BYD Seagull เตรียมปรับราคาลงอีก 20,000 วางขายในปี 2024 ชาร์จ 1 ครั้งวิ่งได้ 405 กิโลเมตร

เตรียมวางขาย ภายกลางปีนี้ BYD Seagull 2024 ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 405 กิโลเมตร ภายในการชาร์จเพียงแค่ 1 รอบการชาร์ต

Hatchback ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นไปในทางคล่องตัวเป็นหลักซึ่งจะได้เห็นในงาน Motor Show 2024 ที่จะจัดขึ้นในเดือน มีนาคม เป็นที่แรกและเป็นรถรุ่นที่ 4 ของ BYD ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา

การออกแบบเน้นไปในกลุ่มของวัยรุ่นเป็นหลัก เน้นไปในกลุ่มของหนุ่มสาวโดยเฉพาะ ดูทันสมัยกระทัดรัดและคล่องแคล่ว โดยเส้นสายจะออกแบบให้มีเส้นสายคล้ายกับตัวรุ่นพี่อย่าง BYD Dolphin ตัวรถจะมาในรูปแบบตัวถังแบบ Hatchback 5 ประตู



ด้านหน้าจะเป็นกระจังหน้าแบบปิดทึบตามแบบรถไฟฟ้าแต่ก็ยังเสริมมิติกระจังหน้าด้วยลายกระจังหน้ารังผึ้งโดยมีโลโก้ BYD ด้านหน้าให้เห็นได้ชัดเจน พร้อมด้วยกระบังลมด้านหน้าที่เพิ่มมุมมองให้กว้างและชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ด้านข้าง จะเน้นเส้นสายที่ดูคล้ายกับรุ่นพี่อย่าง Dolphin มิติด้านท้ายดีไซน์ให้มีเหลี่ยมที่ดูชัดเจน มาพร้อกับชุดไฟท้ายที่พาดยาว เต็มพื้นที่กลางลำเสริมด้วยความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์หลังคาพร้อมชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ตำแหน่งกลาง

มิติตัวถังจะมีขนาดเล็กและมีความยาวเพียงแค่ 3780 มม. กว้าง 1715 มม. และสูง 1540 มม. ระยะฐานล้อ 2500 มม. ภายในห้องโดยสารจะมีลักษณะที่คล้ายกับตัว Dolphin แผงแดชบอร์ดติดตั้งที่มีมาตราวัดดิจิท้ลทรงเหลี่ยมขนาด 5 นิ้ว พร้อมด้วยจออินโฟนเทนเมนท์ที่วางลอยตัวอยู่ด้านหน้าพวงมาลัยมัติฟังก์ชั่นแบบท้ายตัวทรง D-Shape และมีระบบจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว

ด้านชุดอุปกรณ์ภายใน จะมีช่องเสียบ USB 4 จุดสามารถชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย และยังมีพร้อมกับระบบ NFC ที่ให้สมาร์ทโฟนนั้นมาใช้งานแทนกุญแจรถแบบดิจิทัลสามารถล๊อคและปลดล๊อกรถได้ และระบบกุญแจก็ยังเป็นแบบ Keyless Entry อีกด้วย

เจ้า Hatchback ขนาดจิ๋านี้จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม e-platform 3.0 ของ BYD มาในด้านพละกำลังที่วางจำหน่ายในประเทศจีนมาพร้อมกับมอเตอร์ขนาด 55 kW หรือให้กำลังถึง 75 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตรตัวรถจะถูกจำกัดความเร็วไว้เพียงแค่ 130 กม./ชม. เท่านั้น

ด้านชุดแบตเตอรี่จะเป็น โซเดียม-ไอออน มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ขนาด 30 kWh ทที่ชาร์จเต็มจะวิ่งได้ระยะทางราว ๆ 305 กม. (CLTC) และขนาด 38 kWh ชาร์ตเต็มวิ่งได้ไกลสุด 405 กม. (CLTC) โดยแบตทั้ง 2 ขนาด จะรองรับการชาร์จเร็วแบบ DC ที่สามารถชาร์จไฟจาก 10% – 80% ในเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น

สำหรับราคาของ BYD ที่กำลังจะมาจำหน่ายในประเทศไทย ราวๆประมาณ 395,000 บาท และจะมาจัดวางจำหน่ายในงาน Motor Show 2024 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 นี้

ผู้บริหาร Fisker นั่งไม่ติด เมื่อพบกับคำพูดของอินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้

“หรือนี่คือรถยนต์ยอดแย่ที่สุด เท่าที่ผมเคยรีวิวมา” เรียกว่าเป็นไวร่อลสะเทือนไปทั้งบริษัทรถยนต์ EV แห่งหนึ่งในสหรัสอเมริกา ซึ่งนักรีวิวอินฟูลเอนเซอร์คนนี้เป็นนักรีวิวสายเทคโนโลยีที่รู้จักกันไปทั่วโลกในนาม MKBHD ได้รับการรีวิวรถยนต์ของบริษัท Fisker พร้อมตั้งชื่อคลิปล่าสุดว่า “This is The Worst Car I’ve Ever Reviewed” หรือถ้าหากแปลเป็นไทยว่า “หรือนี่คือรถยนต์ยอดแย่ที่สุด เท่าที่ผมเคยรีวิวมา” จนกลายเป็นมหากาพย์บนโลกออนไลน์ทำให้ผู้บริหารของ Fisker ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว

ภายในคลิป VDO ที่ Marques Brownlee ได้รีวิวก็ได้ระบุถึงตัวรถยนต์ Fisker OCEAN SUV ที่มีความน่ากังวลหลายๆด้านส เช่น ซอฟต์แวร์ไฟเตือนต่างๆที่โชว์ขึ้นมาหลายๆครั้ง ปัญหาพื้นฐานอย่างหลังคาซันรูฟ รวมไปถึงระบบรีโมทกุญแจเองก็มีปัญหาเช่นกัน และก็ยังเจอกับปัญหาอีกยิบย่อยในการรีวิวของ Brownlee

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือ Brownlee ได้ต้องการที่จะรีวิวรถรุ่นนี้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องการรับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ แต่ทางผู้ผลิตก็ไม่ได้มีการดำเนินการส่งรถมาเพื่อทำการรีวิว และทิ้งเวลาไปนานจึงได้ทำการรับรถมาจากบริษัท J&S Mitsubishi เพื่อนำมาทำการรีวิวแทน และทางบริษัท Fisker ได้ทราบว่า Brownlee ได้นำรถมาจากแหล่งอื่นจึงทำให้ทางแบรนด์แจ้งเพื่อให้มีการอัพเด Software ให้เป็นเวอร์ชั่น 2.0 เสียก่อน แล้วจึงค่อยทำการรีวิว

VDO Form Youtube : @AutoFocus

และแน่นอนว่าทาง Brownlee ก็ได้ปฎิเสธกับทาง Fisker โดยให้เหตุผลว่ามันไม่ได้อยู่ในนโยบายของการรีวิวของตนที่จะต้องรอการอัพเดท Software ในอนาคตทั้งที่ตัวรถก็ได้วางจำหน่ายไปแล้วหลักจากที่ Brownlee ได้ทำการอัพโหลดคลิปก็ได้ทำยอดสวิวไปถึง 4.4 ล้านภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์

หลักจากนั้นไม่นาน จอร์ก ซาลิบา (George Saliba) ผู้จัดการทั่วไปของ J&S Mitsubishi ได้โพส VDO บนTiktok โดยกล่าวถึงบุคคลหนึ่งที่ตนเป็นวิศวะกรของ Fisker ว่ามีลูกค้าคนหนึ่งได้รถมาจากทาง J&S Mitsubishi ซึ่งตอนนั้นทางบริษัทได้กำลังพยายามติดต่อบราวน์ลี พร้อมถึงการรีวิวของเขานั้นทำให้ระดับผู้บริหารให้ความสนใจเป็นอย่างมากซึ่งตนเองก็ต้องการหาช่องทางการติดต่อบราวน์ลี

ซาลิบาอธิบายว่ารถที่ทางบราวน์ลีนำมารีวิวนั้นเป็นรถที่ยืมมารีวิวเท่านั้นและไม่ใช่ของบราวน์ลีเอง ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าเป็นวิศวะกรของทาง Fisker บอกว่าบริษัทพยายามที่จะติดต่อเพื่อที่จะอัพเดทให้ โดยระบุถึงการอัพเดทซอฟต์แวร์มันจะช่วยแห้ปัญหาในหลายๆส่วนแต่มันคงไม่ได้แก้ปัญหาทุกอ่ยางได้ภายในครั้งเดียว ก็ต้องมีการอัพเดทเพิ่มเติมแต่ทางด้านของบริษัท Fisker ก็มีการปฎิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับการรายงานดังกล่าว


อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

Apple เตรียมยุบโปรเจกต์รถยนต์ไฟฟ้า EV

Apple เตรียมยุบโปรเจกต์รถยนต์ไฟฟ้า EV

โดยโปรเจกต์รถยนต์ไฟฟ้าของ Apple ถูกเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 และก็เกิดความคาดหวังของใครหลายๆคนว่าจะออกมาแปลกใหม่กว่าแบรนด์อื่นๆ แต่ล่าสุดก็มีข่าวร้ายออกมา ว่าทาง Apple จะหยุดโปรเจกต์นี้ออกไป และนำทัพไปพัฒนาระบบ Ai ให้เสถียรมากยิ่งขึ้น

ซึ่ง Apple มีการทุ่มเงินไปกับโปรเจกต์นี้ถึงหลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าว่าจะเปิดตัว Apple Car ในปี 2028

เจฟฟ์ วิลเลี่ยมส์ (Jeff Williams) ประธานบริษัทเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการของทาง Apple ได้บอกกับพนักงานประมาณ 2,000 คนที่อยู่ในโครงการพัฒนา Apple Car โครงสร้างนี้จะถูกยกเลิก

หลังจากที่ยุบโครงการรถยนต์ไฟฟ้า Apple CAR พนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปยังแผนกปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบ Apple Ai แต่พนักงานบางส่วนฝ่ายฮาร์ดแวร์และดีไซน์จะถูกเลย์ออฟหรือสามารถเลือกไปทำงานในแผนกอื่นๆ ได้

เมื่อช่วงวต้นปีที่ผ่านมา Apple ได้ลดขนาดของโปรเจกต์ลงจากรถยนต์ไร้คนขับมาอยู่ในระกับรถไฟฟ้า EV ที่น่าจะทักเทียมได้ Tesla และมีข่าวว่าเตรียมเปิดตัวในปี 2026

ซึ่งข่าวลือเรื่อง Apple Car เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2014 แต่ก็ประสบปัญหาในหลายๆด้านมาโดยตลอดการมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าควบคุมงานอยู่บ่อยครั้ง และหลังจากนี้เราจะไม่ได้เห็น Apple Car ออกมาแล้วอาจจะได้เห็นแค่ Apple จะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์เพียงอย่างเดียว

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

เตรียมวางจำหน่าย ZEEKR X 2024 วิ่งได้ไกล 560 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า EV 100% เวอร์ชั่นปรับปรุงรุ่นใหม่ในปี 2024 หลังจากเปิดตัวแรงมาได้ประมาณ 9 เดือน โดยในเวอร์ชั่นใหม่นี้จะเหลือเพียงแค่ 2 รุ่นย่อย และมีการปรับปรุงด้านระบบการส่งกำลังให้ดีมากยิ่งขึ้น

เปิดตัว ZEEKR X รุ่นปี 2024 จะเตรียมวางจำหน่ายในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ โดยมีวางจำาหน่ายเพียงแค่ 2 รุ่นย่อยเท่านั้น โดยวางจำหน่ายและเปิดตัวแล้วในประเทศลาว เริ่มต้นที่ 28,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ZEEKR X มาในรูปแบบรถ Compact รุ่นปี 2024 ไฟฟ้าที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนเมื่อปี 2023 และ ออกจากสายการผลิตวางจำหน่ายเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีให้เลือกทั้ง 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง 4 ที่นั่ง และรุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ 5 ที่นั่ง โดยเปิดราคาเริ่มต้นที่ 209,800 หยวน

  • ZEEKR X 2024 ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) 4 ที่นั่ง มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยวกำลัง 200 กิโลวัตต์อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน5.8 วินาทีแบตเตอรี่ 66 kWh ระยะทางสูงสุด 560 กิโลเมตร. (CLTC)
  • ZEEKR X 2024 รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) 5ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยมอเอตณืไฟฟ้ากำลังคู่ กำลังสูงสุดรวมกัน 3315 กิโลวัตต์ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 3.7 วินาที แบตเตอรี่ 66 kWh ระยะทางสูงสุด 512 กม. (CLTC)

ZEEKR X เวอร์ชั่นปรับปรุงนี้ได้เพิ่มประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซนต์ ปรับปรุงระบบเบรคให้ใช้เป็นระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2% และปรับปรุงระบบเบรกไฟฟ้าแบบผสมผสานระบบเบรก IPB ระยะเบรกสั้นลงกว่าแบบเดิมถึง 2 เท่า นอกจากยังมีการเพิ่มโหมดขับขี่ใหม่เข้ามาเป็นการขับเมือง Urban Off-road ด้วย

แบตเตอรี่จะใช้เป็นตัวใหม่ซึ่งมีการเปิดตัวไใปก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นแบบ แบตลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟส LFP สุดแข็งแกร่ง ได้ประกอบเข้ามาใช้กับ ZEEKR X เวอร์ชั่นใหม่ยังคงใช้แบตเตอรี่ Li-ion ternary ขนาด 66 kWh

รถยนต์ Crossover เป็นรถยนต์ยอดนิยมที่สุด และแบรนด์จีนบุกตลาตรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียใต้อย่างหนักเพิ่มขึ้น 2 เ่า จากปี 2023 โดยมีเป้าหมายที่จะส่งมอบอยู่ที่ 230,000 คันกับการเปิดตัวในเวอร์ชั่นใหม่ของ ZEEKR มากยิ่งขึ้น ด้วยการตัดในรุ่นที่มีราคาต่ำสุดของตลาดออกและยปรับราคาเพื่อสู้กับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ราวๆ 5 หมื่นบาทต่อรุ่นอีกด้วย

อ่านข่าวสาร EV เพิ่มเติม

ไขข้อข้องใจ ทำไมคนไทยถึงไม่นิยมรถ Hybrid มือสอง

รถไฮบริด เป็นรถยนต์ลูกครึ่งระหว่างน้ำมันและไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เนื่องจากปัญหาในเรื่องของน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงการปล่อยมลพิษทีสร้างปัญหาให้กับโลกจนเป็นวิกฤติ PM 2.5 ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะปรับตัวไปใช้รถไฟฟ้าเนื่องจากปัญหาหลายๆส่วนเช่น การรอสถานีชาร์ตไฟฟ้าที่มากขึ้น รวมไปถึง ความเร็วในการชาร์ตไฟฟ้าอีกด้วย

รถระบบไฮบริดเป็นรถยนต์ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันเป็นหลักและระบบมอเตอร์ไฟฟ้าก็มีขับเคลื่อนผสมผสานกัน สลับการใช้พลังงานไปมา เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้น้อยลง โดยถ้าหากเคลื่อนที่ในรอบสูงๆเครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักและจะเก็บพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อนำมาใช้ในรอบต่ำก็จะทำงานเพียงมอเตอร์เพียงอย่างเดียว หรือในช่วงเร่งแซงก็จะทำงานควบคู่เครื่องยนต์ จึงทำให้รถไฮบริดประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นนั้นเอง

ปัญหาที่คนไทยกลัวรถระบบ Hybrid

ซึ่งรถยนต์ระบบ Hybrid นั้นคนไทยกลัวที่จะใช้เพราะกังวลในเรื่องของค่าอะไหล่ที่กำลังจะตามมาในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่เข้ามาในตัวรถล้วนแล้วแต่มีราคาสูงพอสมควร ยิ่งเป็นรถที่แบรนด์สูงๆหรือแบรนด์ยุโรปก็ยิ่งสูงมากตามไปด้วย แต่แนวคิดนั้นก็ถือว่าเป็นแนวคิดในยุคแรกๆที่ Hybrid เข้ามาใหม่ๆ

ปัจจุบันรถยนต์ Hybrid ยังน่าใช้อยู่หรือไม่
ระบบ Hybrid เรายังคงเห็นในรถรุ่นใหม่ๆที่ทางบางแบรนด์เปิดตัวและมักจะอยู่ในรุ่นย่อยกลางๆจนค่อนข้างไปทางสูง ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีรถไฟฟ้า EV เข้ามาตีตลาดแต่ทางบางประเทศเองก็ถือว่ายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของพลังงานทางเลือกเท่าไหร่นักรวมไปถึงประเทศไทยเองก็ยังถือว่า สถานีชาร์จไฟฟ้า EV ก็ยังน้อยกว่าความต้องการของผู้ใช้รถ ไฟฟ้า EV อยู่มาก จึงทำให้ไม่เพียงพอต่อการใช้งานได้อย่างสะดวกนั่นเอง

ค่าซ่อมและอะไหล่ Hybrid แพงจริงหรือ?
และด้วยแบตเตอรี่ Hybrid ที่มีราคาสูง จะต้องสั่งจากศูนย์เท่านั้น ปัจจุบันก็สามารถหาได้ตามแบรนด์เทียบต่างๆซึ่งมีราคาถูกกว่าค่อนข้างมากกว่า 40% เลยทีเดียวถ้าเทียบกับราคาในช่วงที่ Hybrid ออกมาใหม่ๆ และถ้าหากเรามาคำนวนในเรื่องของราคาน้ำมันในปัจจุบันก็ถือว่ายังคุ้มค่ากว่าอย่างแน่นอน

ระหว่าง Hybrid กับ เครื่องสันดาปล้วนแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
อย่างที่ได้กล่าวข้างต้นว่าเครื่องยนต์สันดาปทำงานคู่ Hybrid นั้นนอกจากจะได้ความประหยัดที่มากขึ้นแล้วก็ยังได้ในเรื่องของพละกำลังที่มากกว่า เพราะมอเตอร์ Hybrid ก็ยังทำงานควบคู่กับเครื่องยนต์เมื่อจำเป็นจะต้องใช้พละกำลังถึงจะแบกเอาแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ไว้ที่ด้านท้ายแต่ก็ไม่ใช้ปัญหาในเรื่องอัตราเร่งแต่อย่างใด

อ่านข่าวสารและสาระน่ารู้รถยนต์

แบรนด์ยักษ์สั่นสะเทือน Elon Musk ชี้ผู้ผลิต EV จีนจะผงาดหากไม่ถูกกีดกันการค้า

อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla กล่าว ว่าผู้ผลิตจีนจะทำลายคู่แข่งระดับโลกหากไม่มีอุปสรรค์ททางการค้า เป็นการตอกย้ำความรุนแรงของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่กำลังหวั่นต่อการขยายธุรกิจรถไฟฟ้าของทางจีน
เป็นการแสดงความคิดเห็นของ มักค์ที่เกิดขึ้นหลังจากความสำเร็จล่าสุดของ BYD สามารถสร้างยอดขายแซง Tesla กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการส่งออกมากที่สุดในไตรมาส 2023 ซึ่งเหตุผลสำคัญคือ BYD และมีรุ่นย่อยให้เลือกหลากหลายกว่า และราคากับอ๊อฟชั่นที่น่าสนใจแม้ว่า Tesla เองจะมีการลดราคาลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็สร้างความต้องการทางการค้าไม่ได้เท่าตลาดของ BYD

จากข้อมูลของทาง มักค์ ความสามารถในการแข่งขับที่สูงมาก และประสปความสำเร็จเป็นอย่างมากนอกประเทศจีน แต่ก๋ขึ้นอยู่กับการกีดกันทางการค้า ถ้าหากไม่มีการกีดกันทางการค้าดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนอาจจะโดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆทั่วโลก

โดยกระทรงการต่างประเทศของจีนก็ได้ตอบสนองความต้องการและข้อเสนอของมักค์ โดยทาทงการจีนให้ความเห็นว่า โลกควรเห็นพ้องต้องกันในเรื่องของการเปิดกว้างทางการค้าและ ยุติธรรม

โดยตัวของมักค์ได้หยิบยกประเด็นสงครามราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นประเด็น โดยมักค์แสดงให้เห็นว่าสงครามการหั่นราคานี้อาจจะสร้างปัญหาตามมาในอนาคต และกำไรของทาง Tesla ก็ลดลงอย่างมหาศาลอีกด้วย

และแผนการของทาง Tesla ในอนาคตที่จะเปิดตัวครอสโอเวอร์ขนาดกระทัดรัดสำหรับตลาดมวลชนที่มีราคาไม่แพงมีรหัสว่า REDWOOD ซึ่งจะมีการเปิดตัวในช่วงปี 2025 เพื่อแข้งขันกับคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่านั้นได้รับการยืนยันจาก ECO อีลอนมักค์อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีความเชี่ยวชาญในการจัดการต้นทุนและขยายตลาดและธุรกิจในต่างประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว Tesla จึงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มากขึ้น เป็นเรื่องที่ผู้นำของ Tesla ต้องรื้อทำการตลาดที่ราคาไม่สูง เพื่อลงแข่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กราคาไม่สูงตามไปด้วย

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

AVATR 12 รถยนต์ไฟฟ้า 578 แรงม้า ไร้กระจกมองหลัง เริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาท

AVATR 12 รถยนต์ไฟฟ้าจากความร่วมมือของ Changan Huawei และ CATL เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการ และเปิดราคาที่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นคู่แข้งในกลุ่มตลาด รถ SUV ขนาดใหญ่ที่ในตลาดประเทศไทยให้ความนิยมเป็นอย่างมาก

Avatr 12 เป็นรถแฮทช์แบ็คไฟฟ้า มาพร้อมการการออกแบบทีเป็นสัญลักษณ์ มักจะเรียกว่า Gran Coupe ซึ่งความโดดเด่นคือด้านหน้าที่มีไฟแบบ 2 ชั้น และทรงเรียบหรู ไม่มีกระจกบังลม แต่กลับแทนที่ด้วยกระจก Sunrooft ที่มีขนาดใหญ่ และกระจกข้างก็เป็นกล้องแทนกระจกลดแรงต้านสัมประสิทธิ์ไปได้ยิ่งขึ้น


มิติของตัวถัง Avatr 12 เมื่อดูจากความยาวจะเห็นถึงความใหญ่ของตัวรถได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีความยาว 5020 มม. และกว้าง 1999 มม. สูง 1460 มม. และมีระยะฐานล้อที่ 3020 มม. ซึ่งรูปทรงจะไปคล้ายกับ Porsche Panamera ซึ่งการออกแบบ จะให้เห็นถึงความสปอร์ตผสานกับรถเมืองได้อย่างลงตัว

การออกแบบภายในของ Avatr 12 จะเห็นโดดเด่นด้วยจอกลางขนาดใหญ่ให้มาถึง 15.6 นิ้ว และยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ HarmonyOS 4 จากทาง Huawei และระบบเสียงมาพร้อมกับลำโพงรอบทิศ 27 ตัว และมีไฟ Ambient light ที่ให้แสงภายในรถถึง 64 จุด

พวงมาลัยรูปทรง 8 เหลี่ยมที่มีขนาดเล็กดูเรียบหรูแต่ก็ได้ย้ายตำแหน่งเกียร์ไว้ที่ด้านหลังพวงมาลัยเพื่อใช้ใช้งานได้ง่าย เหมือนกับ Mercedes – Benz และตำแหน่งคอนโซลกลางเป็นระบบชาร์จมือถือแบบไร้สายถึง 2 ตำแหน่ง แทน เบาะนั่งเป็นวัสดุแบบ Nappa เบาะด้านหน้าสามารถปรับเอียงได้ถึง 114 องศา มีระบบอุ่น และระบบระบายอากาศ เสริมด้วยพังก์ชั่นการนวด ถึง 8 จุด เสริมความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีเสริมการขับขี่ของ Avatr 12

Avatr 12 มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ระบบ LiDAR ถึง 3 ตัว เพื้่อรองรับฟังก์ชั่นการนำทางอัจฉรียะทั้งบนถนนทางหลวงและถนนในเมืองเพียงแค่ผู้ใช้เลือกปลายทางรถก็จะขับเคลื่อนและพาไปส่งยังจุดหมายปลายทางได้เองแต่ผู้ขับขี่เองก็ต้องประคองอย่างระมัดระวัง

ระบบส่งกำลังของ Avatr 12 ใช้แพลทฟอร์ม CHN ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Changan , Huawei และ CATL โดยระบบช่วงล่างจะมีระบบกันสะเทือนแบบถุงลม สามารถยกขึ้นได้ 45 มม. และมีระบบแรงสั่นสะเทือนแบบแอคทีฟ CDC ทำใหรู้สึกสบายเสื่อขัยเคลื่อนบนเส้นทางขรุขระ

ระบบส่งกำลังมี 2 ตัวเลือกด้วยกัน

ขับเคลื่อนล้องหลังแบบ (RWD) พละกำลัง 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.7 วินาที แบตเตอรี่ NMC ความจุขนาด 94.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกลถึง 700 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

-ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ (AWD) พละกำลัง 578 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม. ในเวลาเพียงแค่ 3.9 วินาที แบตเตอรี่ NMC ความจุ 94.5 kWh สามรรถทำระยะทางได้ 650 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

Avatr 12 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยด้วยกันได้แก้ Luxury RWD , Performance 4WD และ GT 4WD ซึ่งแต่ละรุ่นก็แตกต่างกันออกไปที่ระบบขับเคลือนและ Option บางอย่างโดยรุ่น GT นั้นจะมีการติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบถุงลมและระบบไฟฟ้าแบบ CDC เป็นมาตรฐาน รวมถึงมีหลังคาซันรูปที่สามารถปรับแสงสได้อัตโนมัติประตูไฟฟ้า ล้อขนาด R21 พร้อมเบรค Brembo

ราคา Avatr 12 แต่ละรุ่น

  • รุ่น Luxury ที่ 300,800 หยวน (41,265 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.48 ล้านบาท )
  • รุ่น Performance 4WD ที่ 340,800 หยวน (46,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.68 ล้านบาท )
  • รุ่น GT 4WD ที่ 400,800 หยวน (54,985 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.98 ล้านบาท )


อ่านข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม


4 เทคนิคการ ใช้แอร์รถยนต์ให้ถนอมมากที่สุด

แอร์รถยนต์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญภายในรถยนต์ และเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานหนักไม่ต่างจากเครื่องยนต์ คุณทราบหรือไม่ว่าการใช้แอร์ให้ถูกขั้นตอนและเข้าใจ จะช่วยยืดอายุของแอร์ และลดปัญหาต่างๆ ภายในระบบแอร์ปรับอากาศภายในรถยนต์ได้ มาดูกันว่าขั้นตอนและวิธีการใช้แอร์รถยนต์ให้ถนอมมากที่สุดนั้น ทำอย่างไรกันบ้าง



4 เทคนิคการ ใช้แอร์รถยนต์ให้ถนอมมากที่สุด
1. ปิด A/C ทุกครั้งก่อนสตาร์ทรถ
2. ไล่ลมร้อนออกจากระบบแอร์
3. ไล่ความชื้นภายในระบบแอร์ก่อนถึงที่หมาย
4.หมั่นตรวจสอบการหยดของน้ำยาแอร์ที่ใต้ท้องรถ


1. ปิด A/C ทุกครั้งก่อนสตาร์ทรถ
การปิด A/C ทุกครั้งก่อนสตาร์ทรถเป็นการถนอมทั้งการทำงานของเครื่องยนต์ และ อุปกรณ์ปรับอากาศ เพราะการสตาร์ทรถแต่ละครั้ง ไดร์สตาร์ทจะทำงานหนักเพื่อให้เครื่องยนต์เริ่มทำงานทั้งระบบ และคอมเพลสเซอร์แอร์ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สร้างภาระให้กับระบบสตาร์ทเป็นอย่างมากนั่นเอง

2. ไล่ลมร้อนออกจากระบบแอร์ก่อนเปิด A/C

การไล่ลมร้อนออกจากระบบแอร์ก่อนเปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการทำงานของระบบปรับอากาศและคอมเพลสเซอร์ เพราะระบบแอร์จะทำการเร่งอุณหภูมิให้ถึงในจุดที่เราตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นการเร่งแอร์ให้ทำงานหนักมากๆถ้าหากว่า ระบบแอร์ทำงานหนักบ่อยๆ จะให้ทำให้คอมเพลสเซอร์ร้อนกว่าปกติเป็นเหตุทำให้ลดอายุการใช้งานได้

3. ไล่ความชื้นภายในระบบแอร์ก่อนถึงที่หมาย

การเปิดพัดลมและปิดระบบ A/C ก่อนถึงที่หมาย จะช่วยลดความชื้นในระบบทำความเย็น ซึ่งจะช่วยทำให้ลดกลิ่นอับ อันเป็นกลิ่นที่ไม่พังประสงค์ของระบบปรับอากาศที่จะเกิดขึ้นได้จากความชื้นและการหมักหมมภายในระบบแอร์ และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดเชื้อโรคในอากาศด้วยนั่นเอง

4. หมั่นตรวจสอบการหยดของน้ำยาแอร์ที่ใต้ท้องรถ

น้ำยาแอร์จะหยดเมื่อถาดรองน้ำยะแอร์เริ่มเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของระบบแอร์อยู่แล้ว แต่น้ำที่หยดออกมานั้นสามารถบอกอาการ และ สภาพของแอร์ได้หลายสิ่ง ซึ่งการสังเกตลักษณะของน้ำยาแอร์ถ้าหากมีคราบสกปรกออกมาด้วยก็อาจจะเปิดอาการเริ่มต้นของการอุดตันของระบบระบายน้ำ หรือถ้าหากน้ำยาแอร์มีสีอิฐก็แสดงว่าภายในระบบแอร์ก็อาจจะเริ่มเกิดสนิม ซึ่งเป็นปัญหาของอาการผุพังในระบบปรับอากาศนั่นเอง

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

Changan Deepal G318 SUV Off-Road PHEV 423 แรงม้า ราคา 1.5 ล้านบาท

Changan Deepal G318 SUV Off-Road PHEV 423 แรงม้า ราคา 1.5 ล้านบาท

ล่าสุด ทาง Deepal ได้เตรียมวางตลาดททางเลือกใหม่รถไฟฟ้า ทรง SUV Off-Road ที่ใช้ชื่อว่า Deepal G318 ซึ่งเป็นต้นแบบ ที่พ่วงพลัง EREV สำหรับ Deepal G318 จะถูกตั้งชื่อตามชื่อของทางหลวงในประเทศจีน ซึ่งเป็นเส้นทางจาก เฉิงตู มุ่งหน้าไปยัง ทิเบต โดยในเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมักจะใช้ในการเดินทางสัญจรไปเที่ยวเนื่องจากมีทิวทัศน์ที่สวยงาม จึงนำเอาชื่อเส้นทางนี้มาตั้งชื่อรถ เพื่อสื่อให้เห็นว่า SUV รุ่น G318 นี้ ถูกตั้งเป้าหมายเอาไว้สำหรับตอบโจทย์ในกลุ่มลูกค้าที่มองรถไฟฟ้าไว้สำหรับท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์

การออกแบบตัวรถจากภาพชุดแรกที่ทางฉางอันปล่อยออกมาจะเห็นในลักษณะของตัวรถที่ดูอ๊อฟโรดสายพันธุ์พร้อมลุยขนาดแท้ เส้นสายที่ดูมีความแข็งแรง เหลี่ยมสันกระจังหน้าแบบปิดทึบ ขนาบข้างทั้ง 2 ฝั่งด้วยชุดไฟ DRL รูปตัว C เติมความดุดันด้วยกันชนรอบขนาดใหญ่

หลังคาติดราวเหล็ก ที่มาพร้อมกับไฟสปอร์ตไลท์ด้านหน้า ที่วางเรียงต่อๆกัน 4 ดวง ด้านข้างเน้นความเรียบบง่ายไปกับตัวรถเสริมความดุดันตามสไตล์รถอ๊อฟโรดด้วยโป่งล้อสีดำ มาพร้อมล้ออัลลอยแบบทูโทน และยังไซด์ใหญ่แบบ AT พร้อมด้วยชุดล้ออะไหล่เสริมอีก 1 ชุด

มิติตัวถัง Deepal G318 จะมีความยาวอยู่ที่ 4,750 มม. ความกว้าง 1,959 มม. ความสูง 1,820 มม. และมีระยะของฐานล้อ 2,880 มม. และในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมาในขุมพลังแบบ EREV (Extended Range Electric Vehicle) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟส่งไปยังแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ให้พลัง35 kW และ 60 kW ที่ทำหน้าที่หมุนล้อ ขณะที่ข้อมูลทพละกำลังยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ มีเพียงแค่รายละเอียดที่บอกว่า ตัวรถจะมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่แบบ LFP ที่มีความจุอยู่ที่ 18.4 kWh และ 35.1 kWh และมาพร้อมกับระบบหมุน 360 ที่เรียกว่า Tank Turn Mode

อ่านข่าวรถยนต์เพิ่มเติม

ไม่ยอมแพ้ เตรียมผลิตกระบะไฟฟ้า ISUZU D-Max EV

ไม่ยอมแพ้ เตรียมผลิตกระบะไฟฟ้า ISUZU D-Max EV
Isuzu D-Max EV เตรียมขึ้นสายการผลิต ณ โรงงานในประเทศไทย ซึ่่งจะได้ใช้ฐานการผลิตหลักเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและนอกประเทศและส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ทั้งยุโรป และตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตามการพัฒนาขุมพลังไฟฟ้าบนพื้นฐานของ D-Max อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพิ่มเติมอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นก่อนที่จะได้พบกับ D-Max EV Isuzu อาจจะนำร่องเปิดตัวขุมพลังทางเลือกซึ่งอาจจะมีทั้งแบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid เพื่อเป็นการต่อสู้ตลาดกับทาง Toyota REVO EV และจะเตรียมเปิดตัวขุมพลังไฟฟ้าในประเทศไทยเร็วๆ นี้

ในปัจจุบันแม้ว่าบริษัทยานยนต์จากจีนจะเข้ามามีบทบาทกับตลาดในบ้านเราทั้ง BYD, Chagan, SAIC และ Grate Wall Motor ทางบริษัทยานยนต์ของญี่ปุ่นเองก็เร่งทำการบ้านมากขึ้น

เมื่อวันที่ 27 พฤษจิกายน 2566 ตามมติที่ประชุมคณะทำงานและพิจารณาครั้งแที่ 44/2566 คณะการส่งเสริมการลงทุน ได้มีการอนุมัติโครงการทุนรวม 53 โครงการ และ 1 ในโครงการที่อนุมัติคือ โรงการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าหมวดการลงทุน 3.5.4.1 ของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นการอนุมัติครั้งที่ 2 ของทางอีซูซุ ทั้งด้านการลงทุนเพื่อผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ต่อจากการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า

ในทางกลับกันทาง ISUZU ก็ได้เตรียมแผนรถกระบะ EV มาตั้งแต่เมื่อปี 2023 ซึ่่งข้อนี้อาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ ISUZU มีแผนเร่งเปิดตัวรถกระบะแบบ ปลั๊กอิน Hybrid ในระหว่างนี้นั่นเองก็จะเตรียมวางตลาดให้ทันภายในปีนี้ เพื่อสู้ตลาดกับทางแดนมังกร

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม