เปลี่ยน TOYOTA Prius ให้เป็น Ferrari FF ด้วยชุดแต่งพิเศษจากค่าย Albermo

ถ้าคุณจะบอกว่าพาร์ท TOYOTA Prius โฉมนี้ถูกออกโดยชาวอิตาเลี่ยน? คุณคิดผิด เพราะถ้าพูดถึงหน้าตาแบบนี้ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เต็มปากนักว่าเกิดจากผู้ออกแบบชาวญี่ปุ่นเมื่อเห็นผ่านๆในครั้งแรกแน่นอน เพราะอัตลักษณ์มีความเป็น Ferrari FF อย่างชัดเจน

ถ้าคุณจะบอกว่าพาร์ท TOYOTA Prius โฉมนี้ถูกออกโดยชาวอิตาเลี่ยน? คุณคิดผิด เพราะถ้าพูดถึงหน้าตาแบบนี้ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เต็มปากนัก

ล่าสุดสำนักแต่ง Albermo Japan ได้ออกแบบพาร์ทสำหรับชุดแต่งเสริม TOYOTA Prius มีด้านหน้าเหมือนกับตัว Ferrari FF ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เอา TOYOTA rav4 มาแปลงโฉมให้เป็น Lumbergini Urus ตั้งแต่เส้นสายกันชนหน้าจนไปถึงฝาท้าย

การออกแบบเปลี่ยนชุดกันชนหน้าให้มีเส้นลวดลายคล้าย Ferrari FF และเสริมลวดลายที่กระโปรงหน้าให้โดดเด่นเสริมมิติของไฟหน้าให้เป็นเส้นลวดลายดุดันทำให้ Prius มีความก้าวร้าวโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น สนนในราคา 108,000 เยนหรือราวๆ 31,372 บาท (เฉพาะส่วนของด้านหน้า)

การออกแบบ Deffuser ให้มีความแนบเนียนไปกับชุดแต่งออกเสริมความเป็นอิตาเลี่ยนให้แนบเนียนยิ่งขึ้นด้วยการติดสติ๊กเกอร์ธงอิตาลี่ยาวไปถึงหลังคาจนไปถึงฝาท้าย และป้ายโลโก้ที่คล้าย Ferrari เรียกว่าแกะทุกรายละเอียดของรถสปอร์ทแห่งอิลาเลี่ยนได้ครบถ้วนจริงๆ โดยเฉพาะชุดแต่งด้านหลังสนนราคา 78,000 เยนหรือราวๆ 22,661 บาทเท่านั้น(ในส่วนของด้านหลัง)

มีลุ้นครับสำหรับคนกำลังใช้ TOYOTA Prius อยู่ว่าจะได้ถูกวางขายในตลาดจริงๆจังๆหรือไม่หวังว่าคงไม่โดน Ferrari ฟ้องในคดีทรัพย์สินทางปัญญาซะก่อนวางจำหน่าย ก็อาจจะได้เห็นวิ่งบนท้องถนนกันบ้างแหละครับ

น่าจับตามอง Honda City เวอร์ชั่น Hatchback 5 ประตู

เรียกว่า Honda พยายามที่จะทำการตลาดให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบในรถแบบ 5 ประตูซึ่งก่อนหน้านี้ CIVIC เองก็ไม่ได้มีเพียงแค่รถทรง Sedan เท่านั้น มาคราวนี้เป็นคิวของ Honda City Hatchback 5 ประตู กับเขาบ้าง ที่จะเปิดตลาดในญี่ปุ่นเป็นที่แรก มาดูกันครับว่า City 5 ประตูจะมีหน้าตาอย่างไร

โดยหลักๆแล้วเครื่องยนต์ที่จะใช้ก็เป็นแบบเดียวกับ Honda City ตัวปัจจุบัน เป็นแบบ 3สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 cc. ระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VTEC และ Dual VTC พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 78.7 มิลลิเมตรกำลังอัด 10.0 : 1 พละกำลังสูง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด แรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้ารองรับน้ำมัน E20 ปล่อย CO2 99./km.

