4 วิธีดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน สำหรับคนรักรถ

การดูแลรถยนต์นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้รถนั้นมีสภาพดีแล้ว ยังบ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เป็นเจ้าของรถอีกด้วย และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนรักรถที่ต้องเจอนั่นก็คือ สภาพรถที่เลอะเทอะจากสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะฤดูฝน พายุในช่วงนี้ เดี่ยวผมจะมาบอกเพื่อนๆทุกคนว่า ควรทำอย่างไรหากหลลีกเลี่ยหน้าฝนไม่ได้กันครับ

1.ล้างรถทันทีเมื่อถึงบ้าน

ความสกปรกจากน้ำโดยเฉพาะน้ำท่วมขังในหน้าฝนนั้น เป็นสิ่งสกปรกที่ขึ้นจากท่อ ทั้งคราบดินโคลน ฝุ่น หรือถ้าหากแย่ไปกว่านั้นคือคราบมันต่างๆที่ขึ้นมาจากท่อ ผสมปนเป ทำให้เกาะอยู่กับสีรถอย่าแน่นหนา สำหรับคนที่รักรถโดยเฉพาะรถสีขาวนั้น จะทำให้เห็นได้ชัดเจน ฉะนั้นหากขับรถลุยน้ำท่วมกลับมาควรจะล้างรถด้วยแชมพูอย่างน้อย 3วันต่อครั้งก็ยังดีเพื่อรักษาสภาพดีของรถยนต์นะครับ


2.เช็ดใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝน หรือยางปัดน้ำฝนนั้นก็ถือว่าสำคัญในเรื่องทัศนวิสัย ต้องทำความสะอาดด้วยการเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำบ้าง เพราะถ้าหากใช้ไปนานๆ คราบฝุ่นต่างๆที่ปัดบนกระจกจะไปฝังแน่นทำให้เป็นคราบสกปรกเมื่อใช้งานจริง หรือแย่ไปกว่านั้นอาจจะทำให้เกิดรอยจากเศษหินหรือของแข็งๆได้ ฉะนั้นอย่ามองข้ามในเรื่องของยางปัดน้ำฝนครับ

3.ตรวจดูระบบสายไฟกล่องไฟเครื่องยนต์

ตรวจระบบสายไฟเครื่องยนต์และกล่องไฟเครื่องยนต์ต่างๆ อาจจะด้วยปัญหาของหนูกัดสายไฟ หรือ พลาสติกของสายไฟเปื่อย อาจจะทำให้ระบบไฟช๊อตจนทำให้ระบบไฟเสียหาย หรือ น้ำเข้ากล่องอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกับรถยนต์ได้

4.ตรวจดูซิลขอบยางประตูและยางเสาอากาศ

ซิลขอบยางประตูตามจุดต่างๆถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากเพราะถ้าหากไม่ตรวจเช็คอาจจะทำให้น้ำฝนซึมเข้าตามขอบยางต่างๆ ซึ่งอาจจะทำความเสียหายภายในรถได้ ฉะนั้น พยายามตรวจเช็คตามซิลยางและจุดต่างๆให้ดีนะครับ

หากสนใจซื้อรถมือสองสภาพดี สามารถดูรถทั้งหมดได้ที่ โชว์รูมรถมือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์

9 อุปกรณ์แต่งรถที่ไม่เข้าท่านอกจากระอันตรายแล้ว อาจจะผิดกฎหมายอีกด้วย

5 อุปกรณ์แต่งรถที่ไม่เข้าท่านอกจากระอันตรายแล้ว อาจจะผิดกฎหมายอีกด้วย

ในปัจจุบันตามท้องตลาดมีอุปกรณ์แต่งรถยนต์หลายรูปแบบ หลายชิ้นส่วน มีทั้งให้ความสวยงามและ ความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบแต่งรถอาจจะคำนึงถึงอันตราย และผลทั้งดีและ โทษที่ตามมา ทั้งตัวเองและเพื่อร่วมทางบางครั้งอาจจะถึงขั้นผิดกฎหมายอีกด้วย มาดูกันครับ ว่ามีอะไรบ้าง

1.ไฟท้ายสีฟ้า (หรือ Ice Blue)

ซึ่งโดยปกติแล้วไฟท้ายที่มีสีนั้น ซึ่งแตกต่างจากสีที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว นอกจากสร้างความเข้าใจผิดแล้ว สีดังกล่าวนั้นเป็นสีที่ทำให้เพื่อนร่วมทางแสบตาอีกด้วย เพราะไฟประเภทนี้ มีความสว่างและรบกวนสายตาสูงซึ่งนอกจากจะรบกวนผู้อื่นแล้ว ก็ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกด้วย

2.หลอดไฟแรงสูง

หลอดไฟแรงสูง ที่มีความสว่างเกิดและไม่ตั้งค่าความสูงของแสงไฟให้เหมาะสมทำให้เป็นที่น่ารำคาณของผู้อื่น และอาจจะทำให้อันตรายต่อเพื่อร่วมทางได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้ ฉะนั้นการที่เปลี่ยนไฟหน้านั้นจะต้องตั้งระดับไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

3.ยางกันขอบประตู

ยางขอบประตูเป็นอีกหนึ่งไอเท่มที่เริ่มมีความนิยมสำหรับคนที่รักรถเพราะมีความคิดที่ว่า ขอบประตูนั้นมักจะเป็นส่วนที่โดนกับสิ่งต่างๆจนเกิดรอยมากที่สุด ยางกันขอบประตูจึงเข้ามามีบทบาท วัสดุที่ใช้นั้นเป็นกาวสองหน้าที่สามารถติดกับวัสดุอย่างสีรถได้ดี แต่เมื่อใช้ไปนานๆทั้งความร้อนและความเหนียวของกาวก็จะซึมเกาะสีรถทำให้เมื่อลอกออกทำให้เกิดด่างที่ขอบประตูนั่นเอง

4.สติ๊กเกอร์ติดรถยนต์

สติ๊กเกอร์รถมี 2 ประเภทหลักๆที่มักจจะพบบ่อยได้ตามตลาดทั่วไป คือ แบบกระดาษกาว และ PVC กาว ซึ่งทั้ง 2 แบบจะให้ผลเสียที่เหมือนกันคือทำให้สีของรถยนต์เป็นรอยด่างทำให้สีเสียหายอาจจะต้องถึงกับเสียเงินเก็บสีใหม่เลยทีเดียว และแนะนำว่าถ้าหากอยากติดสติ๊กเกอร์ ให้ติดที่กระจกดีกว่าครับ

5.ฝาครอบเบรค

ฝากครอบเป็นอุปกรณ์แต่งยอดฮิดที่ชื่นชอบในหมู่วัยรุ่นซึ่งเสริมความสวยงามเหมือนกับรถสปอร์ตที่ใช้เบรคราคาสูงๆ อันที่จริงแล้วเรียกว่าอันตรายอย่างมากสำหรับแฟชั่นชนิดนี้ เพราะอุปกรณ์เบรคนั้นเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเกิดความร้อนสูงเมื่อใช้งาน ซึ่งความร้อนนี้จะส่งต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆที่ติดอยู่กับระบบเบรค จนทำให้ฝาครอบเบรคเสริมนั้นเกิดละลายและหลุดไปฟัดกับอุปกรณ์ต่างๆทำให้เกิดความเสียหายได้

6.ไฟถอยมีความสว่างสูง

ไฟถอยหลังที่มีความสว่างสูงนั้นเป็นอีก 1 อุปกรณ์แต่งที่อาจจะไม่มีความอันตรายแต่ก็สร้างความรำคาณให้กับผู้อื่น อาจจะไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่ก็ผิดกฎหมายเช่นกันนะครับ

7.กระจกข้างขนาดเล็ก

สายซิ่งหลายๆคนมักจะเห็นกระจกแต่งที่ทั้งเล็กและดูไม่แข็งแรง อันที่จริงแล้วหลักการใช้งานอาจจะดูไม่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันเพราะกระจกแบบนี้ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการแข่งขัน และลดอาการโต้ลมของรถแข้งเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนกระจกข้างเป็นแบบกระจกเล็กจะทำให้ลดการมองเห็นของ ทัศนวิสัยจากทางด้านหลังน้องลง


8. ล้อแม๊กซ์ผิดขนาด

ล้อแมกซ์ที่มีขนาดไม่เหมาะสมกับรถนั้น อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เพราะถ้าหากล้อมีความหนาและโตมากกว่าปกติ จะทำให้ขูดกับซุ้มล้อเวลาเลี้ยวสุด หรือถ้าหากล้อหนาเกินไป เวลาขึ้นหรือกระแทกลงสะพาน อาจจะทำ ให้มีการขุดกับขอบซุ้มล้อ และ สะสมไปหลายๆครั้งอาจจะทำให้ยางเกิดระเบิดได้นั่นเอง

9.ค้ำล่างแบบโหลดต่ำ

ค้ำล่างเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเสริมสมรรถนะของรถยนต์ได้เป็นอย่างดีแต่ถ้าหากคุณเลือกติดตั้งแบบโหลดต่ำอาจจะทำอันตรายให้ตัวรถของคุณและผู้อื่นได้ เพราะถ้าหากมีการค่อมฝาท่อหรือโดนวัสดุแข็งๆบนท้องถนนก็อาจจะหลุดกระเด็นไปโดยผู้อื่นได้เช่นกัน

หากคุณเป็นคนที่ชอบแต่งรถหรือชอบดัดแปลงรถก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งตัวเองและผู้อื่น เพราะถ้าหากแต่งรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยอาจจะเสียทั้งเงินและทรัพย์สินรวมไปถึงอาจจะผิดกฎหมายอีกด้วยนะครับ

ขอบคุณที่ติดตามและอ่านสาระน่ารู้ และหากสนใจรถยนต์มือสองคุณภาพดี สามารถดูรถได้ที่ โชว์รูมรถยนต์มือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์


“กฎหมายคาดเข็มขัดนิรภัยเบาะหลัง” มีผลแล้ว แต่ยังมีข้อยกเว้น

“กฎหมายคาดเข็มขัดนิรภัยเบาะหลัง”มีผลแล้ว แต่ยังมีข้อยกเว้น


กฎหมาย การนั่งเบาะหลังหากไม่คาดเข็มขัดนิรภัย มีผลแล้ว ตั้งแต่ วันที่ 5 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้ผู้ใช่รถใช้ถนนนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่!!
การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งจะมีผลเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน โดยผู้โดยสารแถวหน้า (ผู้ขับขี่) แถวตอนหลังผู้ขับขี่จะต้องรัดเข็มขัดนิรภัย
|

@kitsadagoodcar

กฎหมายคาดเข็มขัดใหม่ ยกเว้นกรณีอะไรบ้าง ??? #กฎหมาย #คาดเข็มขัดนิรภัย #ยกเว้น #กรณี #กระบะแคป

♬ Original Sound – Unknown

และกรณีที่ยกเว้น คือ


1.รถเก่าที่มีการจดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2531 กรณีรถที่ไม่สามารถติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ หากมีการจดทะเบียนก่อนวันดังกล่าวไม่ถือว่ามีความผิด …

2.รถกระบะแค็บหรือนั่งท้ายกระบะ สามารถนั่งได้โดนไม่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยแต่จะต้องนั่งไม่เกินจำนวนที่กำหนดในลักษณะที่ปลอดภัย และผู้ขับขี่จะต้องขับขี่ด้วยความเร็วตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด

หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับใหม่

และที่นั่งสำหรับเด็กอ่อนก็จะต้องติดตั้ง คาร์ซีท เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายสำหรับเด็ก แต่ส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมายต้องคอยติดตามกันนะ

อ่านข่าวสารอัพเดท หรือหากต้องการดูรถมือสองสภาพดี สามารถดูได้ที่ โชว์รูมรถมือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์

เส้นทางจากน้ำมันพืชใช้แล้วสู่ไบโอดีเซลไม่ต้องเทลงท่อระบายน้ำให้โดนปรับ

จากกรณีที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึง กรณีว่ามีผู้ทิ้งน้ำมันลงท่อระบายน้ำของงกรุงงเทพมหานคร จึงได้ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มร้านอาหารในเขตจตุจักร โดยฝ่ายเทศดืจสำนักงานเขตุจตุจัตร ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ใดเททิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำใสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนน หรือในทางน้ำประกอบกับมาตรา 57 บทกำหนดโทษ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรา 33 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท โดยได้ดิเนินคดีเปรียบเทียบปรับในอัตราสูงสุด 10,000 บาท ตามคดี เลขที่ 3747/65 ลงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565

จากกรณีข้างต้นนั้น เชื่อว่าหลายคนมีข้อสงสัยว่า หากทิ้งท่อไม่ได้ แล้วควรจะทำอย่างไร ซึ่งวันนี้แอดมินได้รวบรวมข้อมูลมาให้สำหรับคนที่ขายน้ำมันพืชใช้แล้ว แถมเป็นรายได้อีกทางด้วยนะครับ

จากน้ำมันพืชใช้แล้ว สู่เส้นทางน้ำมันใบโอดีเซล โดยการเก็บที่ถูกต้องและถูกวิธี หลังจากที่น้ำมันพืชได้ถูกใช้แล้ว ควรจะต้องใช้ภาชนะที่สะอาด โดยปกติแล้วจะใช้ปี๊บอลูมีเนียม เพื่อเลี่ยงตะกอนต่างๆอันเกิดจากเศษฝุ่นหรือเศษอาหารต่างๆ ด้วยการกรองก่อนทำการเก็บ และสามารถนำไปขายยังร้านรับซื้อได้อีกด้วย

กระบวนการผลิตเป็นไบโอดีเซลจากย้ำมันพืชที่ใช้แล้วนั้น มีกระบวนการดังนี้

  • นำมาพักให้เกิดการตกตะกอนและกรองเอาตะกอนออก หรืออาจจะใช้ความร้อนเพื่อให้น้ำแยกตัวออกจากน้ำมันและทำให้สิ่งสกปรกเจือปนให้น้อยที่สุด
  • จากนั้นนำน้ำมันที่ได้จากกระบวนการกระตุ้นด้วยกรด และแอลกอฮอล์เพื่อปรับสภาพน้ำมันให้มีคุณสมบัติที่คงที่แล้วทำการพักไว้ 1 คืน
  • จากนั้นนำมากระตุ้นด้วยแอลกอฮอล์และด่าง ที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส และทำการพักทิ้งไว้ 12ชั่วโมง เพื่อให้เกิดการแยกตัวของน้ำมันกลายเป็นไบโอดีเซล และ กลีเซอรีน
  • แยกเอาน้ำมันใบโอดีเซลไปผ่านกระบวนการล้างอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยครั้งแรกต้องเป็นน้ำที่มีการเติมกรดอ่อนๆ เพื่อปรับสภาพน้ำมันไบโอดีเซลให้มีค่าความเป็นกลาง (pH=7) โดยสมบูรณ์
  • จากนั้นทำการอุ่นน้ำมันเพื่อไล่น้ำออกจากน้ำมันก็จะได้น้ำมันไบโอดีเซลที่ใส
  • และเมื่อหากต้องการนำไปใช้กับเครื่องยนต์ จะต้องผ่านกระบวนการกรองอย่างละเอียดอีก 2-5 ไมครอน เพื่อผ่านระบบหัวฉีดของเครื่องยนต์

    และขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำอย่างปราณีต ละเอียด รอบครอบ และระมัดระวัง เพราะในกระบวนการผลิตนั้นจะต้องใช้สารเคมีอันตราย และการบำบัดน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตอย่างถูกวิธีเพื่อที่จะได้คุณภาพของน้ำมันที่ดีที่สุด เพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์ในระยะยาว

สาระน่ารู้รถยนต์ และหากต้องการดูรถมือสองคุณภาพดี สามารถดูได้ที่ โชว์รูมรถมือสองกฤษฎากู๊ดคาร์

อันตราย!! อาการเบรคติดที่มากับช่วงหน้าฝน

อันที่จริงอาการเบรคติดจะเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบเบรคของคุณกำลังเกิดปัญหาบางอย่างอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น ทั้งสภาพกลังจากที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน และ ความสกปรกต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งฝุ่นและคราบสนิมก็ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ขึ้นได้เช่นกัน

โดยอาการเบรคติดนั้นจะสามารถขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้

1.น้ำมันเบรคเสื่อมคุณภาพ
รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเป็นระยะเวลายาวนาน อาจจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของของเหลวต่างๆได้ ซึงตามปกติแล้วน้ำมันเบรคจะเป็นตัวที่ถ่ายทอดแรงกดไปยังแป้นเบรคตามน้ำหนักของเท้าที่กดลงไปและส่งน้ำหนักไปยังชุดเบรค ซึ่งนอกจากนี้ ในน้ำมันเบรคเองก็ยังมีหน้าที่หล่อลื่นอุปกรณ์ในส่วนต่างๆด้วยเมื่อน้ำมันเบรคเสื่อสภาพจากอายุการใช้งานมาเป็นเวลานานๆ ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะลดลงไปอีกด้วยจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เบรคติดได้อีกด้วย

2. เกิดจากชุดยางโอริงน้ำมันเบรคบวม จนเกิดการอัดแน่นของลูกสูบกับโอริง
สาเหตุที่เกิดการเสื่อมสภาพของชุดยางโอริงนั้นสามารถเกิดได้หลายๆปัจจัยคือ ตัวชุดยางนั้นเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หรืออาจจะเกิดจากคุณภาพของน้ำมันเบรคที่เสื่อมลงเป็นปัจจัยที่ทำให้เบรคชุดยางโอริงเสื่อมบวม หรือความชื้นจากการลุยน้ำประกอบกับอุณหภูมิร้อนเย็นๆก็จะทำให้ยางเบรคบวมเป็นสาเหตุทำให้เบรคติดได้

3.สนิมที่เกิดภายในกระบอกลูกสูบปั้มเบรค จนทำให้เกิดการติดขัดได้
การเกิดสนิมนั้นเป็นเรื่องปกติของโลหะแต่กรณีที่เกิดสนิมภายในกระบอกสูบนั้นจะต้องเกิดจากปัจจัยอื่นๆเช่นยางโอริงที่เสื่อมสภาพจนไม่สามารถกันน้ำหรือกันฝุ่นได้ก็จะทำให้กลายเป็นสนิมนั่นเอง

โดยวิธีแก้อาการเหล่านี้แนะนำรถไปตรวจซ่อมที่อู่บริการ หรือศูนย์บริการของแบรนด์รถนั้นๆ

ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่จะต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก หากเมือรถเกิดอาการผิดปกติก็จะต้องนำเข้าศูนย์บริการ ซึ่งงแน่นอนว่าจะต้องเป็นศูนย์ที่คุณสามารถไว้ใจได้ โดยอาจจะใช้บริการการนำรถสไลด์มานำรถยนต์ของคุณนั้นไปซ่อมนั่นเอง

อาการต่างๆของรถยนต์ที่เกิดขึ้น เราสามารถตรวจสอบได้ด้วยเสียงที่ผิดปกติ อาการที่เปลี่ยนไป หรือ กลิ่นที่เกิดขึ้นฉะนั้น เมื่อใช้รถ ผู้ใช้รถควรจะต้องหมั่นสังเกตอาการต่างๆเหล่านี้ควบคู่กับการใช้รถไปด้วยเพื่อความปลอดภัยมิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อเองและเพื่อนร่วมทางได้นั่นเองครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม และ สามารถดูรถมือสองดูรถยนต์มือสองสภาพดี จากทาง กฤษฎากู๊ดคาร์ ได้ที่

ชุดปะยางฉุกเฉิน กับล้ออะไหล่แบบไหนดีกว่ากัน

ชุดปะยางฉุกเฉิน กับ ล้ออะไหล่แบบไหนดีกว่ากัน?

หากคุณซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ คุณอาจจะสังเกตว่าในหลุมยางอะไหล่ได้เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินเล็กๆ 1 ชุด ความสะดวกในการใช้งานและการประหยัดต้นทุนของแบรนด์รถยนต์นั้นๆ แน่นอนว่า ถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์ยางรั่วขึ้นมาจริงๆแบบไหนที่ดีกว่ากันเราลองมาดูข้อดีและข้อเสียของอุปกรณ์ฉุกเฉินและล้ออะไหล่กันครับว่ามีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

อุปกรณ์ชุดปะยางฉุกเฉิน

โดยอุปกรณ์ชุดนี้จะประกอบไปด้วย

  1. ปั้มลมไฟฟ้า
  2. ชุดเติมน้ำยาอุดรอยรั่ว
  3. ที่วัดแรงดันลมยาง

ชุดปะยางฉุกเฉิน เป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินที่มักจะเห็นในรถรุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะใช้กับรถที่มีขนาดเล็กและยังพบเห็นในรถขนาดกลางบางรุ่นอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันอุปกรณ์นี้ มีต้นทุนที่ถูกกว่ายางอะไหล่นั่นเอง

ข้อดี ของ ชุดปะยางฉุกเฉิน คือ

  1. ประหยัดเนื้อที่และสะดวกในการพกพา เป็นอีกหนึ่งข้อดีสำหรับคนที่มีเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด
  2. ใช้งานง่ายและไม่ต้องออกแรง
  3. มีน้ำหนักเบาและลดภาระน้ำหนักของรถยนต์

ข้อเสีย ของ ชุดปะยางฉุกเฉิน


1. ชุดปะยางฉุกเฉิน มีอายุในการใช้งาน โดยปกติแล้วอายุของตัวน้ำยาอุดรอยรั่วจะอยู่ที่ 2 ปี หากไม่ได้ใช้ สามารถหาซื้อตามท้องตลาดมาใช้แทนได้โดยปัจจุบันมีการวางจำหน่ายหลายหลายยี่ห้อให้เลือก และคุณภาพก็ขึ้นอยู่กับราคาอีกด้วย

2. รอยรั่วจะเกิดคราบกาว เพราะน้ำยาอุดรอยรัวจะมีลักษณะเหนียว บางยี่ห้อทำความสะอาดยาก และบางยี่ห้อนั้นหลังใช้ทิ้งคราบตามรอยรั่วทำให้ช่างปะยางซ่อมยากขึ้น

3. ชุดเติมน้ำยาอุดรอยรั่ว สามารถใช้งานได้เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะใน 1 กระป๋อง จะสามารถใช้ได้กับยางเพียงเส้นเดียวเท่านั้น

4. ชุดปะยางฉุกเฉินจะใช้ได้กับกรณียางรั่วซึมเท่านั้น หากเป็นกรณียางแตกจะไม่สามารถใช้ชุดปะยางฉุกเฉินได้

5. กรณีหากยางรั่วมากหรือแผลยางหลังจากใช้รถยนต์สามารถประคอง รถไปได้แค่ระยะไม่เกิน 60 กิโลเมตร และใช้ความเร็วต่ำ เพื่อประคองรถยนต์ไปถึงร้านปะยาง

6. ประหยัดเวลา เพราะการซ่อมฉุกเฉินด้วยชุดปะยางนั้นขั้นตอนไม่ซับซ้อนและสามารถทำได้งง่ายๆตามคำแนะนำของคู่มือที่ให้ไว้กับอุปกรณ์

อุปกรณ์ฉุกเฉินแบบล้ออะไหล่

อุปกรณ์ชุดยางอะไหล่จะประกอบไปด้วย

1.ยางอะไหล่

2.ชุดประแจบล๊อค

3.แม่แรงแบบหมุน หรือ แบบขวด (ขึ้นอยู่กับลักษณะของรถ)

ข้อเสียของยางอะไหล่

  1. ต้องรู้จุดขึ้นแม่แรง แน่นอนว่าการขึ้นแม่แรงนั้นจะต้องรู้จุดของโครงสร้างรถที่สามารถรับน้ำหนักได้ ซึ่งในจุดนี้อาจจะทำให้สาวๆต้องขอความช่วยเหลือจากผู้รู้เพราะถ้าหากทำไปโดยไม่มีความรู้อาจจะทำให้เกิดอันตรายเป็นอย่างมากได้
  2. เปลี่ยนยากและต้องออกแรง การเปลี่ยนล้อยางอะไหล่จะต้องใช้แรงเป็นอย่างมากเพราะน้ำหนักของยางอะไหล่นั้นมีมากพอสมควร รวมไปถึงขั้นตอนการเปลี่ยนก็จะต้องใช้แรงในการไขน๊อตบล๊อคต่างๆ
  3. ยางอะไหล่มีราคาแพง ตามขนาดและคุณภาพของยางซึ่งยาง 1 เส้นก็มีอายุเทียบเทท่ากับยางหลัก
  4. ใช้ยางอะไหล่คู่กับยางหลัก ไม่ควรขับเร็วเพราะขนาดของยางมีผลต่อความเสถียร และสมรรถภาพของรถยนต์ รวมไปถึงเรื่องการเบรคอีกด้วย

ข้อดีของยางอะไหล่

1.ยางอะไหล่นั้นมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้แทนยางหลักได้ หรือจนกว่าจะเข้าศูนย์หรืออู่เปลี่ยนยางรถยนต์

2. ยางอะไหล่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เมื่อซ่อมยางหลักเรียบร้อยแล้ว สามารถนำยางงอะไหล่กลับมาเก็บที่ท้ายรถได้เพื่อเป็นยางสำรองต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินแบบไหน ทางผู้ผลิตก็ออกแบบมาให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายของตลาดรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตมาเพื่อเอาใจสาวๆก็จะเน้นความ

อุปกรณ์ฉุกเฉินจะมีมาให้ติดกับรถทุกคัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ทางผู้ผลิตจะให้มาเหมาะสมกับกลุ่มตลาดนั้นๆเช่นหากเป็นรถ City Car ก็จะให้อุปกรณ์ที่สามารถซ่อมแซมได้ง่ายๆและรวดเร็วอย่าง ชุดปะยางฉุกเฉิน ซึ่งสามารถซ่อมเบื้องต้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เข้าใจง่าย แต่ถ้าหากเป็นรถในตระกูลที่เจาะกลุ่มตลาดรถยนต์ใช้นอกเมืองก็จะยังเป็นล้ออะไหล่นั่นเองครับ
อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม หรือหากสนใจรถยนต์มือสอง สามารถกดที่ลิงค์ กฤษฎากู๊ดคาร์

All-New Toyota Sienta 2023 เปิดราคาอย่างเป็นทางการแล้ว ที่ญี่ปุ่น

All-New Toyota Sienta 2023 จากที่เราติดตามกันในช่วงราวๆเดือนก่อน และตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ได้มีการปรับโฉมและดีไซน์ใหม่ทั้งหมด พร้อมกับเครื่องยนต์ขุมพลัง Dynamic Force 1.5 ลิตร และ Series Parallel Hybrid 1.5 ลิตร เคาะราคาจำหน้าย 1.95 ล้าน – 3.108 ล้าน เยน หรือตีเป็นเงินไทยราวๆ 510,000 – 820,000 แสนบาทไทย

All-New Toyota Sienta 2023 ใหม่ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเจเนเรชั่นที่ 3 แล้ว โดยใช้เป็นแพลทฟอร์ม TNGA (GA-B) โดยมีให้เลือกทั้งห้องโดยสารแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง และ 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมกับการออกแบบที่เรียกว่า “Shikakumaru” ที่นำเอาเส้นสายความเหลี่ยมและกลมมนเข้าด้วยกันทั้งภายนอกรถและภายในห้องโดยสาร ทำให้ดูมีมิติและความคล่องตัวกระทัดรัด เสริมด้วยกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความโปร่งให้ดูโล่งสบายภายในห้องโดยสาร มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 7 สี ทั้งแบบโมโนโทนและทูโทน

ความสูงของแพดานเพิ่มจากรุ่นก่อนถึง 20 มิลลิเมตร และเพิ่มระยะโดยสารระหว่าง เบาะแถว 1 และแถว 2 ห่างกันเพิ่มมากขึ้นถึง 80 มิลลิเมตร ช่วยเพิ่มที่วางขาสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 โดยเวอร์ชั่นญี่ปุ่นยังมาพร้อมกับช่องแอร์เหนือเพดาน ซึ่งเป็นพัดลมดึงเอาความเย็นมาหมุนเวียนให้กัยยห้องโดยสารตอนหลัง และติดตั้งม่านบังแดดหน้าต้างประตูแบบสไลด์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย

นอกจากนี้ All-News Toyota Sienta 2023 ใหม่ ยังมีการออกแบบประตูสไลด์คู่หลังให้มีความสูงเพิ่มขึ้นอีก 60 มิลลิเมตร เพื่อให้ผู้โดนสารเข้าออกได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบแฮนด์ฟรีที่สามารถเปิดปิดประตูได้แบบอัตโนมัติ เพียงแค่พกกุญแจไว้กับตัวและสอดเท้าเข้าไปที่ใต้ประตูคู่หน้า โดยโตโยต้าได้ระบุเพิ่มเติมอีกว่าพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายยังถูกออกแบบให้มีความสูงเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร และบานหลังที่สามารถยกสูงขึ้นได้อีก 15 มิลลิเมตร เพื่อให้การขนสัมภาระสเข้าออกได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

All-New Toyota Sienta 2023 ใหม่ มาพร้อมกัยความปลอดภัย Toyota Safety Sense เป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่ใส่มาให้ในทุกๆรุ่นย่อย โดยมีการปรับปรุงงเรื่องโครงสร้างและระบบการชน Pre-Collision Safety System ให้สามารถตรวจจับผู้ใช้รถจักรยานยนต์์ (ในเวลากลางวัน) คนเดินถนน และผู้ใช้จักรยานยนต์ได้ดี่ยิ่งขึ้น และระบบ Proactive Driving Assist ช่วยป้องกันการเข้าใกล้คนเดินถนน ผู้ใช้จักรยาน และรถที่จอดอยู่ข้างงทางมากเกินไป

ขณะที่ขุมพลังมีให้เลืือกทั้งเครื่องยนต์ Series Parallel Hybrid ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ Dynamic Force ขนาด 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเพียงแค่ 28.8 กม./ลิตร ภายใต้มาตราฐานการทดสอบ WLTC รวมถึงสามารถเลือกติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (E-Four) ได้ และเครื่องยนต์แบบเบนซิน Dynamic Force ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ Direct-Shift CVT แบบ Sport Sequential Shiftmatic สามารถล็อคอัตราทดได้ถึง 10 สปีด สามารถทำอัตรสิ้นเปลืองได้เฉลี่ยที่ 18.3 กม./ลิตร บนมาตรฐานการตรวจสอบ WLTC เช่นเดียวกัน

All-New Toyota Sienta 2023 ในญี่ปุ่นถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 รุ่นย่อย โดยสามารถเลือกกได้ทั้งห้องโดยสารแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง โดยวางราคาคำหน่ายถึง 1,950,000 – 3,108,000 เยนหรือราวๆ ประมาณ 510,000 – 820,000 บาทไทย

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม หรือหากต้องการดูรถมือสองสภาพดี สามารถดูได้ที่ โชว์รูมรถมือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์

ไม่โดนปรับ นั่งหลังแคป – กฎหมายมีข้อยกเว้น

จากกรณี เสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์ กับเรื่องราวขางรถกระบะแคปจนเป็นวลี “อวสานกระบะแคป” จากวันที่ 5 กันยายน 2565 กฎหมายมีผลบังคับใช้ให้เบาะที่ 2 ต้องคาดเข็มขัด หากฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาทนั้น ทำเอาหลายๆคนเกิดข้อสงสัยและกังวลไปตามๆกัน และล่าสุดนายจิรุฒน์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทาทงงบก ได้เปิดเผยว่า ตรวจสอบแล้วกระทุ้พันทิป ที่มีกระแลความเข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าคนที่นั่งในกระบะแคปด้านหลังคนขับจะตองคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย

ตามข้อเท็จจริงนั้น พ.ร.บ.จราจรทางบก จะเริ่มมีการบังคับใช้จริง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. จะต้องมีการออกประกาศเกี่ยวกับการคาดเข็มขัดนิรภัยเพิ่มเติมภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้

และที่สำคัญตัวร่างประกาศจะมีข้อยกเว้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะรถกระบะแคปนั้น จะไม่ได้มีผลกระทบต่อประชาชน รวมไปถึง พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 กำหนดให้คาดเข็มขัดนิรภัยเฉพาะแถวหน้าเท่านั้น ในส่วนของแค๊ปไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เพียงกำหนดให้จะต้องมีผู้โดยสารไม่เกิน 3 คน เพื่อที่จะไม่เกิดความแออัดกันเกินไป จนมีความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ตัวอย่างเช่น – รถเก๋ง รถแทีกซี่ รีลีมูซีน และกระบะ 4 ประตู จดทะเบียนก่อน 1 มกราคม 2531 ไม่บังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัย

  • รถกระป๊อ จดทะเบียน ตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ที่นั่งคนขับ ที่นั่งตอนหน้า
  • รถตู้ส่วนบุคคล จดทะเบียนก่อน 1 มกราคม 2537 ไม่บังคับติดตั้ง เข็มขัดนิรภัย และ รถปิคอัพ รถสองแถวจดทะเบียนก่อน 1 มกราคม 2537 ไม่ยังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น

หลังจากนี้ทางสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ จะเป็นผู้นำร่างประกาศเสนอให้ คณะกรรมการใหญ่เห็นชอบ และออกเป็นประกาศ สตช. กฎหมายจึงจะมีผลบังคับใช้ในลำดับต่อไป

อ่านข่าวรถยนต์ และดูรถมือสองสภาพดีได้ที่นี่เลย โชว์รูมรถมือสอง กฤษฎากู๊ดคาร์

BMW เตรียมผลิต SUV ใช้พลังงาน “ไฮโดรเจน” ใช้เวลาเติมสั้นๆ เปิดขายในปี 2025

การผลักดันพลังงานสะอาดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ท่ามกลางกฎระเบียบมากมายที่เกิดขึ้นในแถบยุโรป ทำให้ BMW นั้นเริ่มที่จะผลิตรถยนต์ที่มีเชื้อเพลิงสะอาดหลากหลายทางเลือกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื้อเพลิง Hydrogen นี้ โดยรายละเอียดได้ระบุไว้ว่าสามารถเติมเชื้อเพลิงได้เต็มภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3-5 นาทีเท่านั้น และยังงสามารถวิ่งไกลกว่ารถไฟฟ้าอีกด้วยโดยทาง BMW ได้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงประเภทนี้ร่วมกับ Toyota Motor ภายในปี 2025

ซึ่งก่อนหน้านี้ ทาง BMW เปิดตัวรถต้นแบบ X5 Hydrogen International Motor Show Germany ในเดือนกันยายน 2021 พร้อมประกาศว่าจะผลิตรถยนต์อเนคประสงค์ขนาดเล็กและจะเริ่มขึ้นก่อนสิ้นปี 2022

เราเห็นว่าเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนมีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับรถ SUV ขนาดใหญ่ ปีเตอร์ โนตา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย BMW กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Nikkel Asia


อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม และหากต้องการดูรถมือสองสภาพดี สามารถเข้าชมรถได้ที่เว็บไซด์ Kitsadagoodcar


6. รถเก่าน่าสะสมจากค่าย TOYOTA รุ่นไหนน่าเก็บ เตรียมราคาขึ้น

Toyota ถือว่าเป็นแบรนด์รถที่ถือกำเนิดขึ้นจากบริษัทสิ่งทอผ้า และมีความเป็นมาอย่างยาวนาน กว่า 60-70 ปี และจากบริษัทที่ผลิตเครื่องทอผ้ากลายมาเป็นรถยนต์ในวันนี้ซึ่ง Toyota ได้สร้างตำนานอย่างมากมาย จากยุคสู่ยุค และในปัจจุบันมีรถหลายๆรุ่นของ Toyota ที่สร้างตำนาน จนรถเก่าหลายๆรุ่นกลายเป็นของแรร์และสามารถสร้างความนิยม พร้อมไปกับราคาที่สวนกระแส ลองมาดูครับว่า รถ 90’s ทาง Toyota คันไหนน่าเก็บน่าสะสม และเตรียมราคาขึ้นบ้าง มาดูกันครับ

6. Toyota Corolla AE86 (Trueno) ปี 1986

Toyota Corolla AE86 (Trueno) รถตำนาน จากกรารตูนเรื่องดังที่ทำเอาเป็นกระแสโด่งดังมาแล้วทั่วโลก Drifting Initial D ด้วยแฟนๆที่ชื่อชอบการ์ตูนเรื่องนี้กันอย่างบ้าคลั่ง!! ทำให้รถตัวแสดงหลักของพระเอกที่ชื่อว่า ทาคูมิ ได้ควบรถของพ่อคู่ใจอย่าง Toyota Corolla AE86 เพื่อไปส่งเต้าหู้ทุกเช้ามืดที่โรงแรม ในอีกฟากของเหขาอากีนะ และเหล่านักแข่งไร้สังกัตมักจะขนานนามว่า รถส่งเต้าหู้เทพเจ้าแห่งอากีนะ เพราะความสนุกของเรื่องนี้จึงได้ทำคะแนนมหาชนกลายมาเป็นรถรุ่นยอดฮิตของตลาด และถือว่าในปัจจุบัน และตอนนี้ถือว่าหาไม่ได้ง่ายๆอีกต่อไปแล้ว จึงทำให้ราคาค่อยๆเริ่มทยานทุกครั้งที่มีกระแส และเป็นที่น่าสนใจขวัญใจตามงานรวมตัวต่างๆอีกด้วย

5. Toyota MR-S ปี 2004

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานรถยนต์ขนาดเล็กเครื่องวางกลาง (Mid Engine) ที่เรียกว่าแปลกใหม่ในยุคนั้นเพราะด้วยเครื่องวางกลางนี้เองทำให้มีการบาลานซ์น้ำหนักของตัวรถได้ดีกว่าเครื่องแบบตำแหน่งธรรมดาทั่วไปอีกทั้งยังเป็น Model Generation รุ่นที่ 3 ของเครื่องวางกลางที่ต่อจาก MR-2 ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่การปรับขนาดตัวถังจากรุ่นก่อนให้เล็กลง และประทุน มี 2 แบบ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบผ้าใบ (หลังคาอ่อน) หรือจะติดตั้งหลังคาแข็ง เรียกว่าทั้งสวยงามและเกะกะในเวลาที่ต้องการใช่เฉพาะหลังคาอ่อนไม่รู้จะหาที่เก็บหลังคาที่ไหน และในปี 2002 จะเริ่มมีรูปแบบของเกียร์ ธรรมดาแบบอัตโนมัติ SMT และไม่มีคันเกียร์ลาย H แบบธรรมดาหรือแป้นคลัตช์ และในปัจจุบันเรื่องราคาอาจจะยังไม่หวือหวามากนักแต่ก็ถ้าหากสภาพสวยๆเดิมๆก็สามารถเรียกราคาได้สูง เพราะในปัจจุบัน นิยมนำไปดัดแปลง Body เพื่อตอบสนองสำหรับคนที่ชอบรถสปอร์ท และยังทำออกมาได้หลากหลายซะด้วย

4.Toyota Celica ST185 POP-UP light Generation 5

Toyota Celica ST185 POP-UP light แม้ว่าหลายคนอาจจมองว่าเป็นรุ่นนอกกระแส แต่นักเลงรถกลับไม่คิดแบบนั้น เพราะด้วยอำนาจของกระแสรถเก็บ 90’s ทำให้รถสปอร์ตคูเป้ ในตำนานอย่าง Celica กลายเป็นรถที่หลายๆคนเริ่มกลับมามองหาเรียกว่าเป็นรุ่นเล็กที่ยังพอหาจับต้องได้ ภายใต้รหัส ST184 , ST185 และ ST185 GT-Four รุ่นที่สองของตระกูล ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตัวหายากสุด เครื่อง 3S-GTE กำลังขับ 245 แรงม้า และยิ่งเป็นดีไซน์ไฟ Pop-Up Light ก็ยิ่งโดนใจของกลุ่มนักสะสมอีกด้วย ปัจจุบันราคาหาอยู่ราวๆประมาณ 2 แสนปลายๆถึง 3 แสนปลายๆ และในปี 2022 ก็อยู่ราวๆ 4 กลางๆ อาจจะเพิ่มมูลค่าตามสภาพของรถในอนาคตอีกด้วย

3.Toyota MR-2

TOYOTA MR-2 เป็นรถสปอร์ตอีกรุ่นเริ่มต้นโปรเจกต์เครื่องวางกลางขับเคลื่อนล้อหลังของ Toyota และถือกำเนิดในปี 1979 โดยจับในกลุ่มเป้าหมายคือรถยนต์ที่ขับสนุก และยังคงให้การประหยัดน้ำมัน โดยต้นแบบที่ SV-3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1983 ที่งาน Tokyo Motor และในรุ่นที่ 2 ก็ได้มีการออกแบบใหม่ปรับเปลี่ยนขนาดให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ารุ่นก่อนถึง 159 ถึง 181 กิโลกรัม มีห้องโดยสาร หรูหราและกว้างมากยิ่งขึ้น และภายนอกได้ปรับเปลี่ยนเส้นสายให้มีความโค้งมนมากขึ้น ปรับปรุงในเรื่องของงระบบกัยสะเทือนที่แข็งแรงขึ้นทำให้คล่องตัวขับกระชับตามสไตล์รถสปอร์ต เครื่องยนต์แบบ 3S-GE 2.0 ลิตร มีม้าถึง 165 ตัว ที่ถูกบรรจุลงกลางลำรถรุ่นนี้ และถ้ายิ่งเป็ย G-Limited จะมาพร้อมกับระบบควบคุมอุณหภูมิแบบอิเล็กทรอนิกส์ และคาดว่าในอนาคตจะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2021 ที่มีราคาอยู่ราวๆ 3-4 แสน ในปี 2022 ทยานไปถึงราวๆ 6-7แสนบาทเลยททีเดียว

2.Toyota Celica ST202 Generation 6

Toyota Celica ST202 ภายใต้ตัวถัง T200 ถือกำเนิดเมื่อปี 1993 และเริ่มวางจำหน่ายในปี 1994 ซิ่งเป็นรถสปอร์ตทรงคูเป้ สไตล์โมเดิน รุ่นแรกของทาง Toyota โดยจะถูกแยกออกมาเป็น 2 รุ่นย่อยคือ แบบขับเคลื่อน 2 ล้อรหัส ST202 – ST204 และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะมีตัวถังรหัส ST205 โดยจีมีตัวถังถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ Liftback 3 ประตู Notchback 2 ประตู และ Convertible 2 ประตู และโฉมนี้จะมีเครื่องยนต์ 3 ขนาด คือ 1.8 ลิตร 2.0 ลิตร และ 2.2 ลิตร ซึ่งชาวไทยเรามักจะเรียกเป็นฉายาว่า “โฉมตากลม”นั่นเอง หากใครเริ่มหาซื้อเก็บ เมื่อช่วงราวๆปี 2020 ราคา นั้นต่ำสุดที่ราวๆ 2.1 แสนเท่านั้น!! และในปี 2022 ก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็น 3.2 แสนแล้ว หากสภาพดีๆ ก็อาจจะสูงถึง 3.8 และอนาคตคาดว่าจะสูงขึ้นได้อีก

1.Toyota Supra 1997 Mk4

รถซิ่งสปอร์ทอเนคประสงค์ของเหล่าสำนักนักแต่ง รถแรงรถซิ่งยกให้เขาเป็น Super Stars ของวงการ ซึ่งถือว่าเป็นรถสืบสายเลือดของตระกูล GT เครื่องวางหน้า 6 สูบอย่าง TOYOTA 2000GT มาเต็มๆ เพราะมันไม่ได้เกิดมาแค่วิ่งในสนามเท่านั้นแต่มันสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติทำให้ Supra ได้เป็น 1 ในตัวเต็งกับเหล่าเพื่อนร่วมสมัยอย่าง Nissan Skyline R34, Honda NSX และ Mazda RX7 และเสนห์ที่ดึงดูดให้เหล่าชอบรถหลงไหลกลายมาเป็นแฟนๆของรุ่นนี้ คือดีไซน์คอนโซลหน้าของส่วนคนขับ คล้ายๆกับรถในสนามอย่าง F1 ซึ่งองศาของอุปกรณ์ต่างๆจะหันเข้าหาคนขับ เรียกว่าได้อารมณ์เหล่านักซิ่งแบบสุดๆ และความหายากนั้นคือความสมบูรณ์ของรุ่นนี้ที่รอดจากน้ำมือลองเหล่าช่างจูนทั้งหลายและยังไม่ตายกลาง ซึ่งสภาพเดิมๆนั้นหายากแบบสุดๆทำให้ราคานั้นสูงกว่ารถที่ปรับแต่งมาแล้วสำหรับคนที่ชอบเก็บอาจจะต้องหาซื้อตามบ้านเพราะเหล่าเจ้าของเต็นท์รถเองก็แอบมีใจเก็บรุ่นนี้เช่นกัน ในช่วงราวๆปี 2018 หากใครเริ่มหาซื้อรุ่นนี้ จะได้อยู่ราวๆ 9 แสน จนไปถึงง 1.4 ล้านนั้นขึ้นอยู่กับสภาพ แต่ในในปี 2022 ได้ปรับราคาสูงไปถึงราวๆ 2.4 – 3.6 ล้านเลยทีเดียว และอาจจะเพิ่มมูลค่าขึ้นไปตามความหายากในอนาคต

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานในเรื่องของมูลค่าสำหรับคนที่ชอบเก็บหรือสะสมรถอาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนซื้อซักนิดแต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ชอบอยู่แล้วอันนี้จะหารถ Toyota น่าสะสมซักคนก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ แต่ถ้าหากต้องการซื้อรถมือสองสภาพดีซักคัน สามารถเข้าไปดูที่เว็บไซด์อย่าง Kitsadagoodcar

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม