รถมือสองนนทบุรี

• ชุดแต่ง M Sport แท้จากโรงงาน: เสริมความสปอร์ตดุดันรอบคัน ทั้งภายนอกและภายใน
• เครื่องยนต์ดีเซล TwinPower Turbo: ขุมพลัง 2.0 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร ประหยัดน้ำมันสูง
• สมรรถนะการขับขี่สไตล์ BMW: ขับเคลื่อนล้อหน้า (sDrive) พร้อมช่วงล่าง M Sport ให้การควบคุมที่เฉียบคม
• ออปชั่นและความปลอดภัยครบครัน: เบาะ Sport, พวงมาลัย M Sport, iDrive, เซ็นเซอร์รอบคัน, ฝาท้ายไฟฟ้า
• ความคุ้มค่า: สัมผัสประสบการณ์ SUV พรีเมียมจากเยอรมนี ในราคาที่จับต้องได้

ชุดแต่ง M Sport

ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่คือการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยกันชนหน้า-หลังดีไซน์เฉพาะ, ล้ออัลลอย M 18 นิ้ว, พวงมาลัย M Sport และเบาะ Alcantara ทรง Sport ที่โอบรับสรีระได้ดีเยี่ยม

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0L

เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง "ความแรง" และ "ความประหยัด" แรงบิดสูงในรอบต่ำช่วยให้การเร่งแซงทำได้อย่างมั่นใจ ขณะเดียวกันก็มีอัตราสิ้นเปลืองที่น่าทึ่ง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

ความอเนกประสงค์แบบ SUV

X1 ยังคงมอบพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเกินตัว พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่สามารถพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้อีก ทำให้รถคันนี้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

BMW X1 sDrive18d เป็นหนึ่งใน SUV พรีเมียมที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาส

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: ประมาณ 20-22 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและลักษณะการขับขี่)

พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายมีความจุที่ยืดหยุ่นและใช้งานได้จริง

• ความจุปกติ (เมื่อยังไม่พับเบาะหลัง): 505 ลิตร
• ความจุสูงสุด (เมื่อพับเบาะหลังลง): 1,550 ลิตร

นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของ BMW X1 F48 ในรุ่นท็อปสุดอย่าง "M Sport" ที่มาพร้อมภาพลักษณ์ที่เหนือกว่าและสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน ในราคาที่คุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเงินเพียง 729,000 บาท คุณจะได้รับรถ SUV พรีเมียมจากเยอรมนีที่ครบเครื่อง ทั้งความแรงจากเครื่องยนต์ดีเซล, ความประหยัดน้ำมันระดับ Eco-car, ความอเนกประสงค์ของตัวรถ และที่สำคัญคือชุดแต่ง M Sport เต็มรูปแบบ

เมื่อเทียบกับราคาเปิดตัวที่สูงถึง 2.6 ล้านบาท การซื้อรถคันนี้ในวันนี้เท่ากับคุณประหยัดเงินไปได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่มองหาความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านภาพลักษณ์ สมรรถนะ และความคุ้มค่าในคันเดียว

• เครื่องยนต์ทรงพลัง: ดีเซล 2.8 ลิตร GD Super Power 177 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร
• กระบะเรียบขนาดใหญ่พิเศษ: Flatbed กว้าง 1.80 ม. ยาว 2.42 ม. พร้อมตู้ทึบอลูมิเนียมสูง 1.80 ม.
• ช่วงล่างระดับ Heavy-Duty: อัปเกรดชุดแหนบหลังและโช้คอัพเพื่อการบรรทุกหนักโดยเฉพาะ
• โครงสร้างแชสซีส์แข็งแกร่ง: แชสซีส์ GOA ของโตโยต้า รองรับการดัดแปลงและน้ำหนักบรรทุกได้อย่างมั่นคง

เครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power

ด้วยแรงบิดที่สูงมาในรอบต่ำ ทำให้มีกำลังฉุดลากมหาศาลตั้งแต่ออกตัว แม้จะบรรทุกเต็มพิกัดก็ยังสามารถไต่ทางชันได้อย่างมั่นใจ

กระบะเรียบ (Flatbed) พร้อมตู้ทึบ

ทำให้ไม่มีซุ้มล้อมาขวางพื้นที่ สามารถวางสินค้าขนาดใหญ่เช่น พาเลท ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการมีตู้ทึบช่วยป้องกันสินค้าจากแดดและฝนได้อย่างดีเยี่ยม

ช่วงล่างอัปเกรด (ชุดแหนบและโช้คอัพ)

ช่วยให้รถสามารถรับน้ำหนักได้เกิน 2-3 ตัน (ขึ้นอยู่กับกฎหมายกำหนด) ได้อย่างปลอดภัย ลดอาการท้ายห้อย เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่

ล้อกระทะผ่า

มีความแข็งแรงทนทานสูงมาก สามารถรับแรงกระแทกและน้ำหนักบรรทุกหนักได้ดีกว่าล้อแม็กแฟชั่นทั่วไป เหมาะสมกับการใช้งานอย่างแท้จริง

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามสเปคโรงงาน (ขับขี่ทั่วไป): ประมาณ 12-14 กม./ลิตร
• ประเมินเมื่อบรรทุกเต็มพิกัด (ประมาณ 2-2.5 ตัน): คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8-10 กม./ลิตร ซึ่งสมเหตุสมผลสำหรับรถงานหนัก

• ขนาดพื้นที่บรรทุก: กว้าง 1.80 เมตร x ยาว 2.42 เมตร x สูง 1.80 เมตร
• ปริมาตรในการบรรทุก: ประมาณ 7.84 ลูกบาศก์เมตร (CBM)

สามารถขนส่งสินค้ากล่อง, สินค้าเกษตร, หรือวัสดุก่อสร้างได้ในปริมาณมากต่อเที่ยว

Toyota Hilux Revo 2.8 คันนี้คือ "รถทำมาหากิน" ที่ถูกสร้างมาอย่างเข้าใจถึงความต้องการของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ด้วยการนำรถกระบะตอนเดียวที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง มาดัดแปลงครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มขีดสุดของศักยภาพในการบรรทุก

หากคุณกำลังมองหารถสำหรับธุรกิจขนส่ง, ก่อสร้าง, หรือการเกษตร ที่ต้องการบรรทุกสินค้าที่มีทั้งขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก คันนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ เพราะได้ลงทุนในส่วนที่จำเป็นที่สุดมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว การซื้อรถคันนี้จึงไม่ใช่แค่การซื้อรถ แต่คือการซื้อโซลูชันที่พร้อมสร้างรายได้ให้คุณได้ทันทีในราคาที่คุ้มค่ากว่าการไปสร้างเองตั้งแต่ต้น

• เครื่องยนต์ทรงพลัง: ดีเซล 3.0 Ddi Blue Power 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร
• กระบะหลังคาสูงขนาดใหญ่: ความสูงภายใน 2.10 เมตร เพิ่มพื้นที่บรรทุกสินค้ามหาศาล
• ช่วงล่างเสริมพิเศษ: ติดตั้งแหนบเสริมและโช้คอัพหลัง พร้อมล้อแม็กและยางเสริมความแข็งแกร่ง
• อุปกรณ์เสริมสำหรับมืออาชีพ: เกจวัดบูสต์และเกจวัดอุณหภูมิในห้องโดยสาร
• สภาพพร้อมใช้งาน: รถปี 2023 สภาพดี พร้อมลุยงานได้ทันที

เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power

มอบพละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือน้ำหนักมาก ช่วยให้การส่งสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงเวลา

กระบะหลังคาสูง 2.10 เมตร

หัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยสูงสุด สามารถขนย้ายเฟอร์นิเจอร์, กล่องพัสดุขนาดใหญ่, หรือสินค้าที่มีความสูงเป็นพิเศษได้อย่างสะดวกสบาย

ช่วงล่างอัปเกรด (แหนบเสริม + โช้คอัพหลัง)

ช่วยให้รถรับน้ำหนักได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลดอาการท้ายห้อยเมื่อบรรทุกหนัก ทำให้การขับขี่มั่นคง ปลอดภัย และควบคุมรถได้ง่ายขึ้น

Isuzu D-MAX 3.0 Ddi Blue Power มีชื่อเสียงเรื่องความประหยัดเมื่อเทียบกับสมรรถนะ

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามสเปคโรงงาน (ขับขี่ทั่วไป): ประมาณ 13-15 กม./ลิตร
• ประเมินเมื่อบรรทุกเต็มพิกัด (พร้อมหลังคาสูง): คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 9-11 กม./ลิตร ซึ่งยังคงถือว่าประหยัดเมื่อเทียบกับปริมาณงานที่ทำได้

• ความสูงภายในกระบะหลังคาสูง: 2.10 เมตร
• ปริมาตรโดยประมาณ: 2.30 ม. (ยาว) x 1.57 ม. (กว้าง) x 2.10 ม. (สูง) = ประมาณ 7.59 ลูกบาศก์เมตร (CBM)

ด้วยปริมาตรขนาดใหญ่นี้ ทำให้สามารถบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักเบาแต่กินพื้นที่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Isuzu D-MAX 3.0 SPARK S คันนี้ ไม่ใช่แค่รถกระบะธรรมดา แต่คือ "แพ็กเกจธุรกิจ" ที่พร้อมทำเงินให้คุณได้ทันที ด้วยราคา 419,000 บาท คุณได้รับรถกระบะปีใหม่ (2023) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร อันทรงพลัง ซึ่งหายากในตลาดรถมือสองในราคานี้ นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดสำคัญที่จำเป็นสำหรับงานขนส่งมาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นกระบะหลังคาสูงขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการบรรทุก และช่วงล่างที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่ง

การตัดสินใจซื้อรถคันนี้จึงเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการนำรถไปติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เอง ซึ่งจากตารางเปรียบเทียบราคาจะเห็นได้ชัดว่าคุณประหยัดเงินไปได้กว่า 3 แสนบาท เมื่อเทียบกับการซื้อรถใหม่แล้วนำมาทำเอง Isuzu D-MAX Spark 3.0 คันนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการรถขนส่งประสิทธิภาพสูง คุ้มค่า และพร้อมลุยงานได้ทันที!

• เครื่องยนต์: ดีเซลรหัส 1KD-FTV ขนาด 3.0 ลิตร Commonrail Turbo Intercooler
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด (ECT-i) ขับเคลื่อนล้อหลัง
• ห้องโดยสาร: เบาะนั่ง 4 แถว 11 ที่นั่ง พร้อมเบาะแถวที่ 2 แบบ Captain Seat
• ความสะดวกสบาย: ประตูสไลด์ 2 ด้าน พร้อมระบบปรับอากาศแยก 2 ตอน
• ความปลอดภัย: โครงสร้างนิรภัย GOA, ระบบเบรก ABS, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า

ขุมพลังดีเซล 1KD-FTV ในตำนาน

หัวใจหลักที่ทำให้ Ventury เป็นที่ยอมรับ คือเครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดสูงถึง 300 นิวตัน-เมตร ในรอบต่ำ ช่วยให้อัตราเร่งตอบสนองทันใจแม้บรรทุกเต็มพิกัด ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง ดูแลง่าย และหาอะไหล่สะดวก

ห้องโดยสารอเนกประสงค์

เบาะ Captain Seat แถวที่ 2 มอบความเป็นส่วนตัวและความสบายสูงสุด ส่วนเบาะแถวสุดท้ายสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

ความนุ่มนวลในการเดินทาง

ช่วงล่างที่ถูกเซ็ตมาเพื่อการโดยสารโดยเฉพาะ ให้ความนุ่มนวลที่เหนือกว่ารถตู้ทั่วไป ช่วยลดความเมื่อยล้าในการเดินทางไกลได้อย่างดีเยี่ยม

• ความคุ้มค่าสูงสุด: คุณจะได้เป็นเจ้าของรถตู้ระดับพรีเมียมในราคาที่ประหยัดกว่ารถใหม่เกือบ 700,000 บาท
• เครื่องยนต์ที่พิสูจน์แล้ว: ได้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ขึ้นชื่อว่าทนทานที่สุดรุ่นหนึ่งของ Toyota สบายใจได้เรื่องการดูแลรักษาในระยะยาว
• ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน: เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่รักการเดินทาง หรือเริ่มต้นธุรกิจรถรับ-ส่งผู้บริหาร/นักท่องเที่ยว

Toyota Ventury 3.0 G ปี 2018 คันนี้ คือโอกาสที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของรถตู้ที่เพียบพร้อมในราคาที่จับต้องได้

• เครื่องยนต์: เบนซิน 3 สูบ รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร
• กำลังสูงสุด: 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
• เกียร์: ธรรมดา 5 สปีด (จุดเด่นของคันนี้)
• ขับเคลื่อน: ล้อหน้า

1. ห้องโดยสารที่กว้างเกินคาด

ดียังไง?: Almera คือรถ Eco Car ที่มีพื้นที่วางขาของผู้โดยสารด้านหลัง (Rear Legroom) กว้างที่สุดในยุคนั้นเลยครับ กว้างจนรถซีดานรุ่นใหญ่กว่าบางคันยังอาย ทำให้นั่งเดินทางไกลๆ ได้สบาย ไม่อึดอัด เหมาะมากสำหรับครอบครัวเล็กๆ

2. ความทนทานและประหยัดของเกียร์ธรรมดา

ดียังไง?: สำหรับคนที่ขับรถเกียร์ธรรมดาเป็น นี่คือข้อดีเลยครับ เพราะเกียร์ธรรมดาขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูงมาก จุกจิกน้อย และมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าเกียร์ออโต้ CVT ในระยะยาว แถมยังให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

3. ราคาที่เข้าถึงง่ายที่สุด

ดียังไง?: ในงบประมาณแสนกลางๆ การได้รถยนต์ซีดานปีไม่เก่ามากที่ยังใช้งานได้ดี ถือเป็นอะไรที่คุ้มค่าสุดๆ ครับ เหมาะมากสำหรับน้องๆ นักศึกษา, คนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือบ้านที่อยากมีรถอีกคันไว้ขับจ่ายตลาด

• รถยนต์ในราคามอเตอร์ไซค์: นี่คือจุดขายที่แข็งแกร่งที่สุดครับ ในงบที่หลายคนอาจจะกำลังมองหามอเตอร์ไซค์ แต่คุณสามารถได้รถยนต์ที่มีแอร์เย็นๆ, กันแดดกันฝน, และขนของได้เยอะกว่ามาก
• เกียร์ธรรมดา...เสน่ห์ของคนรักการขับรถ: ในยุคที่รถส่วนใหญ่เป็นเกียร์ออโต้ การได้ขับเกียร์ธรรมดาคือความสนุกและความคลาสสิก มันให้อำนาจในการควบคุมรถอย่างเต็มที่ และที่สำคัญคือ "ทนทานสุดๆ"
• แต่งมาให้แล้ว ไม่ต้องทำเพิ่ม: การที่รถได้ล้อแม็กมาเรียบร้อยแล้ว ทำให้คุณประหยัดเงินค่าแต่งไปได้หลายพันบาท แถมยังทำให้รถดูสวยลงตัวกว่าล้อกระทะเดิมๆ จากโรงงานอีกด้วย

ข้อควรพิจารณา: ถึงแม้จะเป็นรุ่น E (รุ่นเริ่มต้น) แต่ก็มีออปชันพื้นฐานที่จำเป็นมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น กระจกไฟฟ้าครบทั้ง 4 บาน และการที่คันนี้ได้ ล้อแม็ก มาด้วย ก็ยิ่งช่วยเสริมให้รถดูดีขึ้นกว่าเดิมมากครับ

ด้วยความที่เป็นเครื่อง 1.2 ลิตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา บอกเลยว่าประหยัดมากครับ ตัวเลขเฉลี่ยทำได้สบายๆ ที่ 18 - 20 กิโลเมตร/ลิตร

ราคาที่คุณให้มา: 149,000 บาท

ราคาตอนออกห้าง (ปี 2014): ประมาณ 455,000 บาท

เห็นชัดๆ เลยว่า: ที่ราคา 149,000 บาท ถือว่า "คุ้มค่ามาก" สำหรับการได้รถยนต์มาใช้งานหนึ่งคัน คุณจ่ายเงินน้อยกว่าตอนป้ายแดงไปถึงสามแสนกว่าบาท ซึ่งทำให้รถคันนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

Nissan Almera 1.2 E MT (2014) คันนี้ คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่มองหา "รถยนต์ที่เน้นความคุ้มค่าสูงสุด" ครับ เหมาะสำหรับเป็นรถคันแรก, รถใช้งานในเมืองที่ต้องการความประหยัด, หรือสำหรับคนที่ชื่นชอบและไว้ใจในความทนทานของระบบเกียร์ธรรมดา หากคุณต้องการรถที่พาคุณเดินทางจากจุด A ไป B ได้อย่างสบายๆ ในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ...คันนี้คือคำตอบที่ใช่เลยครับ

• เครื่องยนต์: เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร MIVEC (เน้นความประหยัดเป็นหลัก)
• กำลัง: 78 แรงม้า / แรงบิด: 100 นิวตัน-เมตร
• เกียร์: อัตโนมัติ CVT (ขับง่าย นุ่มนวล)
• ความปลอดภัย: ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

รุ่นนี้คือการนำจิตวิญญาณของ Ralliart มาใส่ใน Mirage ทำให้ดูซิ่งและโดดเด่นกว่ารุ่นปกติเยอะมากครับ:

• ชุดสติ๊กเกอร์คาดข้าง Ralliart: ลายคาดสีแดง-ดำ-เทาอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เห็นแล้วรู้เลยว่านี่ไม่ใช่ Mirage ธรรมดา
• ซุ้มล้อสีดำ: ทำให้ตัวรถดูบึกบึนและมีมิติมากขึ้น
• แผ่นกันโคลนสีแดง: นี่คือของแต่งที่แฟนๆ Ralliart รู้กันดี เป็นสัญลักษณ์ของรถแข่งแรลลี่เลยครับ
• ภายในตกแต่งพิเศษ: เบาะนั่งและพรมปูพื้นจะมีการเดินด้ายสีแดงและมีโลโก้ Ralliart เพิ่มความสปอร์ตเร้าใจ

• หล่อกว่าใครในราคาเบาๆ: คุณได้รถที่แต่งหล่อมาครบจากโรงงาน ดูโดดเด่นและมีเรื่องราว ไม่ใช่แค่ Eco Car ทั่วไป
• ได้รถปีใหม่มาก: นี่คือรถปี 2022 ซึ่งยังถือว่าใหม่มาก แต่มาในราคาแค่สามแสนต้นๆ
• ประหยัดสุดๆ ทั้งค่าน้ำมันและค่าดูแล: หัวใจของ Mirage ยังคงอยู่ครบถ้วน ทั้งอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร และค่าบำรุงรักษาที่ถูกแสนถูก
• ขับง่าย คล่องตัว: ขนาดที่เล็กกะทัดรัดทำให้การขับในเมืองเป็นเรื่องสนุกและหาที่จอดรถง่ายมาก

มาลองกดเครื่องคิดเลขกันดูเล่นๆ นะครับ...

เห็นชัดๆ เลยว่า: การซื้อรถคันนี้ที่ราคา 319,000 บาท ทำให้คุณ ประหยัดเงินไปได้ถึงสองแสนกว่าบาท! คุณจ่ายเงินเกินครึ่งของราคาเดิมมานิดเดียว แต่ได้รถปีใหม่ๆ ที่มาพร้อมชุดแต่ง Ralliart แท้จากโรงงาน

ถ้าคุณกำลังมองหารถยนต์คันแรก หรือรถสำรองสำหรับใช้งานในเมือง ที่ไม่ได้มีแค่ ความประหยัด แต่ยังต้องการ ความเท่ ความสปอร์ต และความมีเอกลักษณ์ Mitsubishi Mirage Ralliart Edition คันนี้คือตัวเลือกที่ลงตัวและชาญฉลาดที่สุดครับ การได้รถปีใหม่ในสภาพดีพร้อมชุดแต่งในตำนานราคานี้ ถือเป็นดีลที่คุ้มค่าและน่าสนใจอย่างยิ่งครับ

• เครื่องยนต์: เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร MIVEC
• กำลังสูงสุด: 78 แรงม้า พร้อมแรงบิด 100 นิวตัน-เมตร
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ CVT
• ระบบความปลอดภัย: ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA

1. ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด

ข้อดี: Mirage มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามมาตรฐานโรงงานสูงถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ประหยัดที่สุดในตลาด เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาวะราคาน้ำมันในปัจจุบัน

2. ความคล่องตัวสูงสำหรับการขับขี่ในเมือง

ข้อดี: ด้วยมิติตัวถังที่เล็กกะทัดรัดและรัศมีวงเลี้ยวที่แคบ ทำให้การขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่นเป็นไปอย่างง่ายดาย รวมถึงการหาที่จอดรถในพื้นที่จำกัด

3. ต้นทุนการเป็นเจ้าของต่ำ

ข้อดี: Mitsubishi Mirage เป็นที่ยอมรับในเรื่องค่าบำรุงรักษาและราคาอะไหล่ที่ไม่สูง ทำให้เป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้อย่างสบายใจในระยะยาวโดยไม่มีภาระค่าใช้จ่ายที่หนักเกินไป

• ราคาที่คุ้มค่าที่สุด: ในงบประมาณสองแสนกลางๆ การได้เป็นเจ้าของรถยนต์ปีใหม่ (2020) ถือเป็นข้อเสนอที่หาได้ยากและคุ้มค่าอย่างยิ่ง
• เหมาะสำหรับคนเมืองและผู้เริ่มต้น: ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์คันแรกสำหรับนักศึกษาหรือคนเพิ่งเริ่มทำงาน หรือใช้เป็นรถคันที่สองสำหรับขับขี่ในเมือง Mirage คันนี้ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว
• ต้นทุนการใช้งานต่ำ: จุดเด่นที่สุดของ Mirage คือ "ความประหยัด" ทั้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำมาก และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง
• พร้อมใช้งานทันที: เป็นรถยนต์ปีใหม่ที่ซื้อแล้วสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องซ่อมแซมหรือปรับปรุงเพิ่มเติม

บทวิเคราะห์: ที่ราคา 249,000 บาท สำหรับรถปี 2020 ถือว่ามีความคุ้มค่าสูงมาก เนื่องจากผู้ซื้อสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากรถใหม่ได้มากกว่า 50% แต่ยังคงได้รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานน้อยและเทคโนโลยีที่ยังไม่ล้าสมัย

Mitsubishi Mirage 1.2 GLX (2020) ในราคานี้ เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่เน้น ความประหยัดสูงสุด และ มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่ำ เหมาะสำหรับการเป็นรถยนต์คันแรก, รถยนต์คันที่สองของครอบครัว, หรือรถสำหรับใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ ถือเป็นข้อเสนอที่คุ้มค่าอย่างยิ่งครับ

• เครื่องยนต์: เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC TURBO (178 แรงม้า / 240 นิวตัน-เมตร)
• เกียร์: อัตโนมัติ CVT (นุ่มนวลและประหยัด)
• ช่วงล่าง: ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ (เกาะถนนและนั่งสบาย)
• ความปลอดภัย: Honda SENSING เป็นมาตรฐานทุกรุ่น

1. เครื่องยนต์เทอร์โบที่แรงและขับสนุก

ดียังไง?: เครื่องตัวนี้ให้ความรู้สึกเหมือนขับรถเครื่องใหญ่เลยครับ แรงบิดมาไวมาก แตะคันเร่งนิดเดียวรถก็พร้อมจะพุ่งไปข้างหน้า ทำให้การขับในเมืองคล่องตัว ส่วนการเร่งแซงนอกเมืองก็ทำได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

2. ระบบความปลอดภัย Honda SENSING ที่ให้มาครบ

ดียังไง?: นี่คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Civic โฉมนี้แตกต่างเลยครับ เพราะเขาให้ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING มาเป็นมาตรฐานทุกรุ่น ซึ่งมันจะคอยช่วยเราขับรถให้ปลอดภัยและสบายขึ้นเยอะมาก เช่น:

• ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ: คอยระวังการชนให้เรา
• ระบบควบคุมความเร็วตามคันหน้า: ทำให้การขับรถทางไกลสบายขึ้นมาก
• ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน: ช่วยลดความเหนื่อยล้าเวลาต้องขับรถนานๆ

3. ดีไซน์ที่ดูโตและพรีเมียมขึ้นมาก

ดียังไง?: การออกแบบใหม่ทำให้รถดูเรียบหรู คล้ายรถยุโรปเลยครับ ส่วนภายในก็ทำออกมาได้สวยงาม ใช้วัสดุดี นั่งแล้วให้ความรู้สึกว่ากำลังขับรถที่พรีเมียมเกินราคาไปอีกระดับ

ต้องบอกว่ารุ่น EL เป็นรุ่นที่คุ้มค่าและมีของที่จำเป็นครบแล้ว แต่ถ้าอยากรู้ว่าต่างจากตัวท็อปยังไง หลักๆ ก็จะมีตามนี้ครับ:

เฉลี่ย: ตามสเปคโรงงานระบุไว้ที่ 17.2 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าประหยัดมากสำหรับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงขนาดนี้

ที่ราคา 729,000 บาท สำหรับรถปี 2022 ถือว่าเป็นราคาที่ "คุ้มค่ามาก" ครับ เพราะคุณ ประหยัดเงินไปได้ถึง 235,900 บาท แต่ได้รถโฉมปัจจุบันที่ยังใหม่เอี่ยม เทคโนโลยีก็ยังสดใหม่ และที่สำคัญคือรุ่น EL ก็มีออปชันที่จำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันครบถ้วนแล้ว

สรุปสำหรับผู้ที่สนใจ: Honda CIVIC 1.5 EL (2022) ในราคานี้ เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการรถที่ให้ครบทุกอย่างจริงๆ ทั้ง ความแรง, ความปลอดภัย, และความพรีเมียม เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบขับรถ หรือจะใช้เป็นรถครอบครัวก็ยังได้ ถือเป็นดีลที่ฉลาดและให้ความคุ้มค่าสูงมากครับ