5 ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า รู้ไว้ก่อนจะได้ไม่เสียใจภายหลัง

เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มหันมาสนใจในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV CAR เพราะในส่วนของราคานั้นก็สูงไม่ใช่เล่นๆ เพราะถ้าหากคุณซื้อมาแล้วเมื่อมาเจอปัญหาในระหว่างการใช้งาน ก็อาจจะทำให้เสียความรู้สึกได้หากจะเลือกรถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องรู้ทั้งข้อดีและข้อเสียด้วย ซึ่ง Kitsadagoodcar จะพาไปดูข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้ากันครับ

1.รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูง

แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็จะมาด้วยเรื่องของราคาที่สูงตามไปด้วย ตัวอย่างที่เราเห็นก็จะเป็น แบรนด์รถไฟฟ้าอย่าง ORA GOODCAT ที่ได้เปิดตัวไปไม่นาน ถือว่าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ราคาไม่เล็กตามตัว หรือจะเป็น Tesla Model S ที่เลื่องลือในเรื่องของความแรง แต่ก็มีราคาสูงถึง 2.4 ล้านกันเลยทีเดียว เพราะด้วยเทคโลโลยีเก็บพลังงานขนาดใหญ่อย่างแบตเตอรี่ในรถยนต์ยังมีราคาสูงถึง 50% ของราคาตัวรถ เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีใหม่แบบนี้จึงทำให้มีราคาแพงนั่นเอง

2.สถานีชาร์จไฟฟ้า ยังรองรับไม่แพร่หลาย

หากคุณเป็นคนที่ชอบเดินทางไปในที่ไกลๆอาจจะต้องเตรียมการเดินทางวางแผนกันซักหน่อย เพราะหากคุณเดือนทางไกลมากๆ อาจจะจอดแด้เอากลางทางได้ แน่นอนว่าขีดจำกัดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นไม่ใช่แค่เรื่องระยะทางเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของจุดชาร์จพลังงานที่รองรับกันอย่างไม่แพร่หลายมากนัก นั่นเองหากคุณเดินทางไปในที่ธุระกันดาลคุณจะชาร์จพลังงานได้อย่างไร ฉะนั้น อาจจะต้องรอความพร้อมในเรื่องนี้กันอีกซักหน่อย

3.รถ EV ใช้ระยะเวลาในการชาร์จนาน

ถือว่าเป็นข้อเสียหลักของรถประเภทนี้ เพราะเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นยังไม่สามารถชาร์จพลังเพื่อให้รวดเร็วต่อการใช้งานได้รวดเร็วเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่ายังพอรับได้สำหรับคนที่ไม่เร่งรีบอะไร เพราะการชาร์จแบบเร็วสุดในแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาถึง ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว

4.อันตรายจากอุปรกรณ์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ต่างๆภายในรถ

เนื่องจากรถไฟฟ้านั้นเป็นรถที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด รวมไปถึงแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่และแรงดันสูง แม้จะมีมาตราฐานและการเข้มงวดในการควบคุมมากกว่าอุปกรณ์อื่นๆแต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงในเรื่องของอุบัติเหตุได้ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของอุปกรณ์เหล่านี้คือแรงระเบิด ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากมีการกระแทกจนไปถึงตัวแบตเตอรี่

5.ค่าบำรุงรักษาสูง

แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ๆก็ต้องมาพร้อมกับราคาเพราะหากมีการเสื่อมเสียสภาพก็ต้องเข้ารับบริการซ่อมแซมจากศูนย์เท่านั้น แน่นอนว่าราคาจากศูนย์ก็หนักไม่ใช่เล่น ฉะนั้น หากการจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องคำนึงถึงข้อนี้ด้วย

และนี่ก็เป็นเพียง 5 ข้อสำหรับคนที่กำลังอยากได้รถไฟฟ้าใและเชื่อว่า ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะลดลงเพราะการพัฒนาทางด้านอุปกรณ์ต่างๆก็จะต้องเพิ่มขึ้น

5 เรื่องควรรู้ก่อนซื้อรถไฟฟ้ามาใช้งาน (EV)

เชื่อว่าหลายๆคนเริ่มสนใจและให้ความสำคัญกับรถพลังงานไฟฟ้า (EV) กันมากขึ้น และหลายๆรุ่นหลายๆแบรนด์ ก็เริ่มเปิดตัวและทำตลาดรถไฟฟ้าในประเทศไทย และก็ยังเป็นอีกหนึ่งเทรนที่กำลังร้อนแรงในช่วงนี้อีกด้วย เพราะเชื่อว่าหลายๆคนเริ่มสู้ในเรื่องของราคาน้ำมันไม่ไหว จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว

หากคุณกำลังสนใจว่าจะซื้อรถพลังงานไฟฟ้ามาใช้งาน คุณจะต้องเตรียมตัวและศึกษาอย่างไรเพราะมันคือสิ่งใหม่ที่อาจจะต้องหาความรู้ควบคู่กับการใช้งานไปด้วย

ก่อนอื่น ต้องทราบเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าพื้นฐานอย่าง AC และ DC ว่าคืออะไร

โดยลักษณะของระบบการชาร์จกระแสไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.กระแสตรง (DC) – สถานีชาร์จ
ข้อดีของการชาร์จแบบกระแสตรงหรือ DC เป็นการชาร์จผ่านสถานีชาร์จเท่านั้น โดยเราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ หรือ ตามปั้มน้ำมัน หรือศูนย์ชาร์จรถยนต์ต่างๆ เป็นการชาร์จโดยตรงเข้าแบตเตอรี่ โดยไม่ผ่าน On Board Charger เหมาะสำหรับการชาร์จ ด่วนชาร์จเร็ว ใช้ระยะเวลาในการชาร์จน้อย โดยจุดเด่นของ DC สามารถชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่รถยนต์ได้เร็วมากๆ

2. กระแสสลับ หรือ AC – Wall Charger ตามบ้าน

การชาร์จไฟบ้าน และเป็นการชาร์จแบบ AC เท่านั้น เพราะไฟบ้านจะเป็นไฟแบบกระแสสลับ 220V โดยการชาร์จแบบนี้ ไฟไฟ้าจะต้องวิ่งผ่าน On Board Charger ภายในตัวรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจะต้องแปลงไฟกระแสสลับเป็นกระแสตรงแล้วชาร์จเข้าแบตเตอรี่รถยนต์

การชาร์จแบบ AC จะเหมาะกับการชาร์จเป็นระบะเวลานานๆข้ามคืน

ข้อดีคือสามารถชาร์จจากไฟบ้านปกติได้โดยตรง

ข้อจำกัดอยู่ที่ขนาด On Board Charger ที่อยู่ในรถยนต์แต่ละรุ่นจะมีขนาดเท่าไหร่โดยส่วนมาก รถ Plug in Hybrid 16A 3.6kw และบางรุ่นจะให้มาถึง 32A 7.2kw นั่นเอง

3.อัตราระยะทางและค่าหน่วยของพลังงานไฟฟ้า

การคำนวนหน่วยต่อระยะทางแบบง่ายๆ โดยคำนวนตัวอย่างจาก ชาร์จไฟเต็ม 100 kWh วิ่งได้ 500 กม. โดยการเอาค่าไฟตั้งหารด้วยระยะทางที่วิ่งได้ โดยนำเอาค่าไฟ 4.5 หน่วยมาคุณ 100 ได้เท่ากับ 450 หารแล้วด้วย 500 เท่ากับ 0.9 บาท แต่ในกรณีที่บ้านคุณมี TOU ก็จะยิ่งถูกลงไปอีก โดยจะเหลือหน่วยละ 2.63บาท ถ้าคุณ 100 ก็จะได้เท่ากับ 263 บาทจะได้ค่าใช้จ่ายต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง

4.หัวชาร์จนอกสถานที่มีแบบอะไรบ้าง EV Station
การซื้อรถ จะต้องคำนึงถึงการทำความรู้จักหัวชาร์จแต่ละแบบ เพราะรถบางรุ่นบางนี่ห้อจะมีหัวชาร์จไม่เหมือนกัน โดยจะมีแบบหลักๆอยู่ 3 แบบคือ AC ( Type1/ Type2) DC Chademo และ DC CCS โดย ABB EV Charger รุ่น Terra DC Charging Station 53 ซึ่งง่ายๆคือก่อนซื้อรถไฟฟ้าให้ดูด้วยว่าใช้หัวชาร์จแบบไหนบ้าง

5.ระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้า

เรื่องการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าน่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี การชาร์จไฟฟ้าในอุปกรณ์ที่มีประจุมากก็จะต้องใช้เวลาในการชาร์จมากตามไปด้วยฉะนั้นการเลือกซื้อรถก็จะต้องดูสเปคของขนาดอุปกรณ์เก็บประจุไฟฟ้า ว่าสามารถรับแรงอัดในการชาร์จไฟเข้าได้มากขนาดไหน ถ้าสามารถรับได้สูงก็จะทำให้ลดระยะเวลาการชาร์จลงได้

ดังนั้นการเตรืยมตัวก่อนที่จะเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นก็จะต้องศึกษาก่อนที่จะตัดสินใจ และควรศึกษาเกี่ยวกับระบบต่างๆอย่างละเอียด เพื่อให้คุณได้รถยนต์ที่ตรงกับความต้องการที่สุดนั่นเอง

Mazda2 2022 ร่างเหมือน TOYOTA Yaris พร้อมจำหน่ายในอเมริกา

เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากของสื่อข่าวต่างประเทศที่ได้รายงานว่า ทาง Mazda2 มีการปรับโฉมใหม่ และเตรียมวางจำหน่ายในยุโรป ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกันกับ TOYOTA Yaris ที่จำหน่ายในอเมริการเหนือ โดยอันที่จริงแล้ว เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง TOYOTA และ Mazda นั่นเอง และเตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปีหน้า

ในส่วนของการดีไซน์ภายนอกของ Mazda 2 2022 ทุกสัดส่วนจะซึ่งตัวถังและ Model ทั้งหมดจะเป็นการนำเอา TOYOTA Yaris Hybrid 2021 สเปคยุโรป ถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์ม TNGA-B เป็นพื้นฐานใหม่ของทาง TOYOTA ถูกออกแบบและคิดค้นเพื่อรถขนาดเล็กโดยเฉพาะ โดยมีความยาวที่ตัวรถอยู่ที่ 3,940 มม. และมีระยะฐานล้อกว้าง 2,550 มม โดยยังคงตัวถังที่ดูมีซุ้มล้อโปร่งโค้งมน กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟหน้า Full LED กระจังหน้าและคิ้วท้ายก็ยังเป็น Piano Black และยังมีล้ออัลลอยขนาด 15-16 นิ้ว ตามสไตล์รถสปอร์ท แค่เปลี่ยน LOGO จาก TOYOTA มาเป็น Mazda เท่านั้นเอง


ภายใน Mazda 2 2022
โทนสีดำ เข้มขรึม หากมองดีไซน์โดยรวมก็จะเหมือนกับ TOYOTA Yaris โดยจะแตกต่างแค่ 2 จุด คือ Logo Mazda แปะอยู่ที่กลางพวง และ หน้าปัทม์หน้ารถจะมีการแบ่งสัดส่วนที่ชัดเจนกว่า Yaris โดยความเหมือนที่แตกต่างนี้จะทำให้ผู้ที่ขับรู้สึกว่าไม่ได้ขับ TOYOTA อยู่นั่นเอง

เครื่องยนต์ เบนซิน แบบ 3 สูบแถวเรียง ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 91 แรงม้า และทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า อีก 2 ตัว ได้พละกำลังสูงสุดรวมกันที่ 114 แรงม้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถเก๋ง Hatchback ขนาดเล็กที่ทำความเร็วได้สูงพอสมควร สามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 9.7 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่สำคัญคือสามารถทำอัตราความสิ้นเปลืองได้อญู่ที่ 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร

โดย Mazda 2 ปี 2022 จะมีให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อย เท่านั้นคือตัว Hybrid Pure Hybrid Agile และ Hybrid Select โดยจะส่งมอบให้ลูกค้าชาวยุโรปในช่วงปีหน้าที่จะถึงนี้

หากต้องการรถมือสองสภาพดี สามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาทุกปัญหาการจัดไฟแนนซ์ได้ที่ https://www.kitsadagoodcar.com/

อ่านข่าวรถใหม่ << คลิ๊ก

ถอดรหัส เลขแก้มยางรถยนต์ มีความหมายอย่างไร?

ถอดรหัส เลขแก้มยางรถยนต์ มีความหมายอย่างไร?

พูดถึง ยางรถยนต์…ตัวกลางระหว่างรถและถนน ซึ่งหากเลือกใช้ยางที่ดี มีประสิทธิภาพ ท่านก็จะได้การยึดเกาะถนนที่ดี ขับขี่ควบคุมได้ง่าย และปลอดภัย ไปจนหมดอายุการใช้งาน ซึ่งการจะเปลี่ยนยางชุดใหม่ควรเรียนรู้ว่า ยางแต่ละชนิดผลิตขึ้นเพื่อการใช้งานประเภทใด

หากเป็นยางรถยนต์ทั่วไปแล้ว รหัสบนแก้มยางรถยนต์จะบ่งบอกอะไรได้หลาย ๆ อย่าง แต่โดยพื้นฐานที่เราสามารถรับรู้ได้ก็คือ ขนาด และ วันผลิต ยกตัวอย่างเช่น 215/45 R17 91W

  •  รหัสนี้บ่งบอกถึงตัวเลข 215 คือ ความกว้างของยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร

  •  45 คือ ความสูงของแก้มยาง เท่ากับ 75% ของความกว้างยาง

  •  R คือ ชนิดของยาง ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเรเดียลเกือบทั้งหมด

  •  17 คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางล้อ หน่วยเป็นนิ้ว

  •  91 พิกัดรับน้ำหนักบรรทุก

  •  W พิกัดอัตราความเร็ว

  •  ส่วนตัวเลขหลังตัวอักษรบริเวณแก้มยาง ที่มี 3-4 หลัก จะบอกถึงวันที่ผลิต ตัวเลข 2 ตัวแรก 05 บอกถึงสัปดาห์ที่ทำการผลิตในที่นี้คือ สัปดาห์ที่ 5 ของปี และตัวเลข 2 ตัวหลัง00บอกถึงปีที่ผลิต ในที่นี้คือปี ค.ศ. 2000 โดยทางผู้ผลิตจะระบุวันที่ผลิตไว้อย่างชัดเจน เผื่อให้ผู้ใช้รถเปลี่ยนยางได้ตามเวลาที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

 ** ข้อควรระวังคือ อย่าเลือกใช้ยางที่ความสามารถในการทำความเร็วต่ำกว่าที่รถรุ่นนั้นๆ กำหนด และอย่าใช้ยางที่ความสามารถในการทำความเร็วต่างกันใช้ร่วมในรถคันเดียวกัน

ขับรถขึ้นเขา ด้วยเกียร์กระปุกและเกียร์ออโต้ ไม่ยากแค่เข้าใจ

สำหรับมือใหม่หลายๆคนอาจจะกังวลกับการเที่ยวต่างจังหวัด โดยสภาพเส้นทางภูมิประเทศของแต่ละจังหวัดทั้งทางลาดชันหรือเส้นทางที่เป็นทุระกันดาลก็จะแตกต่างกันออกไป อาจจะทำให้เกิดความกลัวและความกังวล ด้วยการขาดความรู้ในและความเข้าใจในการใช้เกียร์ต่างๆเพื่อให้ผ่านเส้นทางที่แตกต่างกัน สำหรับบทความนี้ก็จะมาบอกว่า สภาพในแต่ละพื้นที่ควรใช้เกียร์อะไร หรือควรทำอย่างไรเพื่อให้คุณผ่านไปได้

การขับด้วยเกียร์กระปุก ขึ้น-ลงเขา หรือทางลาดชันต้องใช้เกียร์อะไร

ขับรถขึ้นลงเขาด้วยเกียร์กระปุกหรือเกียร์ Mannual (MT) เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์กระปุก จะต้องควบคุมในเรื่องกำลังและความเร็วด้วยตัวเองทุกอย่างรวมไปถึงการทดเกียร์เพื่อส่งกำลังที่เหมาะสมในแต่ละเส้นทางก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง สำหรับอยากรู้ว่าเกียร์.0

กระปุกขับขึ้นเขาอย่างไร ลองมาทำความเข้าใจดูครับ

1.การขับขึ้นทางลาดชันด้วยเกียร์ต่ำ

เชื่อว่า มือใหม่หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินเขาพูดกันมากบ้างว่า การขับขึ้นเขาหรือทางลาดชันนั้นจะต้องใช้เกียร์ต่ำ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่จะใช้เกียร์ต่ำอย่างไรให้เหมาะสม รู้เอาไว้เลยครับ ว่าหากคุณขับขั้นเขาแล้วความเร็วกำลังลดลงให้เปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำอย่าง เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 เพื่อสร้างกำลังให้กับเครื่องหากใช้เกียร์ที่สูงมากกว่าอาจจะทำให้รถมีกำลังไม่มากจนไปถึงการไหลถอยหลังจันเกิดอันตรายได้ครับ

ในกรณีที่ขับรถขั้นเขาแล้วหยุดระหว่างทางชัน

ในขณะที่รถขั้นเขาและหยุดระหว่างทางหรือจำเป็นต้องหยุดหากจะต้องเดินทางต่อให้สตาร์ทรถแล้วเข้าเกียร์ 1 พร้อมกับปลดเบรคมือควบคู่กับการเร่งและยกคลัชเพื่อช่วยไม่ให้รถไหลเวลาที่คุณเหยียบครัชนั่นเอง

2.ขับรถลงเขาต้องใช้เกียร์อะไรบ้าง

คุณอาจจะเคยเห็นคลิ๊ปที่แชร์ลงบนโซเชี่ยลต่างๆถึงเหตุการณ์ที่กดแช่เบรครถลงเขาจนทำให้เบรคไหม้และเบรคตายจนเกิดอันตราย ฉะนั้นหากว่าคุณจะต้องลงทางลาดชันจะต้องทำอย่างไร? คำตอบก็คือ จะต้องใช้เกียร์ต่ำอย่าง (เกียร์ 1 และ เกียร์ 2) ช่วยพยุงเช่นเดียวกับตอนขึ้นเขา แต่พยายามไม่เหยียบคลัทช์เพื่อปล่อยรถไหลโดยไม่มีกำลังของเครื่องเป็นตัวช่วยพยุง เพราะเมื่อจังหวะไหลลงอาจจะทำให้รถลื่นหรือเสียหลักได้

ในส่วนของเกียร์ออโต้ขึ้นหรือลงเขา ต้องทำอย่างไร

กรณีเกียร์ออโต้หรือ Automatic (AT) เป็นเกียร์ที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้สะดวกและสบาย ขับง่ายโดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของเทคนิคต่างๆในการขับรถมากนัก โดยการขั้นทางลาดชันหรือขึ้นเขาด้วยเกียร์ออโต้นั้นจะต้องใช้เฉพาะ เกียร์ D1-D2 เพื่อได้กำลังของเครืองยนต์สูงสุดเพื่อให้รถสามารถพยุ่งรถขึ้นเขาไปได้และควรใช้ความเร็วให้เหมาะสมเพื่อควบคุมรถ

และเมื่ออยู่ในระดับทีไม่ชันมากๆก็สามารถกลับมาใช้วเกียร์ D ปกติได้ แต่ถ้าหากใช้เกียร์ D ในทางลาดชันเป็ยระยะเวลานานๆก็จะทำให้เกียร์ร้อนหากร้อนมากก็จะทำให้เสียหายได้ แนะนำ หากเจอทางลาดชันให้ใช้เกียร์ต่ำอย่าง D1-D2 ดีที่สุดครับ

การใช้ความเร็วที่เหมาะสมในการขึ้นหรือลงทางลาดชันนั้น
สิ่งที่ควรระวังเป็นอย่างมากคือความเร็วในการใช้เส้นทางลาดชัน เมื่อคุณใช้ความเร็วมากเกินไปก็อาจจะทำให้ควบคุมรถได้อยากโดยเฉพาะทางลง หากคุณใช้ความเร็วที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้หลุดโค้งจนเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ข้อควรระวังในช่วงถนนแคบ 2 เลนส์

และนอกจากนี้การเข้าใจในการใช้เกียร์ต่างๆเพื่อขึ้นลงทางชันแล้ว จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยการขับขึ้นลง การใช้ถนน 2 เลนส์นั้นก็สำคัญ เพราะไม่ควรแซงขณะเข้าทางโค้งจะทำให้รถที่อยู่ในช่วงทางลงนั้นเบรคไม่อยู่จนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ครับ

เทคนิคง่ายๆ ในการขับรถขึ้นลงเขา ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ไม่ยากหากคุณเข้าใจเพื่อความปลอดภัย และใช้รถใช้ถนนอย่างระมัดระวัง มีน้ำใจกับเพื่อร่วมทาง และไม่ประมาท เพียงแค่นี้คุณก็สามารถขับรถเที่ยวได้อย่างปลอดภัยแล้วครับ

GREAT Wall Motor เปิดตัวเจ้ายักษ์หัวกระสุน คาดว่ามาแทนที่ F-150 Raptor ในไทย

ล่าสุดทางสื่อต่างประเทศอย่าง Motor1 ได้เผยรถกระบะจากททางค่าย GWM หรือ GREAT Wall Motor ที่เข้ามาตีตลาดรถไฟฟ้าภายในบ้านเราถึง 3 รุ่น และคาดว่า รถกระบะจะมาเป็นรถที่ยอดนิยมในอนาคต

ในปีที่แล้ว GWM มียอดขายสูงถึงประมาณ 452,000 คันในจีนและผู้ผลิตรถบรรทุกชั้นนำในประเทศจีนที่ประสบความสำเร็จได้รับกระแสตอบรับจำนวนมหาศาล และโดยเฉพาะสื่อต่างๆที่ให้ความสนใจอ อย่างเป็นพิเศษ จึงทำให้เราได้เห็นภาพกระบะภายในงาน Beijing Auto Show ปี 2020 โดยเจ้ายักษ์คันนี้ได้ชื่อ GWM PAO Black Bullet Edition หรือหัวกระสุน เปิดตัวครั้งแรกด้วยรูปลักษณ์ที่ดูใหญ่และบึกบึนของตัวรถและรูปทรงที่ดูแข็งแรง ตระแกรงระบายอากาศด้านหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าดูแช็งแรงและเป็นเอกลักษณ์ภายใต้โลโกกลม

สัดส่วนที่ดูใหญ่และมีความกว้างกว่ารถตลาดทั่วไป คือยาวถึง 5,437 มิลลิเมตร และกว้าง 2,070 มิลลิเมตร เส้นผ่าศนย์กลางของระยะฐานล้อ 1993 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรถตลาดหลายๆรุ่นนั้นมีความกว้างมากกว่าประมารณ 102 มิลลิเมตร สูงมากกว่า 100 มิลลิเมตร แถมยังเสริมด้วยแรควางสัมภาระหลังคาสูงขึ้น 20 มิลลิเมตร ที่สำคัญท่อไอเสียดานหลังเป็นแบบ 2 ฝั่ง พร้อมกับฝาผิดท้ายทรงสปอร์ท เสริมให้ดูดุดันแข็งแกร่ง

ภายในและภายนอกของกระบะยังคงตกแต่งด้วยเส้นสายที่ดูเรียบง่ายแต่ดีไซน์สปอร์ทสวยงาม ใช้วัสดุหนังกลับ เดินด้วยด้ายสีส้มในส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถจะมาพร้อมกับโช้คอัพที่ปรับระดับได้ คล้ายกับ Off Road ในบางแบรนด์ในส่วนของขุมพลังเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ จับคู่กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 8 สปีด ระบบขับเคลื่อนแบบ 4WD

รุ่นนี้จะมาพร้อมกับอุปกรณ์อะไหล่แบบจัดเต็ม ทั้งยางอะไหล่ 3 เส้น ถังน้ำมันสำรองแบบพกพาที่มีความทนทานเหมาะสำหรับการเดินทางไกลและลุยได้ทุกสภาพพื้นผิว และยังเสริมอ๊อปชั่นไฟหลังคาแบบ LED Sport Light เพื่อทัศนวิสัยที่เห็นได้ยากช่วงเวลากลางคืนในถิ่นทุรกันดาร ด้วยอ๊อปชั่นที่ให้มาอย่างจัดเต็มทำให้ดูเป็นรถที่สมบุกสมบันมากยิ่งขึ้น

เรียกว่าตลาดระประเทศจีนนั้นถือว่าเป็นตลาดที่ น่าสนใจในอนาคตเป็นอย่างมาก ด้วยระบบที่ใส่มาให้อย่างไม่อั้น อีกทั้งด้านการออกแบบและมาตราฐานคุณภาพการผลิต ถ้าหากลองเทียบกับรถจากประเทศอื่นๆ อย่าง Ford Everest หรือ ทางโซนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นโฉมหน้าเจ้ายักษ์หัวกระสุนคันนี้วิ่งในยประเทศไทยอย่างแน่นอน

หากต้องการรถมือสองสภาพดี สามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาทุกปัญหาการจัดไฟแนนซ์ได้ที่ https://www.kitsadagoodcar.com/

อ่านข่าวรถใหม่ << คลิ๊ก

ทำความรู้จักน้ำมันเกียร์ ให้มากขึ้น หากเติมผิด ชีวิตเปลี่ยน เป๋าฉีกแน่นอน

เชื่อว่าข้อสงสัยสำหรับเรื่องน้ำมันเกียร์มีอยู่มากๆมายสำหรับคนใช้รถทั้งมือใหม่และมือเก่า เพราะเรื่องน้ำมันเกียร์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆ แต่เมื่อจะเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ซักครั้ง สำหรับบางคนก็จะฝากเรื่องนี้ไว้กับศูนย์หรือ อู่ช่างซ่อมต่างๆ ให้ดูแล

แน่นอนว่า น้ำมันเกียร์ที่เราใช้กันอยู่นั้นมีหลายยี่ห้อ และหลายเบอร์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพและราคาที่เราจะเลือกซื้อมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและรถยนต์ของคุณ ทั้งความปลอดภัยและรถจะได้อยู่กับคุณไปนานๆ

ปัจจัยสำคัญของระบบเกียร์นั้นมีฟังเฟืองเล็กๆมากมายหลายชิ้นส่วน และเบอร์ของน้ำมันเกียร์นั้นจะตัวเป็นกำหนดค่าความหนืด (Viscosity) โดยจะมีการใช้งานอยู่ระหว่างในช่วงเกียร์ที่ต้องการความหนืดต่ำและช่วง

น้ำมันเกียร์มีกี่แบบ?

อันที่จริงแล้วน้ำมันเกียร์ จะมีอยู่ 2 ระดับน้ำมันเกียร์ระดับโมโนเกรด และน้ำมันแบบ มัลติเกรด และน้ำมันทั้ง 2 แบบจะขึ้นอยู่ความหนืดของน้ำมันเกียร์

ระดับโมโนเกรด เป็นน้ำมันเกียร์ที่ถูกกำหนดด้วยตัวเลขเช่น 70, 90, 140, 250 ฯลฯ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ จะหมายถึงความข้นหนืดของน้ำมันเครื่อง เพราะตัวเลขยิ่งสูงความข้นหนืดของน้ำมันเครื่องก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ความหนืดของน้ำมันเครื่องจะกำหนดโดยตัวเลขอย่างเดียว จะไม่มีตัวอักษร W (SAE 80 SAE 90 SAE 140 ฯลฯ ) โดยจะระบุการใช้งานในอุณหภูมิที่ 212 องศาฟาเรนไฮ หรือ 100 องศาเซลเซียส

ระดับมัลติเกรด ประสิทธิภาพความหนืดของน้ำมันเกียร์จะมีความเสถียรภาพมากขิ้น โดยมาสารที่เป็นค่าดัชนีความข้นหนืด โดยจะแบ่งตัวเลขและตัวอักษรเป็นแบบ 2 ชุดเพื่อบอกทั้งค่าความหนืดและค่าอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิต่ำ ด้วยตัวเลขเหล่านี้นี่เอง จึงทำให้มีการเรียกน้ำมันประเภทนี้ว่า มัลติเกรด โดยสังเกตได้ว่ามีตัวอักษร W ต่อท้ายตัวเลข ตัวอย่างเช่น SAE 75W-90 SAE 80W-90 85W-SAE 140 เป็นต้น

ซึ่งหมายเลขชุดแรกนั้นจะหมายถึงความหนืดของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิเย็น อธิบายอย่างง่ายๆคือ W นั้นย่อมาจากคำว่า Winter แปลได้ว่าอุณหภูมิเย็นนั่นเอง และเลขชุดที่สองจะเป็นการระบุความหนืดของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิสูง หรืออุณหภูมิที่ร้อนสุดๆ ตัวอย่างการอ่านค่าน้ำมันเกียร์ SAE 75W-90 หมายความว่า มีความหนืดในช่วงอุณหภูมิต่ำ SAE 75W แต่มีความหนืดที่อุณหภูมิสูงที่ SAE90 โดยความแตกต่างจากโมโนเกรดก็คือเป็นการระบุช่วงอุณหภูมิกว้างทั้งอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิต่ำ

มาตราฐาน API ได้กำหนดประเภทของน้ำมันเกียร์และเฟืองท้าย ดังนี้

  • GL-1 เป็นการใช้งานในสภาพงานเบาะของเกียร์ประเภทเฟืองเดือยหมู เฟืองหนอน โดยไม่จำเป็นต้องเติมสารเพิ่มคุณภาพ
  • GL-2 ใช้สำหรับเฟืองเกียร์ที่ทำงานหนักกว่าประเภท GL-1 ของเกียร์ประเภทเฟืองหนอน หรือ เพลาล้อ น้ำมันที่ใช้จะมีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อป้องกันการสึกหรอ
  • GL-3 ใช่สำหรับงานที่มีสภาพความเร็วและรับแรงกดขนาดปานกลางของเกียร์แบบเดือยหมู ใช้มันที่มีสารเพิ่มคุณภาพแรงกดและเสียดทานขนาดปานกลาง
  • GL-4 ใช้สำหรับเฟืองเกียร์ที่มีแรงกดและแรงเสียดทานหนักปานกลาง เหมาะสำหรับเกียร์ประเภท เฟือง ไฮปอยด์ มีคุณลักษณะของการทำงานถึงขั้น MIL-L-2105 และ MIL-L-2105C
  • GL-5 ใช้สำหรับสภาพการทำงานหนักมากของเฟืองเกียร์ โดยมากแล้วจะใช้กับเฟืองเกียร์ประเภทไฮปอยด์ และมีคุณลักษณะของงานถึงขั้น MIL-L-2105D หรือใกล้เคียงกับ MOT CS 3000B (มาตราฐานของอังกฤษ)
  • GL-6 ใช้สำหรับสภาพงานของเกียร์ประเภทเฟืองไฮปอยด์ที่มีความเร็วสูง และมีแนวเยื้องของเฟืองเกียร์สูงมากกว่า 2.0 นิ้ว และประมาณ 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเฟืองตัวใหญ่

การแบ่งตามความข้นใส

มาตราฐานสำหรับกำหนดความข้นใสของน้ำมันเกียร์กำหนดโดยสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 การกำหนดความข้นใสของน้ำมันเกียร์ตามมาตราฐาน SAE J360

ระดับ SAEอุณหภูมิสูงสุดที่ความข้นใส 150000 cP(ํC)ที่อุณหภูมิ 100 ํC(cSt)ที่อุณหภูมิ 210 ํF(SUS)
75W-40สูงกว่า 4.140 – 49
80W-26สูงกว่า 7.049 – 63
85W-12สูงกว่า 11.063 – 74
9013.5 – 24.074 – 120
14024.0 – 41.0120 – 200
250สูงกว่า 41.0สูงกว่า 200

ตารางที่2 การกำหนดความข้นใสของน้ำมันเกียร์ตามมาตรฐาน MIL-L-2105C

ระดับ SAEอุณหภูมิสูงสุดที่ความข้นใส 150,000 cPค่าความข้นใสที่อุณหภูมิ 100 ํC (cSt)
75 W-40สูงกว่า 4.1
80W-90-2613.5-24.0
85W-140-1224.0-41.0

ฉะนั้นหากเลือกซื้อน้ำมันเกียร์ก็จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับชนิดเกียร์ ลักษณะของเกียร์และการทำงาน หากคุณใช้น้ำมันเกียร์ที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำให้เกียร์นั้นทำงานหนักมากยิ่งขึ้นหรือเสื่อมสภาพจากอุณหภูมิต่างๆที่ไม่เหมาะสมจนเกิดความเสียหาย ทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในราคาก้อนโต

Ferrari Daytona SP3 ไฮเปอร์คาร์ ขุมพลัง 829 แรงม้า

ล่าสุด เฟอรารี่ได้เผย Ferrari Daytona SP3 รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวออกมาเป็นรูปร่างงหลังจากที่ได้ปล่อยตัวอย่างแบบ 3D ออกมาด้วยดีไซน์ที่สวยแปลกตา และไดนามิกซ์ที่ซับซ้อนเป็นจุดขายของรุ่นนี้ โดยมีไฟหน้ามาในรูปแบบ Pop-up เครื่องยนต์ขนาด V12 มีกำลังสูงถึง 829 แรงม้า และถูกสร้างมาเพียงแค่ 599 คันทั่วโลกเท่านั้น

Ferrari Daytona SP3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ชับชนะ อันดับ 1-2-3 ของทีมแข่งในรายการ 24 Hours Of Daytona เมื่อปี 1967 โดยการออกแบบทั้งหมดเกิดจากแรงบันดาลใจของของรูปลักษณ์รูปทรงและความโค้งมนของ Ferrari P3/4, P330 และ 412P นักออกแบบชาวอิตาลี่ Flavio Manzoni และทีมงาน

ด้านหน้าของ Daytona SP3 โดดเด่นที่ดีไซน์ด้านหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยไฟหน้า POP-UP ที่สามารถเปิดและปิดหน้าไฟเพิ่มแอโรไดนามิกซ์ ในขณะที่หน้าด้านหน้าจะมีความต่ำกว่าซุ้มล้อแบบนูนทำให้นึกถึงรถแข่ง Ferrari ในสมัยก่อน

ประตูเปิด-ปิดแบบปีกผีเสื้อรวมช่องดักอากาศอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะซึ่งได้รับแรงดันดาลใจมาจาก Ferrari 512 S ที่มีกระจกบังลมที่โค่งมนลดการเสียดทานของลม ทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปดูแปลงใหม่ ส่วนของล้ออัลลอยแบบ 5 ก้าน หุ้มด้วยยาง Pirelli P Zero Corsa ที่ถูกออกแบบอย่างงเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ

ส่วนของบั้นท้ายแต่แปลกตาสุดๆด้วยการออกแบบสะท้อนให้มีความเป็นรถรุ่นเก่าอย่างงแท้จริงด้วยไฟ LED แนวนอนถูกจัดวางให้ดูเป็นชั้นๆของด้านหลังทั้งหมดเหนือดิฟฟิวเซอร์วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ที่จะส่งเสียงคำรามของเครื่อง V12 ที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ฝากระโปรงท้ายด้านหลัง

Ferrari อ้างว่า DayTona SP 3 ถูกออกแบบให้มีสระสิทธิภาพในเรื่องของแอโรไดนามิกซ์ได้ดีที่สุด และยังสามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ และยังสามารถสร้างแรงกดได้มากขึ้นอีกด้วย

ห้องโดยสารมาพร้อมเบาะนั่งสีสันดูมีชีวิตชีวาผสมกับความคลาสสิกจากรถแข่งในอดีต โดยการเล่นโทรสีฟ้า และเบาะก็ได้วางติดดกับตำแหน่งของเชสซีโดยตรง ทำให้เบาะอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำและเอียงมากกว่า Ferrari รุ่นอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับมาตราวัดดิจิทัลขนาด 16 นิ้วแบบโค้ง ที่รวมอินโฟเทนเมนท์ และพวงมาลัยที่ดูคล้ายกับรุ่น La Ferrari ดีไซน์ด้วยปุุ่มหมุน Manettino และยังมีปุ่มที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงฟังก์ชั่นต่างๆ และไม่จำเป็นต้องลพมืออกจากพวงมาลัย

Daytona SP3 เต็มเปี่ยมไปด้วยเครื่องยนต์์ขนาด V12 ขนาด 6.5 ลิตรที่ถูกวางแบบลาดเอียง 65 องศา ภายใต้รหัส F140HC ให้กำลังสูงสุด 829 แรงม้า ที่ 9,250 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 697 นิวตันเมตร ที่ 7,250 รอบต่อนาที พร้อมกับระบบจำดัดความเร็วรอบที่ 9,500 รอบต่อนาที พละกำลังทั้งหมดจะถูกส่งไปยังล้อหลังผ่านเพลาล้อหลังผ่านเกียร์คลัตช์คู่เทคโนโลยีรถแข่ง F1 แบบ 7 สปีดพร้อมเพืองท้าย ลิมิเต็ดสลิป

ให้อัตราแร่ง 0-100 กม. ภายใน 2.85 วินาที ต่อเนื่องไปถึง 200 กม.ต่อชม.ภายใน 7.4 วินาทีในขณะที่ความเร็วสุงงสุดสามารถทำได้ถึง 340 กม.ต่อชม. นอกจากนี้ยังเสริมด้วยอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมอย่างระบบ SSC 6.1 รุ่นล่าสุด พร้อมกับ FDE ระบบควบคุมความเสถียรภาพแบบไดนามิกนำหน้าที่ทรงตัวในการเบรคและควบคุมแรงดันเบรคให้เป็นไปตามความเหมาะสม

Ferrari Daytona SP3 จะถูกผลิตจำกัดจะถูกผลิตมาเพียงแค่ 599 คันเท่านั้นโดยแต่ละคันมีราคาจำหน่ายที่ 2 ล้านยูโรหรือราวๆ 74 ล้านบาท ไม่รวมษี และตอนนี้ก็ได้ถูกจองหมดเกลี้ยงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หากต้องการรถมือสองสภาพดี สามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาทุกปัญหาการจัดไฟแนนซ์ได้ที่ https://www.kitsadagoodcar.com/

อ่านข่าวรถใหม่ << คลิ๊ก

รูปภาพประกอบ

BMW อวดหน้าใหม่ กระจังหน้าโตเหมือนรถถัง คาดว่ามีพลังถึง 750 แรงม้า

BMW อวดหน้าใหม่ กระจังหน้าโตเหมือนรถถัง คาดว่ามีพลังถึง 750 แรงม้า

ก่อนหน้ามีข่าวลืมมาว่า BMW เตรียมที่จะนำเสนอรถที่เป็นต้นแบบในรุ่น SUV ที่ได้ใช้ชื่อว่า BMW Concept XM ที่จะเผยออกมาให้ได้ชมกันในระเวลาเวลาอันใกล้นี้ และทีเซอร์แรกในรูปแบบดังกล่าวก็ได้ถูกเผยออกมาแล้วก่อนมาก่อนที่จะเปิดเผยให้ได้เห็นตัวจริงในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้

ภาพทีเซอร์ที่ได้เปิดเผยออกมา แสดงให้เห็นได้ชัดว่ากระจังคู่หน้ามีขนาดใหญ่ ภายใต้เงามืดของ Concept XM ส่องสว่างท่ามกลางเงามืด และไฟหน้าที่มีความเล็กเรียวบางในรูปบบ LED และความพิเศษ คือหลังคาที่มาพร้อมกับไฟแบบ LED ที่ซ่อนอยู่ภายในหลังคา ดูแข็งแรงและบึกบึน

การเปิดตัวรถ Concept XM ในครั้งนี้ คือการพรีวิวให้เห็นททิศทางของรูปแบบในอนาคตว่า จะมีทิศทางการออกแบบไปในรูปแบบไหน ทาง CEO ของ BMW M ว่ามันจะกลายเป็นรถ SUV ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ BMW เคยมีมา และในรุ่นท๊อปสุดอาจจะมีกำลังแรงม้าสูงถึง 750 แรงม้าเลยทีเดียว

หากต้องการรถมือสองสภาพดี สามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาทุกปัญหาการจัดไฟแนนซ์ได้ที่ https://www.kitsadagoodcar.com/

อ่านข่าวรถใหม่ << คลิ๊ก

เติมน้ำมันรถให้ถูกวิธี ช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้!

ความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการเติมน้ำมันรถเพื่อช่วยให้ประหยัดเงินและช่วยถนอมเครื่องยนต์มีให้เห็นกันมากมาย แต่บ่อยครั้งที่บอกกันแบบปากต่อปากโดยไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจน นอกจากจะไม่น่าเชื่อแล้วยังเป็นวิธีการผิด ๆ ที่ไม่ได้ช่วยถนอมเครื่องยนต์แต่อย่างใด ดังนั้น เราจึงควรศึกษาเกี่ยวกับรถยนต์และน้ำมันรถให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าการเติมน้ำมันแบบใดจะประหยัด และช่วยให้รถของเรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

 เติมน้ำมันรถให้ถูกวิธี ช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้! 

เติมน้ำมันครึ่งถัง ประหยัดแต่ไม่ดีต่อเครื่องยนต์

คนขับรถหลายคนมักสงสัยว่าแท้จริงแล้วการเติมน้ำมันเต็มถังแบบใดจะดีกับเครื่องยนต์มากกว่ากัน และแบบใดจะประหยัดเงินได้มากกว่า แน่นอนว่าการเติมน้ำมันครึ่งถังย่อมทำให้คุณประหยัดเงินมากกว่าอย่างแน่นอน แต่การเติมน้ำมันรถแบบครึ่งถังนั้นส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ของเราได้
ทั้งนี้ เป็นเพราะกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์ต้องอาศัยการทำงานของปั๊ม ซึ่งน้ำมันในถังจะทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีการหล่อลื่นและมีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนจนเกินไป หากน้ำมันรถเหลือจำนวนน้อยจนเกินไปก็จะทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น และการทำงานโดยที่ไม่มีสารหล่อลื่นจะทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพลงไปได้

เติมน้ำมันจนล้นถัง เสียหายทั้งเครื่องยนต์-ตัวถัง

การเติมน้ำมันเต็มถังจนล้นออกมาก็ส่งผลเสียแก่เครื่องยนต์ของเราเช่นเดียวกัน เนื่องจากไอระเหยของน้ำมันจะเข้าไปทำให้ระบบของเครื่องยนต์มีปัญหาได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีโอกาสที่น้ำมันจะไหลซึมออกมาจากตัวถังจนทำให้สีรถได้รับความเสียหายหรือเปื้อนเป็นคราบได้

เติมให้เกิน 3 ใน 4 ของถัง ดีต่อเครื่องยนต์ที่สุด

วิธีการที่ถูกต้องในการเติมน้ำมันรถคือการเติมน้ำมันให้เกิน 3 ใน 4 ส่วนของถังน้ำมัน หลังจากนั้นก็ใช้งานจนกว่าน้ำมันจะเหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ส่วนของถังแล้วค่อยเติมน้ำมัน ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์ของเราสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้น

เติมน้ำมันอย่างไรให้ประหยัดยิ่งขึ้น

สำหรับคนที่อยากจะประหยัดค่าน้ำมันรถมากขึ้นก็มีวิธีการเช่นเดียวกัน แถมไม่ทำลายเครื่องยนต์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำมันรถก่อนน้ำมันจะหมดถัง เพราะหากเราทิ้งให้น้ำมันหมดถัง พื้นที่ว่างในตัวถังจะเหลือเยอะ ส่งผลให้น้ำมันที่เหลืออยู่ระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น

ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเติมน้ำมันคือช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่น้ำมันมีการควบแน่นสูง และควรหลีกเลี่ยงการแวะเข้าปั๊มที่รถน้ำมันกำลังจอดอยู่ เนื่องจากในช่วงเวลาที่รถส่งน้ำมันถ่ายน้ำมันลงสู่ถังน้ำมันใต้ดินนั้นจะทำให้ตะกอนที่อยู่ใต้ถังเก็บน้ำมันลอยขึ้นมา หากเราเติมน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะทำให้ตะกอนในน้ำมันเข้ามาสู่ถังของรถเราด้วยนั่นเอง

และนี่ก็เป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้คุณสามารถนำไปดูแลรถยนต์เพื่อยืดอายุของรถยนต์ แต่ถ้าหากต้องการรถยนต์มือสองสภาพดีบริการเยี่ยม ต้องกฤษฎากู๊ดคาร์เท่านั้น เพราะเรามีบริการส่งรถให้ไปดูถึงหน้าบ้านลูกค้าทุกท่านโดยไม่มีค่ายใช้จ่ายครับ