เป็นรถ City Car อีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองเนื่องด้วยกระแสตอบรับอย่างล้นหลามใน เวอร์ชั่น Sedan จนตลาดรถ City ยอดขายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าจึงตั้งความหวังไว้มากพอสมควร ต้องคอยติดตามกันครับ

New TOYOTA Yaris Cross ผสมผสานพลัง Hybrid เวอร์ชั่นยุโรปสวยจัดๆ

เรียกว่าพร้อมวางขายในแถบยุโรปและญี่ปุ่นสำหรับ New TOYOTA Yaris Cross ยกสูง แต่ดันเกิดสถานการณ์ Covid-19 ซะก่อนจึงทำให้การตลาดถูกย้ายไปอยู่ในโลกออนไลน์แทบทั้งหมดจึงกลายเป็นว่าเราจะได้เห็นภาพตัวรถได้เพียงแค่รูปภาพเท่านั้น

ใน TOYOTA Yaris Cross ช่วงล่างเป็นคอมแพคครอสโอเวอร์ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด TNGA โดยใช้ตัวถังของ TOYOTA New Yaris Hatchback แต่นำมาตกแต่ง ยกสูงและปรับเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายให้ตกแตกต่างออกไปโดยมีมิติตัวถังขนาดความยาว 4,180 มิลลิเมตร ความกว้างตัวถัง 1,715 มิลลิเมตร ส่วนความสูงจากพื้นถึงหลังคา 1,590 มิลลิเมตร โดยปรับระดับความสูงจากพื้นถึงเพิ่มขึ้นอีก 90 มิลลิเมตร ส่วนความยาวฐานล้อยังคงเท่าเดิมที่ 2,560 มิลลิเมตร

ห้องโดยสารทั้งหมด เรียกว่ายกเอาของ Yaris Hatchback มาทั้งหมดโดยมีการเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ประโยชน์ใช้สอยให้ได้มากยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงเรื่องวัสดุให้มากยิ่งขึ้น เบาะใช้วัสดุแบบผ้าสลับหนังเพิ่มความสะดวกใช้สอยด้วยเบาตอนหลังแบบ 40:20:40 ทำให้เหลือเนื้อที่ใช้สอบอย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

ในส่วนของเครื่องยนต์ ได้ชูโรงด้วยระบบขับเคลื่อน Hybrid กับเครื่องยนต์รหัส M15A Dynamic Force เบนซิน 3 สูบแถวเรียง VVT-iE 1.5 ลิตร พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ขนาดเล็กขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD ให้สมรรถนะมากถึง 116 แรงม้า ผ่านชุดเกียร์ E-CVT โดยเครื่องเบนซินจะส่งกำลังขับเคลื่อนลงที่ล้อหน้าส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งกำลังขับเคลื่อนลงที่ล้อหลังโดยสามารถเลือกทำงานได้ทั้งโหมด Hybrid หรือช่วยเพิ่มแรงบิดล้อหลังอัตโนมัติ

ตอนนี้ TOYOTA New Yaris Crossover ยังไม่ได้มีแผนวางขายในประเทศไทยแต่จะวางขายในเฉพาะประเทศแถบยุโรปและญี่ปุ่นเท่านั้น เนื่องจาก เรายังมี Yaris Cross เวอร์ชั่นอาเซี่ยนขายอยู่ตามโชว์รูมเพียงแค่แตกต่างในด้านรูปลักษณ์ แต่ความสวยและความน่าใช้โดยคนส่วนใหญ่่จะเทคะแนนไปให้ทางเวอร์ชั่นยุโรปซะมากกว่า

Evoltis SUV พลังไฟฟ้า รุ่นแรกของ Subaru พร้อมปัญญาประดิษฐ์ AI

เรียกว่าไม่น้อยหน้าค่ายอื่นสำหรับค่ายรถยนต์สุดอินดี้ อย่าง Subaru ที่ได้เริ่มเปิดตัวรถยนต์พลังงาน EV SUV หรือรถครอบครัวอเนคประสงค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของสำนัก จึงกลายเป็นที่น่าจับตามอง และได้ร่วมมือพัฒนากับทางโตโยต้ามาตลอดระยะเวลา 2 ปี

Subaru Evoltis เคยพูดถึงมาก่อนหน้านี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานมาจากทาง Subaru เองว่าจะจดสิทธิบัตรใช้ชื่อ Evoltis ในปี 2018 กับทางสำนักงานทะเบียนการค้าอเมริกา

ยานยนต์แห่งอนาคตของทาง Subaru คันนี้เป็นการร่วมมือกับทาง TOYOTA พัฒนาด้วยรถที่พัฒนาให้เป็นรถยนต์อเนคประสงค์ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่

รถยนต์ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าตัวนี้มีกำลังขับราวๆ 290 แรงม้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ และใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตรต่อการชาร์ตเต็มๆ 1 ครั้ง เรียกว่าเหลือๆสำหรับการเดินทางไกล

อีกหัวใจหลักของพลังงานหลักคือแบ๊ตเตอรี่ซึ่งได้พันธมิตรที่เชียวชาญในเรื่องการผลิตแบ๊ตเตอรี่รถยนต์อย่าง BYD TOYOTA EV TECHNOLOGY Co.,Ltd. (BTET)

อีกหนึ่งจุดเด่นของ พลังงานไฟฟ้าในอนาคตของ Subaru ยังได้เตรียมระบบ AI ที่จะช่วยในเรื่องของการขับขี่ให้ง่ายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น การช่วยให้เปลี่ยนเลนได้อย่างปลอดภัย ระบบคาดการณ์ลักษณะเส้นทางในรูปแบบต่างๆ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในระหว่างการจราจรอยู่ในสภาวะติดขัด รวมไปถึงระบบความปลอดภัยครวจจับ 360 องศา

สีป้ายทะเบียนต่างๆ ที่ใช้ในปัจจุบัน แต่ละแบบใช้กับรถอะไรบ้าง

ป้ายทะเบียนในประเทศไทย นอกจะจำแนกเป็นประเภทลักษณะการใช้งานแล้วยังแยกลักษณะประเภทของรถยนต์นั้นๆให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ง่าย ในส่วนนี้หลายคนอาจยังไม่ทราบลักษณะที่แน่ชัดของป้ายทะเบียนรถยนต์แต่ละประเภท เราลองมาทำความรู้จักป้ายทะเบียนรถยนต์แต่ละประเภทกันครับว่าจำแนกรถประเภทและการใชงานอย่างไรบ้าง

ป้ายทะเบียนขาว ตัวอักษรสือสีดำ หรือเรียกติดปากว่า “ป้ายขาว” ป้ายลักษณะนี้จะใช้ทั่วๆไปในรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง หรือรถประเภทเก๋ง ซีดาน Hatchback , Coupe รวมไปถึงรถกระบะ 4 ประตูทั่วๆไป

ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรเขียว หรือเรียกติดปากว่า “ป้ายเขียว” ลักษณะการจะเหมือนกับป้ายขาว แต่จะถูกใช้ในรถกระบะหัวเดี่ยวตอนเดียวหรือตอนครึ่ง กึ่งโดยสารและบรรทุกหนัก

ป้ายพื้นขาวตัวอักษรฟ้า หรือเรียกติดปากว่า “ป้ายฟ้า” ลักษณะการใช้งานต้องเป็นรถนั่งส่วนบุคคลมากกว่า 7 ที่นั่งขึ้นไป จะถูกใช้ในรถตู้ MPV

ป้ายสีแดงตัวอักษรสีดำ หรือเรียกติดปากว่า “ป้ายแดง” ใช้ในรถยนต์ที่ยังไม่ได้รับรองด้วยการจดทะเบียนตามกฎหมาย ซึ่งสามารถใช้บนถนนได้ชั่วคราวแต่ต้องอยู่ในข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมขนส่งทางบก

ป้ายหลังลายกราฟฟิก หรือเรียกติดปากว่า “ป้ายประมูล” เป็นป้ายเลขเรียง เลขสวย และเลขที่มีความหมายตามโหราศาสตร์ ซึงสามารถร่วมประมูลทั้งในหมวดตัวเลขและตัวอักษร เพื่อนำเงินรายได้จากการประมูลสมทบเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) แบะจัดสรรเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน

ป้ายพื้นสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวอักษรสีดำ หรือปเรียกกันติดปากว่า “ป้ายรับจ้าง” ใช้ในรถรยนต์รับจ้างรวมไปถึงรถจักรยานยนต์รับจ้างที่โดยสารได้ไม่เกิน 7 คน หรือเรียกง่ายๆว่ารถแท๊กซี่ทั่วไปนั่นเอง

ป้ายพื้นสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวอักษรสีแดง ใช้ในรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด

ป้ายพื้นสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวอักษรสีน้ำเงิน คือรถยนต์เล็ก 4 ล้อรับจ้าง หรือที่เราใช้บริการกันบ่อยๆคือรถกะป๊อซูบารุนั่นเอง

ป้ายพื้นสีเหลืองสะท้อนแสงตัวอักษรสีเขียว ใช้ในรถสามล้อรับจ้าง หรือที่รู้จักกันว่ารถตุ๊กตุ๊ก

ป้ายพื้นสีเขียวสะท้อนแสง ตัวอักษรขาวหรือดำ ใช้กับรถยนต์เช่าหรือที่เราเห็นบ่อยๆ ตามสนามบิน หรือรถบริการทัศนาจร

ป้ายพื้นสีส้มสะท้อนแสงตัวหนังสือสีดำ ใช้ในรถบรรทุกพ่วงขนาดใหญ่ รถแทรกเตอร์ หรือรถที่ใช้ในเกษตรกรรม

ป้ายพื้นสีขาวไม่สะท้อนแสง ตัวอักษรเป็นสีดำ คือรถยนต์ของผู้แทนทางการทูต จะขึ้นต้น ด้วยอักษร ท. และตามด้วยรหัสประเทศ แล้วตามด้วยขีดแล้วจึงตามด้วยเลขทะเบียนรถ

ป้ายพื้นสีฟ้าไม่สะท้อนแสง ตัวอักษรเป็นสีขาว แบ่งแยกย่อนหมวดอักษร พ ของหน่วยงานพิเศษในสถานทูตหมวดอักษร ก ของคณะผู้แทนกงศุล และหมวดอักษร อ ขององค์กรระหว่างประเทศ แล้วค่อยตามด้วยหมายเลขทะเบียนรถ

หลายๆคนอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา หรือไม่เคยพบเห็นป้ายบางชนิตแต่เชื่อเถอะครับป้ายทุกบบเหล่านี้ วิ่งอยู่บนท้องถนนประเทศไทยมานานมากๆแล้ว ฉะนั้นเมื่อคุณต้องการใช้รถเพื่อจุดประสงค์อะไรควรจดทะเบียนให้ตรงกับชนิดที่จะใช้งานด้วยนะครับเพื่อความเป็นรถเบียบเรียบร้อยทั้งเจ้าหน้าที่และความปลอดภัยในการใช้ถนนครับ

เหตุผลราคาน้ำมันลดลงมากที่สุด ในรอบ 29 ปี

เรียกว่าเป็นสิ่งที่น่าค้นหาเหตุผลอย่างยิ่งสำหรับราคาน้ำมันดิบ ว่าด้วยเหตุผลเหตุผลหลังๆที่ทำให้น้ำมันปรับราคาลดลงต่ำสุดในรอบ 29 ปี ตั้งแต่การเกิดสงครามอ่าว (Gulf War) ในปี 2534

โดยซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและลดราคาจำหน่ายน้ำมันในเอเชีย หลังโต๊ะเจรจาในเวทีโอเปคล่ม มหาอำนาจหมีขาวอย่างรัซเซียที่เป็นมหามิตร ไม่เห็นด้วยกับการพยุงราคาน้ำมันด้วยการลดกำลังผลิตลง ถึง 2% หรือ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันตามคำขอ

ภาพ

มูลเหตุเกิดจากการประชุมจุดประสงค์เพื่อที่หารือเรื่องการพยุงราคาน้ำมันโลกเนื่องจากสถานการ์ไวรัส Covid-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะงัก รวมไปถึงการขนส่งและคมนาคมที่ชะลอตัวลง ราคาน้ำมันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจึงปรับตัวลดลง

ผลจากการที่ไม่สามารถจูงใจรัสเซียให้ร่วมพยุงราคาน้ำมันได้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ถึงขั้นปิดตลาดลดลงถึง 10.07% มาอยู่ที่ 41.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือน พ.ค. ร่วงลง 9.44% มาอยู่ที่ 45.27 ดอลลาร์ต้อบาร์เรล

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นซาอุดิอาระเบียได้ประกาศที่จะเพิ่มน้ำมันให้มากยิ่งขึ้นให้ถึง 10 ล้านต่อบาร์เรลต่อวัน หรือ อาจจะมากกว่านั้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เพียงแค่ 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยิ่งกว่านั้น ยังให้ซาอุดิอารามโก รัฐวิสาหกิจพลังงานของประเทศปรับลดราคาขายน้ำมันให้กับชาติเอเชียลดลง ทำให้หุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นภายในประเทศปรับตัวลดลงกว่า 10% หลุดราคาไอพีโอในที่สุด

แล้วซาอุดิอาระเบียทำแบบนั้นเพื่ออะไรหละ?

การตัดราคาน้ำมันนั้นเท่ากับว่ากรีดข้อมือตัวเองชัดๆ เรียกว่าเป็นแหล่งเงินอันมหาศาลหรือ รายได้หลักของประเทศที่มีอยู่ทางเดียวคือการค้าน้ำมัน แต่ถ้าเราลองกลับมามองความจริงแล้วการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลกมากที่สุดนั่นก็คือ สหรัฐอะเมริกาไม่ใช่กลุ่มประเทศโซนโอเปกอย่างที่เราเข้าใจ โดยสามารถผลิตได้ถึง 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.6% ของกำลังการผลิตของโลก และส่วนที่สองคือมหาอำนาจหมีขาวอย่างรัซเซีย อยู่ที่ 11.2 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นร้อยละ 13.7% ของกำลังการผลิตของโลก และในส่วนอันดับ 3 ก็คือซาอุดิอารเบียคือ 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็น 12.1% ของกำลังการผลิตน้ำมันของโลกนั่นเอง

ภาพจาก wordpress.com

แล้วทำไมสหรัฐฯถึงได้ครองตำแหน่งผู้ผลิตน้ำมันที่มากที่สุดในโลกหละ?

ด้วยเทคโนโลยี Shale Oil หรือการสูบน้ำมันจากชั้นหินดานหรือเรียกว่าดูดมากจากชั้นหัวใจหลักของแหล่งน้ำมัน จึงทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวกระโดดขั้นมาเป็นที่หนึ่งของการผลิตน้ำมันได้ใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้

แต่อันที่จริงแล้วการสูบน้ำมันมากจาก หัวใจหลัก Shale Oil นั้นยังมีต้นทุนสูงอยู่มาก ราวๆ 40 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะต้นทุกการผลิตน้ำมันของซาอุดิอารเบียต่ำสุดอยู่แค่ 20 เหรียญต่อบาร์เรล เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยลของซาอุดิอารเบีย เรื่องการเทียบต้นทุนการผลิตของตัวเองที่ถูกกว่ามาทำเป็นสงครามราคา (Price War) กับสหรัฐฯและรัสเซียนั่นเอง

เติมน้ำมันเครื่องเกินขีดบน มีผลเสียอย่างไร

น้ำมันเครื่องทั่วไปๆ ใน 1 แกลลอน ของน้ำมันเครื่องนั้น จะมีอยู่ 4 ลิตร (หรือ 3.7 ลิตร โดยละเอียด) ซึ่งสามารถสังเกตได้จากขีดข้างถังแกลลอนโดยมากทางศูนย์ต่างๆจะเติมให้รถขนาดเล็ก หรือรถขนาดกลาง อยู่ประมาณ 3 ลิตรเศษๆ หรือถ้าวัดจากสายวัดระดับน้ำมันจะต้องห้ามเลยขีดบนสุดหรือขีด F จะเหมาะสมที่สุด หรือดูได้จากข้างแกลลอนน้ำมันจะถูกใช้ไป 3 ลิตรเศษ หรือโดยส่วนใหญ่แล้วและจะเหลือที่ก้นแกลลอนเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ

สำหรับคนที่ไม่ทราบว่าจะเหลือไว้ทำไม ด้วยความเสียดายจึงเติมเข้าไปจนหมดนั่นคือเรื่องที่ผิดนะครับ ฉะนั้นการเสียดายน้ำมันส่วนที่เหลือนั้นไม่ถูกต้องครับ เพราะเครื่องยนต์แต่ละขนาดนั้นจะถูกกำหนดปริมาณที่จำเป็นอยู่แล้ว ฉะนั้นแนะนำให้เก็บไว้ใช้กับงาน DIY ต่างๆภายในบ้านดีกว่าครับ

หากเติมน้ำมันเกินขนาดที่กำหนดไว้จะเกิดผลเสียอย่างไร?

การเติมน้ำมันเครื่องถ้าหากเกินระดับที่กำหนดมาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร (ดูจากสายวัดน้ำมันตอนดับเครื่อง) จะยังไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเติมมากเกินระดับ 10-20 มิลลิเมตร จะทำให้เครื่องยนต์ได้รับภาระมากกว่าปกติครับ แนะนำว่าให้ถ่ายออกจะดีกว่าครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งควรจะต้องเปลี่ยนกรองน้ำมันด้วยนะครับ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของเครื่องยนต์จะได้อยู่กับเราไปนานๆ

ดูสาระเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย

Nissan Motor เตรียมกู้เงินฝ่าวิกฤต กว่า 1.5 แสนล้านบาท

บริษัทนิสสันมอเตอร์ ได้ขอการพิจารณาจาก สามธนาคารใหญ่ และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งรัฐญี่ปุ่นให้การช่วยเหลือในด้านการกู้เงินมูลค่า ¥ 500 พันล้านเยน หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

นิสสันมอเตอร์พยายามที่จะหาแหล่งเงินทุนเพื่อประคับประคองธุรกิจยานยนต์ในยามวิกฤติ ไวรัส Covid-19 ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกตอนนี้ทำให้ยอดขายยนต์ทั่วโลกลดลง

อันที่จริงแล้วการเงินของทาง Nissan เองก็เริ่มไม่สู้ดีก่อนที่จะมีไวรัส Covid-19 แล้ว เพราะยอดขายทั่วโลกลดลงเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ช่วงเดือน เมษายน ปี 2019เป็นต้นมา เรียกว่ากำไรได้หายไปกว่า 87.6% หรือราวๆกว่า 39.2 พันล้านเยน

นิสสันได้ทยอยปิดโรงงานทั้งในยุโรปรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังระงับโรงงานในประเทศญี่ปุ่นเองอย่างต่อเนื่องเพราะความต้องการฐานลูกค้าที่ลดน้อยลง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม

BMW ปล่อย Concept i4 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ

BMW Concept i4 เป็นรถยนต์ระบบพลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล Gran Coupe ซึ่งถือกำเนิดจากแนวคิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังคงไม่ทิ้งความสวยหรดูสง่างาม

ด้วยเทคโนโลยี BMW eDrive Gen 5 ทำให้หัวใจหลักของการขับเคลื่อน BMW Concept i4 จึงเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด และยังสามารถส่งกำลังสูงสุดได้ถึง 390 กิโลวัตต์ 530 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม. ได้ภายใน 4 วินาทีมีอัตตราเร่งสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรตามมาตราฐาน WLTP

ด้วยความที่เป็นรถพลังงานไฟฟ้าจึงหมดปัญหาเรื่องการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ด้านหน้ารถแต่ทาง BMW ก็ยังออกแบบให้มีกระจังหน้าทรงใตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ดั่งเดิมของทาง BMW แต่เปลี่ยนบทบาทใหกลายเป็น “แผงอัจฉรียะ” ที่ติดตั้งเซนเซอร์ต่างๆเอาไว้

ด้านหลังโดดเด่นด้วยไฟท้าย Optical Light ที่ออกแบบให้เป็นรูปทรงตัว รับกับขอบบนของฝากระโปรงท้ายที่ยื่นออกมาเล็กน้อยเพื่อให้เป็นสปอยเลอร์หลัง ผสมความสปอร์ทด้วย แอร์ดิฟิวเซอร์ ด้านล่างท้าย ของตัวรถเพิ่มแต่งด้วยเส้นสีฟ้า BMW i Blue บ่งบอกถึงระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจาก BMW i Vision Dynamics

ที่นั่งคนขับออกแบบมาเพื่อเน้นการขับขี่ด้วยตัวเองเป็นหลัก จัดเต็มด้วยแผงคอนโซลเน้นแสดงผลแบบจอซึ่งสามารถแสดงส่วนของข้อมูลได้ชัดเจนทุกๆฟังค์ชั่นง่านต่อการใช้งาน โดยตัวหน้าจอใช้กระจกแบบไม่สะท้อนแสง ช่วยลดปัญหาเรื่องการขยับปรับเงาของจอแสดงผล

ภายในเน้นสีบรอนซ์ทองเป็นหลักประกอบกับความหรูหราห้องโดยสารขนาดใหญ่ เน้นความสบายของการโดยสาร เน้นพื้นที่ขากว้างเป็นพิเศษ การออกแบบเบาะนั่งให้มีลักษณะเป็นชิ้นเดียวเน้นสรีระกระชับตัว เป็นหลัก

BMW Concept i4 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ไร้เสียง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องสุนทรียภาพในการขับขี่ จึงจับมือกับนักแต่งเพลงระดับตำนานอย่าง Hans Zimmer ร่วมกับดีไซนเนอร์ด้านเสียงของ BMW อย่าง Renzo Vitale มีช่วยปรุ่งแต่งเสียงต่างๆตั้งแต่งเสียงเมนูควบคุมจนไปถึงเสียงในโหมดขับขี่ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่นี่

Goodyear พัฒนาไม่หยุด นวตกรรมใหม่เซนเซอร์พร้อมระบบเชื่อมต่อในยาง

พัฒนาไปอีกขั้นกับนวตกรรมยางที่ไม่ใช่แค่ความแข็งแรง และประสิทธิภาพการเกาะถนนเท่านั้นแต่ยังเพิ่มขีดความปลอดภัยด้วยการเพิ่มระบบเซนเซอร์อัจฉรียะเพิ่อเข้าสู่การใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติในอนาคต หนึ่งในคุณสมบัติของนวตกรรมใหม่นี้คือการลดระยะของเบรคลงได้ถึง 30%

ระบบการเชื่อมต่ออัจฉรียะในตัวยางจะวัดและบันทึกข้อมูลการทำงานของยางอย่างต่อเนื่องพร้อมปรับการทำงานให้สอดคล้องประสานกับส่วนอื่นๆในตัวรถผ่านการประมวลอัลกอริทึ่มผ่านระบบคลาวด์ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Goodyear เท่านั้น

ข้อมูลต่างๆของยางการเสื่อมสภาพ แรงดันและอุณหภูมิ น้ำหนักและสภาพพื้นผิวถนน ทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปที่ระบบอัตโนมัติของตัวรถ เพื่อปรับการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่แช่แค่ลดระยะเบรคเท่านั้นยังเพิ่มเสถียรภาพการยึดเกาะอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม Goodyear ยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวเทคโนโลยียางที่มีระบบการเชื่อมต่อออกสู่ตลาดแต่ระบุว่าการทดสอบในห้องแล็บปฎิบัติการไปแล้วรวมระยะทางกว่า 4.8 ล่านกิโลเมตรรวมไปถึงได้ส่งมอบให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ได้ทดสอบใช้งานด้วย