ก่อนค้ำประกันต้องรู้ ศึกษาก่อนเซ็นจะได้ไม่เป็นหนี้

หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การค้ำประกัน ธรรมดาๆ นั้นสามารถพลิกชีวิตขอบผู้ค้ำได้เพราะความเกรงใจ และบางคนอาจจะเจ็บช้ำกับสำนวนคำว่า “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ” เพราะการที่ไม่ได้ศึกษารายละเอียดการค้ำ จนทำให้ตัวเองนั้นเจ็บตัว ฉะนั้นก่อนค่ำประกันควรศึกษารายละเอียดและผลกระทบให้ดีก่อนครับคุณสมบัติของผู้ค้ำประกัน

บุคคลทั่วไปที่เป็นบุคคลในเครือญาติหรือไม่มีก็ได้

  • เป็นบุคคลที่มีอาชีพรายและรายได้ที่มั่นคง
  • เป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
  • มีถิ่นที่อยู่อาศัยที่แน่นอน
  • ไม่มีประวัติการติดเครดิตบูโรก่อนค้ำประกัน

เรื่องที่ควรศึกษาก่อนจะค้ำประกัน

  • บุคคลทั่วไปสามารถเป็นผู้ค้ำประกันได้
  • ทางสถาบันการเงินต่างๆ จะไม่นำข้อมูลของผู้ค่ำประกันมาร่วมพิจารณาสินเชื่อต่างๆของผู้กู้
  • ผู้ค้ำประกันจะไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของผู้กูเ
  • ดอกเบี้ยของผู้กู้จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆในการผ่อนชำระหนี้
  • ผู้ค้ำประกันต้องรับความเสี่ยงเองแต่เพียงผู้เดียวหากผู้กี้ไม่ยอมจ่ายหนี้สินเชื่อต่างๆที่กู้มา

ทำไมจะต้องมีผู้ค้ำประกัน

  • เหตุผลของการมีผู้ค้ำประกัน สถาบันการเงินจะเพิ่มความมั่นใจในตัวผู้กู้มากยิ่งขึ้นเพราะถ้าหากผู้กู้ไม่ยอมจ่ายหนี้ ก็ยังมีผู้ค่ำประกันคอยรับผิดชอบแทนอยู่
  • ค่ำประกันอย่างไรให้ปลอดภัยหรือเกิดปัญหาน้อยที่สุด
  • การที่จะเริ่มตัดสินใจค้ำประกันให้กับใครซักคนนอกจากผู้กู้จะต้องไว้ใจได้แล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงอื่นๆอีกคือ
  • ผู้ค้ำควรทราบประวัติทางการเงินของผู้กู้ เพราะคุณอาจจะถูกหลอกให้ค้ำประกันและรับผิดชอบหนี้แทนได้
  • อ่านเอกสารต่างๆ ของผู้กู้เกี่ยวกับการค้ำประกันให้รอบคอบก่อนเซ็นชื่อเพราะเมื่อลงลายมือชื่อแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
  • ผู้ค้ำควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงในการเป็นหนี้หรือไม่หากลูกหนี้หนีหาย หรือเบี้ยวสัญญา

กฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกัน มีดังนี้

กฎหมายค้ำประกันฉบับปรับปรุงใหม่ ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ที่มีผลบังคับใช้แล้วโดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจากฉบับเก่าดังนี้

กฎหมายค้ำประกันใหม่จะมีผลคุ้มครองทำให้ ต่อไปนี้ ผู้ค้ำประกันจะได้รับการรับรองสิทธิ์และความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับความผิดแทนลูกหนี้ไม่ว่าจะเป็นเงินต้นหรือเงินดอกเบี้ยที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ผู้ค้ำจะต้องรับผิดชอบโดยที่ผู้ค้ำไม่รู้เลยว่า ผู้กู้นั้นไม่ได้จ่ายเงินหรือกรณีกำหนดให้สัญญาทำให้ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ร่วม

แต่หลังจากที่กฎหมายนี้บังคับ ผู้ค้ำประกันจะได้การคุ้มครองดังนี้

  • การค้ำประกันในอนาคตนี้มีเงื่อนไข (เช่นความเสียหายที่เกิดจากการค้ำประกันบุคคล) ต้องกำหนดรายละเอียดของหนี้และขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันรวมทั้งจำกัดความรับผิดของค้ำประกันไว้เฉพาะหนี้ตามสัญญานั้น
  • กำหนดให้ข้อตกลงที่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้โมฆะ (สัญญาค้ำประกันที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ร่วมไม่มีผลบังคับ ผลคือเจ้าหน้าที่ต้องเรียกลูกหนี้มาชำระหนี้ก่อน จนกระทั่งลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้วจึงค่อยมาเรียกร้องกับผู้ค้ำประกัน)
  • เพิ่มเติมหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของเจ้าหนี้ให้ต้องค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัด และผลกรณีเจ้าหนี้มิได้บอกกล่าว และกำหนดให้สิทธิแก่ผู้ค้ำประกันในการชำระหนี้ที่ถึงกำหนดได้ ผลคือเวลาลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหน้าที่จะต้องแจ้งภายใน 60 วัน เพื่อให้ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้เพื่อไม่เกิดดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดโดยที่ผู้ค้ำประกันไปเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้ภายหลัง หากไม่แจ้งผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดชอบ
  • ให้ผู้ค้ำประกันได้รับประโยชน์จากการที่เจ้าหน้าที่กระทำการใดๆ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ให้แก่ลูกหนี้ด้วย รวมถึงกำหนดให้ข้อตกลงเป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ค้ำประกันเป็นโมฆะ
  • กำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากควาผิดในหนี้อันมีกำหนดเวลาแน่นอน หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้และห้ามกำหนดข้อตกลงไว้ล่วงหน้าให้ผู้ค้ำประกันยินยอมที่จะประกันหนี้ต่อไปแม้ว่าเจ้าหน้าจะผ่อนชำระให้แก่ลูกหนี้แล้ว

ฉะนั้นก่อนที่จะค้ำประกันให้กับญาติสนิทมิตรสหาย จะต้องศึกษาเงื่อนไขต่างๆอย่างละเอียด เพราะไม่ใช่แค่จะผิดใจกับผู้กู้เท่านั้น ผู้ค้ำอาจจะมีหนี้ติดตัวอีกด้วยก็ควรศึกษารายละเอียดและมั่นใจว่า จะไม่มีปัญหาอื่นๆตามมานะครับ
อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่นี่

5 ข้อที่ควรพิจารณาซักนิด วางแผนฉุกคิดก่อนจะซื้อรถ

ในปัจจุบันรถยนต์ถือเป็นปัจจัยหลักสำหรับมนุษย์ เพราะในเรื่องของการคมนาคมการเดินทางของของบ้านเรานั้นยังไม่มีความสะดวกเท่าที่ควร คนไทยจึงหันมาเลือกที่จะเสียเงินไปกับการผ่อนรถยนต์มากกว่าที่จะใช้รถยนต์สาธารณะทั้งสะดวกและรวดเร็วกว่า การตัดสินใจเพื่อที่จะซื้อรถจึงมีมากยิ่งขึ้นฉะนั้นก่อนที่คิดจะเป็นหนี้ก้อนโตเราลองมาสำรวจกันก่อนว่า ตอนนี้เรามีข้อไหนบ้างที่ควรจะฉุกคิดก่อนที่จะซื้อรถ

1.ราคาและภาระหนี้สิน (ค่างวดของการผ่อนต่อเดือน)

เรื่องภาระหนี้สินเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับการซื้อรถยนต์เพราะรถยนต์นั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง ถึงเราจะเล็งเห็นความสำคัญของรถยนต์ และประโยชน์ต่างๆแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ค่างวดในการผ่อนต่อเดือนอาจจะทำให้รายได้คุณหายไปในแต่ละเดือนถึงขั้นไม่พอใช้กันเลยทีเดียว

ทางไฟแนนซ์มักจะพิจารณาในเรื่องของรายได้และค่างวดการผ่อนในแต่ละเดือนไม่ให้เกิน 50% ของรายได้แต่ทางที่ดีเราควรจะพิจารณาในเรื่องของหนี้สินรวมทั้งค่าผ่อนรถและบัตรเครดืตไม่ควรเกิน 30% ของมูลค่าทรัพย์สินที่เรามีจะดีกว่า

แต่การออกรถก็ยังพอมีทางออก ด้วยการวางเงินดาวน์ในการออกรถให้ภาระหนี้ในแต่ละเดือนนั้นลดลงก็จะช่วยให้หนี้ในแต่ละเดือนของคุณลดลงไป หมายความว่าหลังจากที่คุณเชคเครดิตกับไฟแนนซ์แล้ว ได้ยอดจัดวงเงินเต็มราคารถ แต่ต้องการกู้เพียง 90% ก็วางเงินดาวน์ที่ 10% ของราคารถ ก็จะทำให้เงินต้นลดลงไปและค่างวดของแต่ละเดือนก็ลดลงไปด้วย

2.ค่าใช้ที่แอบแฝงในแต่ละเดือน

การออกรถไม่ใช่ว่าจะผ่อนไหวแล้วจบแล้วก็คิดจะซื้อทันที เพราะการออกรถแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาอีกเช่น
ค่าภาษีรถยนต์ ต่อปีจะอยู่ราวๆ 600-1200 บาทขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์และขนะของเครื่องยนต์ ส่วนค่าประกันรถยนต์ ก็จะขึ้นอยู่แพคเกจ
ถ้าเป็นประกันมือหนึ่งจะอยู่ราวๆ 12,000 บาทต่อปี หรือ ถ้าเป็น 2 จะอยู่ราวๆ 8000 บาทต่อปี

  • ค่าต่อทะเบียนรายปี 1500-3000 ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์และขนาดของเครื่องยนต์
  • ค่าบำรุงรักษาต่อปีเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อปีตามยี่ห้อและระดับของรถยนต์ เพราะรถยนต์จะต้องมีการถ่ายของเหลวตามระยะอยู่แล้วโดย1 ปีจะถ่ายประมาณ 2 ครั้ง
  • ยาง 4 ล้อ เปลี่ยน 4 ปี ครั้ง ราวๆ 20,000 ก็นำมาหารเป็นรายปี จะเหลือปีละ 5,000 บาท ยังไม่รวมไปถึงการซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอหรือพังตามกาลเวลา
  • ค่าน้ำมัน การเดินทางในแต่ละครั้งก็จะต้องใช้น้ำมันค่าเดินทางต่อเดือนจะอยู่ราวๆ 4,000 บาท แล้วแต่ระยะการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งคำนวนอย่างต่ำๆแล้ว 4,000 บาท ต่อเดือน จะเป็น 48,000 บาทต่อปี
  • ค่าทางด่วน สมมุตว่าคุณเป็นทำงานไกลบ้านมากๆ อาจจะต้องเสียค่าทางด่วนราวๆ เดือนละ 1,000 บาท ก็จะเป็น 12,000 บาทต่อปี
  • ค่าล่างรถขัดสี บางคนอาจจะขยันหน่อยล้างรถเองเป็นประจำ แต่ก็เลี่ยงที่จะมีการบำรุงรักษาขัดสีไม่ได้ 3เดือนต่อครั้งก็ราวๆ 400 บาทต่อครั้ง ก็จะเป็นเงิน 1,200 บาทต่อปี

ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อปี รวมๆกันแล้วจะอยู่ราวๆ 71,200 บาท ต่อปีนั่นเองครับ

3.สะดวกสบายในการเดินทาง

แน่นอนว่าการมีรถส่วนตัวก็เป็นข้อดีสำหรับเดินทาง ทั้งประหยัดเวลาไม่ต้องเสียเวลารอรถประจำทางแต่ก็ต้องดูด้วยว่า ที่อยู่อาศัยของเรา มีสภาพรถติดบ่อยหรือไม่ หรือใกล้กับรถไฟฟ้ารึเปล่า

4.รถยนต์สามารถสร้างรายได้ให้เราได้หรือไม่

การมีรถยนต์ใช้งานเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าก่อให้เกิดแต่หนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรใดๆ ฉะนั้นการเลือกรถแต่ละประเภทก็ควรเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคนด้วยเช่น ที่บ้านนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับการทำสวนทำไร ก็ต้องเป็นรถกระบะ แต่ถ้าหากเป็นพนักงานอ๊อฟฟิสใช้งานในเมืองก็แนะนำให้เป็นรถ ECO Car ประหยัดน้ำมัน และต้องทำความเข้าใจว่า รถยนต์เป็นทรัพย์สินเสื่อมราคา เพราะถ้าหากคุณยิ่งใช้ค่าความเสื่อมก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

5.จำนวนของสมาชิกในครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากในเรื่องของการใช้งานและความจำเป็นแล้ว จะต้องมองในเรื่องของจำนวนสมาชิกในครอบครัวอีกด้วยเพราะถ้าหากการออกขนาดเล็กแต่มีครอบครัวใหญ่ ก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์ เพราะจะทำให้เดินทางลำบากมากยิ่งขึ้น รถยนต์ในปัจจุบันก็มีหลายแบบหลายสไตล์ให้เลือกนะครับฉะนั้นคิดให้ดีก่อนที่จะซื้อครับ

และนี่ก็เป็น 5 ข้อที่ควรวางแผนและฉุกคิดก่อนที่จะซื้อรถ เพราะบางครั้งแล้ว รถยนต์นั้นถึงจะเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองสำหรับบางคนเพราะด้วยเหตุผลทางการเดินทาง หรือเหตุผลทางด้านธุรกิจ แต่ก็ควรฉุกคิดก่อนที่จะออกเพราะของทุกอย่างนั้นซื้อมาด้วยเงินฉะนั้นวางแผนล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ

8 วิธีสังเกตดูรถมือสองแบบพื้นฐานแบบมองด้วยตาเปล่าก่อนซื้อ

ขั้นตอนการดูรถมือสองมีมากแต่ถ้าจะถามว่าคนทั่วๆไปอย่างเราๆ สามารถดูรถออกหรือไม่ผมขอตอบได้เลยว่าวิธีการดูรถง่ายๆนั้นพอจะมี ซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจว่า จะได้รถมือสองสวยๆอย่างน้อยๆสมบูรณ์สัก 90% ก็ยังดี และ 7 วิธีที่สังเกตรถมือสองแบบพื้นฐานนั้นมีอะไรบ้างผมจะแนะนำดังต่อไปนี้ครับ

1.ดูจากลักษณะสมดุลของรถ การดูสมดุลโดยการนำรถจอดในพื้นที่ราบและต้องมั่นใจว่าเรียบเสมอพอสมควรนะครับ ให้คุณสังเกตจากระดับที่หน้ารถว่าด้านซ้ายและด้านขวาของรถนั้นเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่หรือสังเกตุจากความห่างของระดับซุ้มล้อกับยางว่าห่างเท่ากันหรือไม่ถ้าหากเอียงหรือไม่เท่ากันก็ให้สันนิษฐานว่า ช่วงล่างมีปัญหาอย่างแน่นอน

2.ระยะห่างของตะเข็บช่องไฟของรถยนต์ สำหรับรถที่ผ่านการ QC จากโรงงาน ระยะห่างของช่องไฟนี้จะต้องมีความเท่ากันเสมอกันไม่ชิดจนเกินไปหรือไม่ห่างเกินไป รวมไปถึงตามตะเข็บตัวถังต่างๆต้องไม่มีรอยแตกร้าวและซิลิโคนตามขอบฝากระโปรงหรือฝาท้าย หรือตามขอบต่างๆจะต้องไม่ฉีกขาดหรือแหว่งด้วย

3.น๊อตต่างๆของรถจะต้องไม่มีการไข การดูน๊อตตามจุดต่างๆของตัวรถสังเกตได้ไม่ยาก การประกอบของโรงงาน จะพ่นสีพื้นทับน๊อตเสมอ ฉะนั้นถ้าหากว่ามีการไขหรือเคยถอดน๊อตเหล่านั้นมาก่อน จะมีรอยบิ่นและรอยถลอก ก็ควรถามประวัติของเจ้าของอย่างละเอียดว่าเคยผ่านการทำอะไรมาบ้างนะครับ

4.ไฟต่างๆจะต้องมีสภาพเก่าหรือใหม่เท่ากันเสมอ การสังเกตไฟหน้าหรือไฟท้ายด้วยตาเปล่าจะต้องมีสภาพเก่าใหม่เสมอกันเพราะรถมือสองจะต้องผ่านการใช้งานมาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ฉะนั้นการจอดตากแดดแล้วโคมไฟเหลืองหรือซีดไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรสำหรับรถมือสองครับ

5.สังเกตเสียงจากการทดสอบ เปิด-ปิด ประตูรวมไปถึงฝาท้ายกระโปรง ตัวล๊อคสามารถทำงานได้ปกติดี สำหรับการสังเกตเสียงประตูฝาท้าย และกระโปรง จะสามารถบ่งบอกได้ว่ารถคันนั้นเคยผ่านการชน เคาะ หรือตัดต่อมาหรือไม่เพราะการทดสอบปิดและเปิดประตูหลังจากที่ผ่านการซ่อมตัวถัง จะไม่สนิทเหมือนเดิม ฉะนั้นในจุดนี้สามารถสังเกตุได้ครับ

6.การใช้ไฟฉายส่องสะท้อนสีเพื่อดูจุดต่างๆของสี โดยรถมือสองส่วนใหญ่จะมีการทำสี อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณเห็นว่าสีมีลายเหมือนหนังไก่ และบางจุดนั้นมีการปุพองของสี หรือพบเจอความไม่เสมอของสีอาจจะเห็นว่ามีการหักเหของแสงแสดงว่า จุดนั้นมีการผ่านการโป้วสีมาอย่างแน่นอน

7.ทดสอบการทำงานของระบบสัญญาณต่างๆ รวมไปถึงสัญญาณไฟต่างๆ ว่ายังใช้งานได้ปกติตรวจสอบหน้าปัดไมล์ว่าไม่มีไฟสัญลักษณ์ต่างๆ โชว์เตือนว่าเสียหายในส่วนใดๆ

8.ห้องเครื่องต้องไม่มีรอยรั่วหรือคราบของเหลวต่างๆ วิธีดูความสมบูรณ์ของเครื่องด้วยการตรวจเช็คคราบน้ำมันหรือ คราบสกปรกต่างๆที่อาจจะเกิดจากอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ รวมไปถึงระบบสายไฟต่างๆของภายในเครื่องยนต์

ในปัจจุบันรถมือสองสามารถหาซื้อได้ 2 แหล่งหลักๆ คือ เต็นท์รมือสองหรือ ตามบ้านสำหรับบางคนแล้วการที่จะซื้อรถมือสองซักคันก็จะซื้อตามคำแนะนำของญาตมิตรเพราะคิดว่าความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป ฉะนั้นสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะไปซื้อรถมือสองซักคันก็จะต้องดูให้ถี่ถ้วนนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

ปรับโครงสร้างหนี้ ทำอย่างไรให้ผ่านพ้นในช่วง Covid-19 ไปด้วยดี

การปรับโครงสร้างหนี้เป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดำเนินได้ง่ายและสะดวกมายิ่งขึ้นซึ่งหลังจากเหตุการณ์ Covid-19 เชื่อว่าเป็นวิกฤติทางการเงินรวมไปถึงภาวะขาดทุนหรือขาดรายได้ของใครหลายๆคนอย่างแน่นอน ทั้งหนี้ภาระบ้าน หนี้ภาระทางธุรกิจ รวมไปถึง ภาระการผ่อนรถยนต์

แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรดีหละ?

1.หากคุณเริ่มรู้ตัวว่าเริ่มต้นที่จะผ่อนไม่ไหว ไม่ควรปล่อยให้เป็นหนี้เสีย ควรติดต่อสถาบันการเงินเพื่อที่จะได้ไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต

2.แต่ถ้าหากเป็นหนี้เสียแล้ว สามารถติดต่อสถาบันการเงินนั้นๆ เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมต่อการผ่อนได้

3.การเจรจาเป็นสิ่งสำคัญ การยื่นข้อตกลงต่อสถาบันการเงินว่าแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้แบบนั้นที่จะเหมาะสมกับตัวคุณให้ได้มากที่สุด

วิธีการปรับโครงสร้างหนี้ มีหลายแบบ

1.ยืดเวลาหนี้ การยืดระยะเวลาของหนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดหรือเรียกว่าเป็นวิธีที่ประนีประนอมที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะช่วยให้ระยะเวลาที่ยาวออกไปและยอดผ่อนในแต่ละเดือนก็จะลดลงตามไปด้วย

  • ในการพิจารณาการยืดระยะเวลาผ่อนหนี้นั้นจะอิงตามอายุของผู้ขอประกอบด้วยซึ่งรายละเอียดเวลาผ่อนหลังชำระจะปรับโครงสร้างหนี้อยู่ประมาณ 8 ปี

2.การพักชำระเงินต้น ช่วยลดภาระการผ่อนได้ชั่วคราว โดยปกติแล้วค่างวดที่ผ่อนชำระจะประกอบด้วย 2 ส่วนก็คือ เงินต้นกับดอกเบี้ย เช่นเดิมทีสัญญาเงินกู้กำหนดผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน ละ 12,000 บาท จะประกอบด้วยเงินต้น 4,000 และดอกเบี้ย 8,000 บาท การพักชำระเงินต้นจะทำให้เหลือค่างวดนั้นเพียงแค่ 4,000 บาท ซึ่งเงินต้นนี้จะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในช่วงท้ายสัญญา หรือเรียกว่า Bolloon หรือทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้และดอกเบี้ยนานขึ้น

  • สถาบันการเงินอาจจะพักชำระเงินต้นเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นลูกหนี้อาจจะนำเงินก้อนมา โปะ เพื่อที่จะลดหนี้ก่อนกำหนดตามสัญญา ซึ่งจะทำให้ภาระในเรื่องของดอกเบี้ยค่ามช้จ่ายมีจำนวนลดลง

3.การลดอัตราดอกเบี้ย ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงทำให้ค่างวดที่จ่ายแต่ละเดือนแบ่งไปตัดลดเงินต้นได้มากขึ้น และเมื่อเงินต้นลดลง ภาระดอกเบี้ยก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกรากู้ยืมโดยมีอัตราดอกเบี้ย MOR+2% ต่อปี ได้รับผลกระทบทางเศราษฐกิจทำให้ผ่อนชำระที่อัตราดอกเบี้ยเดิมไม่ไหวสามารถยื่นขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลง

  • การพิจาณาของสถาบันการเงินถือเป็นที่สิ้นสุด ทางสถาบันการเงินจะลดให้หรือไม่ดูจากองค์ประกอบโดยรวมหลายปัจจัน เช่น ต้นทุนของสถาบันการเงิน ประวันการผ่อนชำระของลูกหนี้ ประะเภทของสินเชื่อและหลักประกัน เป็นต้น

4.การยกหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระหนี้ เมื่อต้นปี 2563 แบงก์ชาติได้ประกาศให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยปรับบนฐานของงวดที่ผิดนัดชำระเงินจริงเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย

  • สถาบันการเงินสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยปรับได้ แต่จะต้องไม่เป็นภาระแก่ลูหนี้จนเกินสมควร หรือเป็นเหตุทำให้ลูกหนี้รับภาระหนี้สูงมากขึ้นจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ กลายเป็นหนี้เสียในเวลาต่อมา

5.เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ในภาวะและสถานการณ์ในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง เงินทุนหมุนเวียน เป็นปัจจัยที่จะช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจในยามที่ลำบาก และทำให้มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วได้ภายหลัง สถาบันการเงินแห่งชาติจึงสนับสนุนให้สถาบันการเงินสินเชื่อ Working Capital ใหม่แก่กิจการที่ยังมีศักยภาพ โดยแยกการจัดสินเชื่อ Working Capital นี้ออกจากสินเชื่ออื่นซึ่งอาจจะเป็น NPL ไปแล้ว ช่วยยังให้กิจการยังมีบัญชีสินเชื่อสถานะปกติไว้ใช้งานได้

  • ในส่วนของผู้กู้ควรเตรียมเหจุผลและการประมาณการใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า อาทิเช่นการ ค่าจ้างพนักงาน ค่าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆในการดำเนินงาน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าอาคารสำนักงาน เป็นต้น เพื่อให้สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาวงเงินด้วย
  • สถาบันทางการเงินจะพิจารณาจากประวัติการผ่อนชำระ เช่น 1 ปี ที่ผ่านมาลูกหนี้ได้มีการชำระหนี้ทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่าได Working Capital ที่ขอเพิ่มเติมิดเป็นสัดส่วนเท่าไดของภาระหนี้ทั้งหมด

6.การเปลี่ยนประเภทหนี้ หนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงควรถูกเปลี่ยนประเภทเป็นหนี้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่นลูกหนี้ SMEs ใช้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินเป็นเงินทุนหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยสูง 18% และ 28% หรือลูกหนี้มีวงเงิน O/D ใช้วงเงินเต็ม

  • สถาบันการเงินอาจเปลี่ยนจากสินเชื่อ หมุนเวียนที่อัตราดอกเบี้ยแพงเหล่านี้ไปเป็นสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลาชำระ (Term Loan) ที่ดอกเบี้ยถูกลง

7.การปิดจบด้วยเงินก้อน หากคุณมีความสามารถหาเงินก้อนได้จำนวนหนึ่ง หรือจากเงินออมหรือจากการยืมญาติหรือเพื่อน หรือจากการขายทรัพย์สิน แม้ว่าจะไม่มากพอต่อยอดหนี้ที่มีอยู่แต่ก็สามารถเจรจาขอส่วนลดให้เพียงพอต่อการปิดหนี้ปิดบัญชีได้ ซึ่งจะทำไห้หมดทั้งภาระและค่างวดรายเดือนไปอีกก้อนหนึ่ง

  • สถาบันการเงินอาจจะกำหนดให้ชำระเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสัม้นๆ 6 เดือน หรือราวๆ 1-2 งวด อย่างไรก็ตาม การเจรจาขอปิดโดยมีส่วนลดจะทำใด้ค่อนข้างยากในกรณีที่มีหลักประกันมูลค่าสูงกว่ายอดนี้

8.การรีไฟแนนซ์ (refinance) คือการปิดสินเชื่อจากเจ้าหน้าที่เดิมและย้ายไปใช้สินเชื่อของเจ้าหนี้ใหม่ ที่ทำให้เงื่อนไขดีกว่า เช่นอัตราดอกเบี้ยถูกลง โดยนำหนี้ใหม่ไปชำระหนี้เดิมก่อนในประเทศไทนอาจจะคุ้นเคยกับการรีไฟแนนซ์สินเชื่อโดยมีรถ บ้าน หรือธุรกิจเป็นหลักประกันอยู่ระดับหนึ่งแล้ว

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

วิธีดูแลรถสีขาวให้สว่างกระจ่างใสไม่เหลือง

สำหรับคนที่ใช้รถสีขาวอาจจะหนักใจในเรื่องของการรถสีขาวจะต้องดูแลอย่างพิถีพิถันเพราะคนที่ออกรถสีขาวมักจะเน้นหนักไปในเรื่องของการเสริมบารมี แต่ถ้าหากคุณดูแลไม่ดี รถสีขาวนี่แหละจะมีความชัดเจนในเรื่องของคราบสกปรกและคราบฝังแน่นมากกว่าสีอื่นๆ จนอาจจะทำให้บารมีหดหาย

1.หมั่นล้างรถเป็นเป็นประจำ

เรียกว่าเป็นอันดับแรกๆ เพราะรถสีขาวเป็นรถของคนขยัน เพราะพึงต้องทำเป็นประจำเพราะไม่ว่าจะเป็นคราบ ขี้นก โคลน หรือฝุ่น ก็เป็นอันตรายต่อสีขาวทำให้รถของคุณเหลืองได้ จึงจำเป็นจะต้องล้างรถอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย ซึ่งน้ำยาทำความสะอาดของสีขาวก็จะเป็นสูตรเฉพาะและจะต้องล้างรถโดยการแบ่งฟองน้ำหรือผ้าเป็นสองส่วน คือส่วนที่ใช้ล้างและส่วนที่ใช้เช็ดให้แห้งเคลือบน้ำยา coating film เพื่อลดการจับตัวของฝุ่น วิธีนี้จะทำให้รถคุณใหม่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน

2.การเคลือบสีรถตามร้าน Car Care ก็ช่วยได้นะ

การขับเคลือบสีรถสีขาวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้รถไม่เหลืองแบบชัวร์อีกหนึ่งวิธี นอกจากจะทำให้รถของคุณดูเงางามแล้ว ยังทำให้สีของคุณเงาลื่นอีกด้วย แต่จะมีค่ามช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงขึ้นอยู่กับแพคเกจของแต่ละร้าน รวมไปถึงคุณภาพน้ำยาที่ใช้อีกด้วย แต่ก็คุ้มที่จะทำครับเพราะสามารถกันคราบฝั่งแน่นของฝุ่น ยางมะตอย หรือแม้กระทั่งคราบฝังลึกได้ดีเลยนะครับ

สำหรับคนที่มีงบจำกัดก็อาจจะขัด 3-6 เดือนต่อครั้ง และแนะนำให้เช็ดเคลือบแวกซ์ด้วยตัวเองหลังล้างรถทุกครั้ง เพื่อรักษาสภาพของผิวเคลือบให้คงทนเหลืองช้าลง

3.หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดเป็นระยะเวลานานๆ

บอกเลยว่า แสงแดด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักๆที่แทบจะหลีกเลี่ยงได้ยากและถ้าเป็นแสงแดดแรงๆตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ จะทำให้สารเคลือบต่างๆที่รถคุณเสื่อมสภาพเร็วมาก ทางที่ดี ถ้าหากหลีกเลี่ยงการจอดกลางแดดไม่ได้ แนะนำให้ใช้ผ้าคลุมรถชนิดกันแสง UV ดดีกว่านะครับ

4.ใช้ดินน้ำมันในการเช็ดรถและขัดคราบสกปรก

ดินน้ำมันสำหรับขัดรถ เป็นอุปกรณ์ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า สามารถขัดคราบเหลืองและสกปรกฝังลึก แต่ย้ำนะครับว่าไม่ใช่ดินน้ำมันสำหรับมาปั้นทำงานประดิษฐ์ เพราะด้วยความหนึดของดินน้ำมันจะช่วยซับสิ่งสกปรกต่างๆของรถซึ่งจะขัดคราบได้ละเอียดกว่าฟองน้ำ

5.หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้

การจอดรถใต้ต้นไม้เป็นการคิดสั้นสำหรับคนที่ใช้รถสีต่างๆ เพราะต้นไม้บางชนิดจะมียางที่สามารถทำลายกัดกร่อนหรือฝังลึกในสีรถยนต์ของคุณได้รวมไปถึงสิ่งต่างๆบนต้นไม้ที่จะร่วงมาติดอยู่อยู่กับรถของคุณ

6.ใช้น้ำยาลบรอยคราบเหลืองหรือขี้ไคลรถ

การใช้น้ำยาลบรอยหรือน้ำยาระเบิดขี้ไคลหรือครีมลบรอยขยแมวต่างๆ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับรถยนต์อันที่จริง คนใช่รถควรมีนั่นแหละ แต่สำหรับรถสีขาวอาจจะต้องดูแลมากหน่อย ปัจจุบันมีราคาที่ไม่แพง เริ่มต้นที่ขวดละ ประมาณ 100 บาทเท่านั้น แล้วแต่คุณภาพของยี่ห้อนั้นครับ

7.ควรเช็ดให้แห้งอยู่เสมอ

หากคุณเป็นคนที่ขับรถอย่างไม่ระมัดระวังอาจจะมีการเหยียบน้ำกระเด็นมาที่ตัวรถหรือ ลุดฝนตกน้ำท่วม สิ่งที่ควรทำหลังจากการใช้งานคือการเช็ดรถให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอซึ่งจะช่วยลดคราบฝังแน่นได้เป็นอย่างดี

และนี่ก็เป็นทริคเล็กๆน้อยๆ สำหรับการดูแลรถยนต์สีขาวของคุณไม่ให้เหลือง หมองเร็ว และคุณสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช่เพื่อรักษาสภาพรถของคุณให้มีสภาพสีที่สวยไปนานๆ ในส่วนของรถที่หมองก็สามารถหยิบยกเอาเทคนิคเหล่านี้ไปฟื้นฟูสภาพให้รถกลับมาดูดียิ่งขึ้นนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

3 ขั้นตอนง่ายๆเตรียมตัวก่อนนำรถไปตรวจ ตรอ.

Car mechanic holding clipboard in a garage

เข้าสู่ศักราชใหม่ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านก็เริ่มวุ่นๆ กับการเสียภาษีต่อทะเบียน แต่สำหรับรถมอเตอร์ไซด์ ที่มีอายุเกิน 5 ปี และรถยนต์ที่เกิน 7 ปี ก่อนทางขนส่งจะอนุมัติก็จะต้องมีการตรวจสภาพรถยนต์ โดยการเข้าตรวจที่ สถานตรวจสภาพรถของเอกชน หรือ (ตรอ.) ที่เรารู้จักกันว่าจะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง และต้องเตรียมตัวอย่างไร วันนี้มี 3 ขั้นตอนง่ายๆก่อนไปตรวจสภาพกันครับ

1.เล่มทะเบียนรถ

เล่มทะเบียนเป็นเอกสารสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ที่ใช้ในการดำเนินการต่างๆ สำหรับการตรวจ ตรอ. ฉะนั้นห้ามลืมเด็ดเพราะคุณจะต้องเสียเวลาเพื่อขับรถกลับไปเอามาอย่างแน่นอน

2.เงินในกระเป๋า

การตรวจรถกับ ตรอ. จะมีค่าตรวจโดยค่าใช้จ่ายนั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของรถนั้นๆ โดยแบ่งประเภทเป็น รถยนต์น้ำหนักไม่เกิน 2ตัน อยู่ที่คันละ 200 บาท รถยนต์น้ำหนักเกิน 2 ตัน จะอยู่ที่คันละ 300 บาท ซึ่งเป็นราคาท่าบริการที่สมเหตุสมผลไม่แพงจนเกินไป

3.ตรวจไฟสัญญานต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้สมบูรณ์

การตรวจสภาพรถและระบบสัญญานต่างๆ ทั้งไฟเลี้ยว ไฟหน้า ไฟเบรคต่างๆ ว่ามีการดัดแปลงสีให้ผิดประเภทหรือชำรุดเสียหายหรือไม่ รวมไปถึงควันดำ ผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะถ้าหากรถไม่ผ่านเกณฑ์ เราจะต้องนำรถกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง แล้วจึงนำกลับมาตรวจใหม่อีกครั้งภายใน 15 วัน ทำให้เสียเวลาและเงินค่าตรวจเพิ่มอีก ดังนั้นถ้าหากเพื่อความไม่ยุ่งยากควรตรวจเช็คระบบต่างๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถใช้งานได้ก่อนนำไปตรวจครับ

และนี่ก็เป็น 3 ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการเตรียมตัวก่อนที่จะนำรถไปเข้าตรวจ ตรอ. หากคุณทำตามเพียง 3 ข้อนี้ การตรวจ ตรอ.ก็จะเป็นแค่เรื่องง่ายๆและ ไม่ทำให้คุณเสียเวลามากอีกด้วยครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม


เตรียมตัวก่อนจัดไฟแนนซ์ ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

หลายๆคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ การขอสิ้นเชื่อเพื่อซื้อบ้านซื้อรถจากธนาคารจะทราบกันดีกว่า การขอสินเชื่อแต่ละครั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครๆ ก็สามารถผ่านการอนุมัติได้โดยเฉพาะอาชีพอิสระและบุคคลที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ และทำงานไม่เป็นหลักแหล่งยิ่งมีโอกาสที่จะได้สินเชื่อน้อยนิด

วันนี้ Kitsadagoodcar จะมาบอกเคล็ดไม่ลับกับคนที่กำลังต้องการจะมีรถยนต์ไว้ใช้งาน ยิ่งถ้าเป็นรถคันแรกของคุณยิ่งจะต้องดูและศึกษาเป็นพิเศษรวมทั้งเทคนิคสำหรับการเตรียมเอกสารเพื่อจัดไฟแนนซ์ซื้อรถมือสองให้ผ่านฉลุย จนไปถึงการอนุมัติสินเชื่อตามที่คุณหวังเอาไว้ มาอ่านดูครับว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรและเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

1.เอกสารสำหรับใช้เพื่อเป็นหลักฐานการยื่นขอสินเชื่อต้องเตรียมอย่างไรบ้าง

เอกสารทางด้านรายรับ สมุดบัญชีและการเดินบัญชี ต้องพร้อม

เรียกว่าเป็นเอกสารหลักๆชี้เป็นชี้ตายผู้ขอสินเชื่อเลยก็ว่าได้ สำหรับสมุดบัญชีเดินรายได้เพราะไฟแนนซ์ต้องการจะทราบการมีรายได้ของผู้กู้เพื่อพิจารณาว่ามีการฝากเท่าไหร่ในแต่ละเดือนและรายได้ของแต่ละเดือนนั้นสม่ำเสมอหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว การมีรายรับที่ไม่สม่ำเสมอนั้นทางไฟแนนซ์จะมองว่าคุณนั้นมีความเสี่ยงในเรื่องของรายได้มักจะไม่อนุมัติให้ ฉะนั้นการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอนั้นสำคัญมากๆ สำหรับการอนุมัติของสถานบันการเงิน

2.เอกสารหนังสือรับรองเงินเดือนต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน

เอกสารการทำงานที่ยื่นประกอบนั้นจะต้องมีระยะเวลาในการทำงานก็นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน เพื่อยืนยันให้ไฟแนนซ์มั่นใจว่าคุณมีรายได้มาชำระหนี้ และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งนั้นคือจะต้องมีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 6 เดือน ด้วยยิ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการอนุมัติผ่านยิ่งขึ้น เพราะไฟแนนซ์จะเห็นว่า ผู้กู้ได้ทำงานในที่นั้นๆ มานานแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนงานโดยในส่วนของเรื่องนี้ จะมีผลต่อการชำระหนี้ค่างวดด้วย

3. รายได้ควรสูงกว่าค่างวด 2-3 เท่าตัว

ในส่วนของรายได้หรือเงินเดินผู้ยื่นกู้นั้น ควรสูงกว่าค่างวดที่จ่าย 2-3 เท่า รายได้ต่อเดือนของผู้กู้จะเป็นตัวยืนยันความสามารถในการผ่อน กรณีที่ยื่นกู้แบบไม่มีคนค้ำ ผู้กู้ควรประเมิณความสามารถในการผ่อนของตัวเองเอาที่ไหวเอาที่พอควร และไม่มากเกิน 2 ใน 3 เท่าของรายได้

4.วางเดินดาวน์ติดไว้ซักหน่อย

การวางเงินดาวน์เพื่อซื้อรถมือสองนั้น อาจจะไม่เกี่ยวกับส่วนที่ยื่นกู้จากไฟแนนซ์ แต่นั้นก็ทำให้ทางไฟแนนซ์มองว่า แต่ในมุมมองของไฟแนนซ์นั้นจะเห็นฐานะของผู้กู้ว่าผู้กู้นั้นมีเงินทุนส่วนหนึ่งที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คุณ ว่าสามารถผ่อนชำระได้จนจบงวด

5.การติดเครดิตบูโรใช้ว่าจะไม่สามารถซื้อรถได้ แค่ให้พักการเป็นหนี้ไปก่อน

บางคนอาจจะเคยอาจจะมีประวัติการชำระหนี้ล่าช้าเกิน 90 วัน ประวัติเสียจนเคยติดเครดิตบูโร แม้ว่าจะมีการเคลียหนี้ที่ค้างไปทั้งหมดแล้ว แต่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) นั้นยังคงเก็บข้อมูลไว้อยู่ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งในระหว่างนี้ ถ้าหากคุณยังยื่นขอการผ่อนบ้านผ่อนรถ หรือบัตรเครดิต จะทำให้มีผลการพิจารณาสินเชื่อไม่ผ่าน ดังนั้น หากคุณกำลังอยู่ในช่วงการติดเครดิตบูโร หากต้องการยืนขอไฟแนนซ์ ด้วยสเตจเมนท์และการเดินบัญชีที่เติมแต่ง แนะนำให้พักการเป็นหนี้ให้ครบผ่านหลังจาก 3 ปีไปก่อนจะดีกว่านับจากวันที่เคลียหนี้เก่าเรียบร้อย การยื่นขอไฟแนนซ์ของคุณจะมีโอกาสผ่านได้

เรียกว่าเป็นเทคนิกและการแนะนำดีๆ สำหรับผู้ที่ต้องการจะขอสินเชื่ออย่างไรให้ผ่าน เรียกว่าไฟแนนซ์จะดู พฤติกรรมของผู้กู้ผ่านจากเอกสารข้อมูลการทำงานและประวัติของผู้กู้เป็นหลัก ฉะนั้นก่อนที่เพื่อนๆ จะมายื่นเพื่อขอสินเชื่อนั้น ลองดูเอกสารและประวัติของเพื่อนๆเป็นหลักนะครับ

หากมีข้อสงสัย การจัดไฟแนนซ์หรือสนใจรถยนต์มือสอง

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/kitsadagoodcarKDG

โทร.083-222-2203

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

รถสตาร์ทติดยากเพราะอากาศเย็น ปัญหาหนักใจคนใช้รถ

ช่วงนี้เรียกว่าเป็นโชคดีของคนไทยเพราะได้ลิ้มรสอากาศเย็นฉ่ำตั้งแต่ปลายปี 2563 ลากยาวมาถึงต้นปี 2564 ในช่วงเวลาเย็นๆจนไปถึงช่วงสายๆ หลายๆพึ้นที่ในประเทศไทยมีอากาศหนาวจนน้ำเป็นน้ำแข็ง

แต่คุณทราบหรือไม่ว่าปัญหาอากาศที่เย็นนั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ค่อยติด วันนี้เรามาลองอ่านดูว่ารถของคุณมีอาการตรงกับสาเหตุไหนกันแน่ครับ

1.ล้างทำความสะอาดเซ็นเซอร์อากาศ

เซ็นเซอร์อากาศ MAF sensor (Mass Air Flow) โดยปกติแล้วระบบเซ็นเซอร์อากาศจะทำงาน ตรวจจับอุณหภูมิ ร้อน-เย็น ของอากาศรวมไปถึงความชื้นของอ๊อกซิเจน เพื่อสั่งให้ ECU คำนวนการจ่ายปริมาณน้ำมันให้มีอัตราส่วนผสมที่เหมาะสม และกล่อง ECU จะมีการปรับเรียนรู้และปรับค่าต่างๆของเชื้อเพลิง อยู่เสมอบางครั้งอาจจะมีอาการเพี้ยนเพราะความสกปรกที่ตัวเซ็นเซอร์อากาศทำให้ระบบต่างๆเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ให้ถอดมาล้างทำความสะอาดจะทำให้ระบบต่างๆเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น

2.อากาศเย็นทำให้น้ำมันเครื่องเปลี่ยนสภาพ

ความเย็นส่งผลทำให้น้ำมันเครื่อง มีความเหนียวหนืดเพิ่มมากกว่าปกติ ทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้แรงหมุนมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นทางที่ดีควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดที่สามารถรองรับสภาพอากาศทั้งความร้อนและความเย็นได้ดี เพื่อการทำงานของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น

3.แบตเตอรี่รถยนต์

ในช่วงอุณหภูมิปกติ แบตเตอรี่จะค่อยๆคลายประจุไฟฟ้าออกอย่างช้าๆซิ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเราจอดรถในที่ ที่มีอุณภูมิต่ำจะทำให้ประจุของแบตเตอรี่ลดน้อยลง และมีการคายประจุไฟออกมาเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อกระแสไฟฟ้าอ่อน จึงเป็นสาเหตุที่ทำสตาร์ทติดยากยิ่งขึ้นจนไปถึงอาจจะไม่ติดเลยฉะนั้นลองตรวจหาสาเหตุอื่นเช่น ดูความสว่างของไฟหน้าว่ามีกำลังไฟมากน้อยเพียงใด

4.ปัญหาหนูกัดสายไฟ

ปัญหาหนูกัดสายไฟ เป็นปัญหาที่หนักอกหนักใจของใครหลายๆคน เพราะเมื่ออากาศหนาวหนูมักจะหาที่อบอุ่นเพื่ออาศัย และในรถยนต์ก็เปนตัวเลือกหลักๆที่สัตว์เหล่านี้จะเข้ามาอาศัยอยู่และกัดกินสายไฟรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นทำรถยนต์เสียหายครับ

เรียกว่าฤดูหนาวเป็นฤดูที่หลายๆคนชอบแต่รถของคุณไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่นัก ฉะนั้นหมั่นดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมอยู่เสมอ และคอยตรวจเช็คจุดต่างๆ เพื่อที่จะได้อยู่คู่กันไปอีกยาวๆ ครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

ต่อภาษีรถยนต์ ประจำปี แบบออนไลน์ ง่ายสะดวกไม่ต้องเสี่ยง Covid-19

การต่อทะเบียนรถยนต์ถือเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้และปฎิบัติตาม เพราะมีกฎหมายบังคับใช้ให้รถทุกคันจะต้องมีการต่ออายุทุกปี โดยสามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน

แต่ถ้าหากเกิดลืมขาดต่อติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี รถของคุณจะถูกระงับการใช้งานทันที และจะต้องไปเสียค่าปรับย้อนหลังและจะต้องดำเนินการขอจดทะเบียนรถใหม่โดยมีบทลงโทษดังต่อไปนี้

ในกรณีที่ขาดต่อทั้งทะเบียนและ พ.ร.บ. จะต้องถูกปรับ 20,000 บาทและรถที่ไม่มีพ.ร.บ. จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ใช้รถไม่จดทะเบียน มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และถ้าหากใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายการเสียภาษีจะมีโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ใช้รถยนต์ ทางกรมขนส่งทางบก ได้เปิดวิธีการต่อทะเบียนรถยนต์ หรือการต่อภาษีรถยนต์ แบบใหม่โดยผู้ใช้รถไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงกรมขนส่งฯ อีกต่อไป กับวิธีการต่อภาษีรถยนต์แบบออนไลน์ ทั้งง่าย สะดวก ประหยัดและลดความเสี่ยง

โดยการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้นจะมีขั้นตอนดังนี้

1.ตรวจสอบรถที่สามารถใช้บริการในระบบออนไลน์ได้ จะต้องเป็นรถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ในส่วนของรถเก๋ง รถตู้ และรถกระบะ จดทะเบียนไม่เกิน 7 ปี รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จดทะเบียนได้ไม่เกิน 5 ปี รถจดทะเบียนจังหวัดใดก็ได้ และรถที่ค้างชำระภาษีไม่เกิน 1 ปี โดยสามารถชำระภาษีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน

2.สามารถสมัครเข้าใช้บริการออนไลน์ โดยเข้าไปที่เว็บไซด์ www.dlte-serv.in.th หรือ www.dlt.go.th เพื่อลงทะเบียนขอรับรหัสผ่าน

3.กรอกรายละเอียด เมื่อได้รับรหัสผ่านแล้ว ให้กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับรายละเอียดเกี่ยวกับหลักฐานการเอาประกัน ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 (กรณียังไม่สามารถเลือกซื้อบนเว็บไซด์จากบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการได้) รวมถึงกรอกหลักฐานหนังสือรับรองตรวจและทดสอบ กรณีเป็นรถใช้ก๊าซธรรมชาติ (CNG)

4.เลือกวิธีชำระเงิน โดยมีด้วยกันหลายช่องทาง ทั้งระบบการหักเงินผ่านบัญชีฝาก โดยจะต้องมีบัญชีเงินฝากและมีระบบการโอนเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตกับธนาคาร ที่เข้าร่วมโครงการ และสามารถชำระด้วยบัตรเครดิต/เดบิต และต้องเป็นผู้ถือบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ที่มีสัญลักษณ์ Visa, Master พิมพ์ใบแจ้งชำระภาษีรถยนต์แล้วนำไปชำระ ที่ เคาน์เตอร์หรือตู้ ATM ของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ

ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบธนาคาร หรือเคาเตอร์ที่เข้าร่วมโครงการได้ที่หน้าเว็บไซด์ได้ โดยทางกรมขนส่งทางบกจะบวกค่าบริการเป็นค่าจัดส่งเอกสาร รายการละ 40 บาท ค่าธรรมเนียมธนาคาร รายการละ 20 บาท ค่าธรรมเนียมการใช้บัตร (กรณีชำระด้วยบัตรเครดิต) ร้อยละ 2 รวม Vat 7% ของค่าธรรมเนียม

หลังจากนั้นกรมการขนส่งทางบก จะส่งใบเสร็จรับเงินเครื่องหมายการแสดงการเสียภาษี และกรมธรรม์ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้ผู้ชำระเงินทางไฟรษณีย์ ท่านจ้าของรถสามทารถนำใบคู้มือจดทะเบียนไปบันทึกได้ ณ หน่วยงานทะเบียนกรมการขนส่งทางบก ทั่วประเทศ

อ่านสาระน่ารู้ยนต์มือสองเพิ่มเติม

อยากรู้ไหม มีเครดิต กับไม่มีเครดิต ต่างกันยังไง?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าเครดิตดีฟรีดาวน์ หรือเครดิตดีรับดอกเบี้ยต่ำสุด ตามสื่อโฆษณาโปรโมชั่นรถยนต์มาบ้างแล้ว แต่ทำไมอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด ธนาคารมักจะไม่อนุมัติให้กับบุคคลที่ไม่มีเครดิตด้วยเหตุผลอะไร? วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกันครับ

ก่อนอื่นทำความเข้าใจนิยามของคำว่า เครดิตกันก่อน…

เครดิตนั้นคือตัวยืนยันความน่าเชื่อถือทางการเงิน รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายหนี้ของคุณว่ามีความตรงต่อเวลามากน้อยเพียงใด หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า เครดิตดี และ ไม่มีเครดิต กันมาบ้าง และอาจจะเคยไปเช็คเครดิตกับไฟแนนซ์กับธนาคารเพื่อขอกู้สินเชื่อตามเต็นท์รถ หรือ โครงการบ้านที่อยู่ต่างๆ แล้วได้รับการประเมินจากธนาคารว่าคุณนั้น “ไม่มีเครดิต” และธนาคารก็จะไม่อนุมัติ ยอดกู้ที่มากและดอกเบี้ยที่ดีที่สุด เพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวลูกค้าประเภทนี้

แล้วจะต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าลูกค้าเครดิตดี?

ลูกค้าเครดิตที่ดีธนาคารส่วนใหญ่จะให้สิทธิพิเศษรวมไปถึงยอดกู้ที่สูงและดอกเบี้ยที่ดี จะต้องเคยมีการผ่อนในเรื่องของสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิตหรือ การผ่อนสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคต่างๆ โดยไม่เคยมาการล่าช้า ผิดนัดชำระหนี้ หรือมีประวัติโดนยึดทรัพย์มาก่อน โดยประวัติเหล่านี้จะขึ้นตรงกับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือที่เรียกกันติดปากว่าเครดิตบูโร (โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน)

ลูกค้าที่ไม่มีเครดิตนั้นคืออะไร?

คำว่า ไม่มีเครดิต ที่เคยได้ยินจาก ไฟแนนซ์ของธนาคารต่างๆนั้น คือบุคคลที่ไม่เคยมีการทำธุรกรรมในด้านการเงินใดๆเลย ไม่เคยมีประวัติการผ่อนบัตรเครดิต สินเชื่อ หรือไม่เคยมีประวัติการผ่อนชำระ สินค้าหรือการบริการใดๆในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา บุคคลประเภทนี้จะยังมีประวัติที่ดีหรือประวัติขาวสะอาดในระบบเครดิตบูโรแห่งชาติ และยังสามารถเริ่มต้นที่จะสร้างประวัติการผ่อนชำระจากสินเชื่อเล็กๆ อย่าง บัตรเครดิตในสถาบันการเงินใดการเงินหนึ่ง

เครดิตเสีย คืออะไร? และมีผลเสียอย่างไร?

เครดิตเสียคือ บุคคลที่เคยมีประวัติการผ่อนล่าช้าใชการชำระหนี้ หรือเคยมีประวัติถูกยึดทรัพย์จากสินเชื่อต่างๆ ทางธนาคาร โดยบุคคลเหล่านี้จะไม่มีความเชื่อถือทางการเงินจากธนาคาร และไม่สามารถขอกู้เงินเพื่อดำเนินการทางธุรกรรมต่างๆได้

หากคุณต้องการตรวจสอบเครดิตต่างๆเพื่อ พร้อมที่ปรึกษาหลังออกรถมือสองอย่างมืออาชีพ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลต่างๆโดยตรงได้ที่
โทร. 083-222-2203
facebook : Kitsadagoodcar

ต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม