษารูปแบบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และเอกลักษณ์การขับขี่แบบ Go-Kart Feeling ที่โดดเด่น สำหรับรุ่นปี 2008 นี้เป็นช่วงที่ R56 ได้รับความนิยม โดยรุ่น One เป็นรุ่นเริ่มต้นที่เน้นความประหยัดและราคาที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในตระกูล Mini

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Mini One 1.4 2008 R56 Hatchback):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร (Prince Engine - พัฒนาร่วมกับ PSA/Citroën):

   • ขนาด: 1,397 ซีซี (1.4 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว

   • กำลังสูงสุด: 95 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 140 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ (6-speed Automatic Transmission) หรือ ธรรมดา 6 จังหวะ

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมือง เน้นความประหยัดน้ำมัน เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและราบรื่น

   • อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 13-15 กม./ลิตร (จากการใช้งานจริง ถือว่าประหยัดน้ำมันสำหรับรถยุโรป)

2. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่เป็นเอกลักษณ์:

   • ภายนอก: รูปทรง Hatchback 3 ประตูที่เป็นไอคอนิกของ Mini ไฟหน้าทรงกลม กระจังหน้าแบบดั้งเดิม และเส้นสายที่คุ้นเคย

   • ภายใน: ดีไซน์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยมาตรวัดความเร็วทรงกลมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง (Central Instrument Display) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Mini, เบาะนั่ง, และสวิตช์แบบ Toggle Switch ที่แผงคอนโซล

3. การขับขี่สไตล์ Go-Kart Feeling:

   • แม้กำลังจะไม่สูงมาก แต่ Mini One ยังคงให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่คล่องตัว พวงมาลัยตอบสนองฉับไว และการเข้าโค้งที่สนุกสนานตามเอกลักษณ์ของ Mini

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก:

   • ระบบปรับอากาศ

   • ระบบเครื่องเสียง CD/MP3

   • ปุ่ม Push Start

   • (อาจมีล้ออัลลอยในบางรุ่นย่อยย่อย)

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า

• ระบบเบรก ABS/EBD/BA

ในปี 2008 Mini Cooper R56 มีรุ่นย่อยหลักๆ คือ:

• One 1.4 AT (รุ่นเริ่มต้น)

• Cooper 1.6 AT (เครื่องยนต์ 1.6L / 120 แรงม้า)

• Cooper S 1.6 Turbo AT (เครื่องยนต์ 1.6L Turbo / 175 แรงม้า)

สรุปจุดขายหลักของ Mini One 1.4 (2008) R56 Hatchback:

• "Eco Car สไตล์ Mini ไอคอนิกที่ประหยัด": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ขนาดเล็กที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใคร ขับขี่สนุก และเน้นความประหยัดน้ำมัน ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด

• ดีไซน์ Mini: เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน

• ประหยัดน้ำมัน: อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประมาณ 13-15 กม./ลิตร

• ขับขี่แบบ Go-Kart Feeling: คล่องตัว พวงมาลัยคม ขับสนุก (ในแบบฉบับ Mini)

โดยรวมแล้ว Mini One 1.4 (2008) R56 Hatchback ในราคา 459,000 บาท เป็นรถยนต์มือสองที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ และขับขี่สนุก

Toyota C-HR 1.8 (2018) Entry SUV: Crossover ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์และขับสนุก (รุ่นเริ่มต้น)

Toyota C-HR (Compact High Rider) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงต้นปี 2018 โดยเป็นรถยนต์ Crossover SUV ที่สร้างกระแสความนิยมด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ล้ำยุค ไม่เหมือนใคร พร้อมการขับขี่ที่สนุกสนานบนแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) สำหรับรุ่นปี 2018 นี้เป็นช่วงแรกของการทำตลาด และรุ่น 1.8 Entry ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ที่เน้นความคุ้มค่าและให้หัวใจหลักของ C-HR ครบถ้วน

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota C-HR 1.8 2018 Entry SUV):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FBE 1.8 ลิตร Dual VVT-i:

   • ขนาด: 1,798 ซีซี (1.8 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i

   • กำลังสูงสุด: 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 177 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Dual VVT-i ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งในเมืองและเดินทางไกล การตอบสนองที่นุ่มนวลและราบรื่นของเกียร์ CVT-i ช่วยให้ขับขี่สบาย

   • อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 13-15 กม./ลิตร (จากการใช้งานจริง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและพฤติกรรมการขับขี่)

   • รองรับ E85: เป็นจุดเด่นที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง

2. แพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture):

   • เป็นจุดเด่นสำคัญของ C-HR ช่วยให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่

   • โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งขึ้น (High-tensile steel) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร

   • ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระ Double Wishbone เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและความนุ่มนวลในการโดยสาร

3. ดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยว ล้ำยุค และเป็นเอกลักษณ์:

   • ภายนอก: รูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยเส้นสายที่คมชัด ไฟหน้า Projector Lens แบบ Halogen (ในรุ่น Entry) มือจับประตูหลังแบบซ่อน

   • ภายใน: แผงคอนโซลดีไซน์ล้ำสมัย ใช้วัสดุคุณภาพดี (ในรุ่น Entry มักเป็นผ้า)

4. ห้องโดยสารที่กะทัดรัดแต่ใช้งานได้จริง:

   • แม้จะมีดีไซน์ภายนอกที่ดึงดูดสายตา แต่ห้องโดยสารตอนหลังอาจรู้สึกกว้างขวางน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น (เนื่องจากแนวหลังคาลาดเอียง) แต่ก็ยังนั่งได้สบายสำหรับผู้ใหญ่

   • พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถมีขนาดพอเหมาะ

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น Entry):

   • ระบบเครื่องเสียงวิทยุ CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB/AUX/Bluetooth

   • ระบบปรับอากาศ

   • กระจกไฟฟ้า

   • กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

• ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านถุงลม, หัวเข่าคนขับ)

• ระบบเบรก ABS/EBD/BA

• ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)

• ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control System)

• ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)

• กล้องมองหลัง: (ในรุ่น Entry)

ในปี 2018 Toyota C-HR 1.8L มีรุ่นย่อยหลักๆ คือ:

• 1.8 Entry 

• 1.8 Mid

• 1.8 Hybrid Entry

• 1.8 Hybrid Mid

• 1.8 Hybrid High

• 1.8 Hybrid High Premium

ข้อดีของ Toyota C-HR 1.8 (2018) Entry SUV เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ราคาเข้าถึงง่ายที่สุด:

   • เป็นรุ่นเริ่มต้นที่ประหยัดงบประมาณมากที่สุดในกลุ่ม C-HR ทำให้สามารถเป็นเจ้าของ Crossover ดีไซน์ล้ำยุคบนแพลตฟอร์ม TNGA ได้ในราคาที่คุ้มค่า

2. ดีไซน์ที่โดดเด่น:

   • แม้จะเป็นรุ่น Entry แต่ยังคงได้ดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ของ C-HR ครบถ้วน

3. ระบบความปลอดภัย 7 ถุงลมนิรภัย:

   • เป็นจุดเด่นสำคัญที่ Toyota ให้มาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อยของ C-HR รวมถึงรุ่น Entry ทำให้รถมีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้โดยสาร

4. ขับขี่สนุกบนแพลตฟอร์ม TNGA:

   • ได้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม TNGA และช่วงล่าง Double Wishbone ที่ทำให้รถขับขี่ได้มั่นคงและเกาะถนนดีเยี่ยม แม้เป็นรุ่นเริ่มต้น

สรุปจุดขายหลักของ Toyota C-HR 1.8 (2018) Entry SUV:

• "Crossover ดีไซน์ล้ำ ขับสนุก ปลอดภัย คุ้มค่า": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัด ที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใคร ขับขี่สนุก และมีระบบความปลอดภัยที่ดี ในราคาที่เข้าถึงได้

• ดีไซน์ที่โดดเด่น: รูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ล้ำยุค

• แพลตฟอร์ม TNGA: ขับขี่มั่นคง เกาะถนนดี

• 7 ถุงลมนิรภัย: ความปลอดภัยมาตรฐานสูง

• อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประมาณ 13-15 กม./ลิตร

โดยรวมแล้ว Toyota C-HR 1.8 (2018) Entry SUV ในราคา 479,000 บาท เป็นรถยนต์มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการ Crossover ที่มีสไตล์โดดเด่น ขับขี่ดี

Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van

รถ Toyota Hiace (H200) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Commuter" ในรุ่นผู้โดยสาร เป็นรถตู้ยอดนิยมในประเทศไทย ด้วยความทนทาน ใช้งานง่าย และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง สำหรับรุ่น 3.0 D4D Van ในปี 2018 ซึ่งเป็นรุ่นตู้ทึบที่นำมาดัดแปลง จะเป็นรถที่เน้นการบรรทุกและสามารถใช้งานเอนกประสงค์ได้

สเปกเด่นพื้นฐานของ (Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van):

• เครื่องยนต์:
  • เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo พร้อม Intercooler
  • ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที
  • แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ (เป็นที่นิยมในรุ่นตู้ทึบ)
• ระบบขับเคลื่อน: 2 ล้อหลัง (RWD)
• มิติและน้ำหนัก (ก่อนดัดแปลง):
  • ความยาว: 5,380 มม.
  • ความกว้าง: 1,880 มม.
  • ความสูง: 2,285 มม. (เหมาะสำหรับการบรรทุกสินค้าที่มีความสูง)
  • ระยะฐานล้อ: 3,110 มม.
  • น้ำหนักบรรทุกรวม (GVW): ประมาณ 3,200 - 3,300 กก. (สูงกว่ากระบะทั่วไป)
• ช่วงล่าง: ด้านหน้าทอร์ชันบาร์/ปีกนกคู่, ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับการบรรทุกหนัก
• ระบบเบรก: ดิสก์เบรกหน้า / ดรัมเบรกหลัง

จุดเด่นของ Toyota Hiace 3.0 D4D Van (ตู้ทึบ):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ที่ทรงพลังและทนทาน: เครื่องยนต์ 1KD เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความอึด ความทนทาน และกำลังที่เพียงพอต่อการบรรทุกหนัก หรือการขับขี่ในระยะทางไกล มีแรงบิดที่ดี ช่วยให้การออกตัวและการเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ แม้จะมีน้ำหนักบรรทุก
2. พื้นที่บรรทุกขนาดใหญ่: ด้วยรูปทรงของรถตู้ ทำให้มีปริมาตรการบรรทุกที่สูงกว่ากระบะตู้ทึบปกติ สามารถขนส่งสินค้าที่มีปริมาตรมากได้ดีเยี่ยม
3. ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษาต่ำ: Toyota Hiace เป็นรถยอดนิยมในเชิงพาณิชย์ จึงหาอะไหล่ได้ง่าย มีช่างที่เชี่ยวชาญจำนวนมาก และค่าบำรุงรักษาโดยรวมไม่แพง ทำให้ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
4. ราคาขายต่อดี: เป็นรถที่มีความต้องการในตลาดมือสองสูง ทำให้รักษามูลค่าได้ดี

การดัดแปลง: เจาะกระจก + เบาะ 1 แถว

การดัดแปลงนี้บ่งบอกถึงความต้องการใช้งานที่ผสมผสานกันระหว่างการบรรทุกและการโดยสารเล็กน้อย ซึ่งมีจุดเด่นดังนี้:

• เจาะกระจก:
  • ประโยชน์: ลดความรู้สึกอับทึบภายในห้องโดยสาร และอาจช่วยในเรื่องของแสงสว่างธรรมชาติภายในตู้
• เบาะ 1 แถว:
  • ประโยชน์: ทำให้สามารถขนส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมได้ (เช่น ลูกทีมงาน, ผู้ช่วยขนส่ง) นอกเหนือจากคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยยังคงเหลือพื้นที่บรรทุกสินค้าด้านท้ายจำนวนมาก

จุดขายหลักของ Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van ดัดแปลง:

1. "รถคู่ใจงานบรรทุก พร้อมความยืดหยุ่นสำหรับผู้ร่วมงาน": เป็นรถที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการรถสำหรับขนส่งสินค้าเป็นหลัก แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องขนส่งคนงานหรือผู้ช่วยไปพร้อมกันด้วยจำนวนหนึ่ง
2. ประสิทธิภาพการบรรทุกสูง: ด้วยเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรที่ทรงพลัง โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง และพื้นที่บรรทุกที่กว้างขวาง ทำให้สามารถขนสินค้าได้ปริมาณมากและหลากหลายประเภท
3. ความปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีขึ้น: การเจาะกระจกช่วยลดข้อจำกัดในการมองเห็นของรถตู้ทึบมาตรฐาน เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
4. ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน: ด้วยชื่อเสียงของ Toyota ในเรื่องความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง ทำให้รถคันนี้เป็น Asset ที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
5. ความอเนกประสงค์: เป็นการผสมผสานที่ดีระหว่างรถเพื่อการพาณิชย์และการใช้งานส่วนตัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมาก

สี : ขาว

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม