TOYOTA มือสอง

สี : เงิน

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

Toyota Hiace 3.0 COMMUTER (2019) D4D AT เบาะหนัง 3 แถว 9 ที่นั่ง

สำหรับ Toyota Commuter ปี 2019 เครื่องยนต์ 3.0 D4D นี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะหมายถึง Toyota Commuter โฉมเดิม (H200) ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมายาวนาน และยังคงมีการผลิตจำหน่ายควบคู่ไปกับ Commuter โฉมใหม่ (H300) ที่เปิดตัวในช่วงกลางปี 2019 ครับ การที่คุณระบุ เบาะหนัง 3 แถว 9 ที่นั่ง บ่งบอกว่ารถคันนี้ได้รับการปรับแต่งภายในเพื่อยกระดับความสะดวกสบายและความหรูหรากว่ารุ่นมาตรฐาน

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Hiace 3.0 COMMUTER H200 2019 D4D AT):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร D4D Commonrail Turbo:

   • ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบ พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 4 จังหวะ

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร D4D เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเรื่องความทนทาน กำลังที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนรถตู้พร้อมผู้โดยสารเต็มคัน และประหยัดน้ำมันในระดับที่น่าพอใจสำหรับขนาดของรถตู้

2. โครงสร้างตัวถังแบบ Full-Bonnet / Semi-Cab Over:

   • เครื่องยนต์ยังคงอยู่ใต้เบาะนั่งคนขับ ซึ่งเป็นดีไซน์แบบดั้งเดิมของรถตู้ Commuter เน้นความกะทัดรัดของตัวรถเมื่อเทียบกับพื้นที่ภายใน

3. ห้องโดยสาร 9 ที่นั่ง (ปรับแต่ง):

   • โดยปกติ Commuter รุ่นนี้จะมาพร้อมเบาะผ้า 15 ที่นั่ง การปรับเป็น เบาะหนัง 3 แถว 9 ที่นั่ง (จัดวางแบบ 3-3-3) บ่งบอกถึง:

     • ความสบายที่เพิ่มขึ้น: เบาะหนังนั่งสบายกว่าเบาะผ้า และการลดจำนวนที่นั่งทำให้มีพื้นที่วางขาและพื้นที่ส่วนตัวต่อผู้โดยสารแต่ละคนกว้างขวางขึ้นอย่างมาก

     • ความหรูหรา: เบาะหนังยกระดับความรู้สึกพรีเมียมภายในห้องโดยสาร

     • การใช้งาน: เหมาะสำหรับธุรกิจรับ-ส่งผู้บริหาร, โรงแรม, ครอบครัวขนาดใหญ่ที่เน้นความสะดวกสบาย หรือการเดินทางท่องเที่ยวแบบกลุ่มเล็กๆ

4. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งทนทาน:

   • ด้านหน้าอิสระ MacPherson Strut

   • ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกผู้โดยสารจำนวนมากและใช้งานหนัก ให้ความทนทานสูง

5. ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษาต่ำ:

   • Toyota Commuter มีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องความทนทาน อะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการทั่วประเทศ

ข้อดีของ Toyota Hiace 3.0 COMMUTER (2019) D4D AT เบาะหนัง 3 แถว 9 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ:

1. ความสบายและภาพลักษณ์ที่ยกระดับ:

   • การปรับเป็นเบาะหนัง 9 ที่นั่ง ช่วยเพิ่มความสบายและพื้นที่ส่วนตัวให้ผู้โดยสารอย่างมาก เหมาะสำหรับการบริการที่ต้องการความหรูหรากว่ารถตู้ทั่วไป

   • ยังคงได้ความทนทานและค่าบำรุงรักษาต่ำของ Commuter H200 ซึ่งอาจประหยัดกว่า Commuter โฉมใหม่ (H300) ในระยะยาว (โดยเฉพาะเรื่องค่าอะไหล่)

2. เครื่องยนต์ 3.0 D4D ที่พิสูจน์แล้ว:

   • เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการยอมรับในตลาดไทยมายาวนานเรื่องความอึด ทนทาน และดูแลรักษาง่าย ไม่จุกจิก แม้จะไม่ได้แรงเท่าเครื่อง 2.8 GD ของรุ่นใหม่ แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน

3. ความน่าเชื่อถือของ Toyota Commuter:

   • เป็นรถที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง มีอู่ซ่อมและอะไหล่รองรับจำนวนมากทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาวและหาแหล่งบริการได้ง่าย

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Hiace 3.0 COMMUTER (2019) D4D AT เบาะหนัง 3 แถว 9 ที่นั่ง:

• "รถตู้ VIP ที่ทนทาน แกร่ง และประหยัด": เหมาะสำหรับธุรกิจรับ-ส่งผู้บริหาร, โรงแรม, หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถตู้ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อความสะดวกสบายและภาพลักษณ์ที่พรีเมียมขึ้น ในราคาที่คุ้มค่า

• เครื่องยนต์ 3.0 D4D: ทนทาน อึด ไม่จุกจิก ค่าบำรุงรักษาต่ำ

• เบาะหนัง 9 ที่นั่ง: ยกระดับความสบายและภาพลักษณ์ภายในห้องโดยสาร

• ความน่าเชื่อถือของ Commuter: หาอะไหล่ง่าย อู่ซ่อมเยอะ

• เกียร์อัตโนมัติ: เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่

TOYOTA VENTURY 2.7 G ตัวรถผลิตและจดทะเบียนปี 2019 แท้ๆ ไมเนอณ์เชนจ์ หน้าใหม่ ไฟใหม่ การันตีสภาพ รถสวยมากๆ มือเดียว ไม่เคยเป็นรถป้ายเหลือง ไม่เคยรับจ้าง เลขไมล์ 10X,XXX Km. เช็คศูนย์ตลอด เจ้าของเดิมดูแลดีมากๆ การันตีสภาพด รถสวย ไม่เคยชน

เครื่อง 2700 เบนซิน ออโต้ ไมเ่คยติดแก๊ส เครื่อง+เกียร์ขับนิ่มมากๆ ประหยัดน้ำมันมากๆ ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ขับดีมากๆ

เบาะ VIP นั่งสบาย เบาะหมุนได้ ฝาท้ายดูด แอร์ราวหลังคา ออปชั่นเต็ม ฟรีดาวน์ ออกรถง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข จัดไฟแนนซ์ไม่ยากอย่างที่คิด ดอกเบี้ยถูกที่สุด ไม่เคยวิ่งรับจ้าง ป้ายฟ้าแท้ๆ ไม่เคยเปลี่ยนป้าย พร้อมใช้

Toyota Ventury 2.7 (2019) G: รถตู้โดยสารเอนกประสงค์เครื่องเบนซินที่ทนทาน

Toyota Ventury เป็นรถตู้โดยสารที่แตกไลน์มาจาก Toyota Commuter (โฉม H200 หรือที่รู้จักกันในไทย) โดยเน้นความเป็นรถตู้สำหรับธุรกิจรับ-ส่งผู้โดยสาร การใช้งานในครอบครัวขนาดใหญ่ หรือการท่องเที่ยว ที่ต้องการความทนทาน ใช้งานง่าย และค่าบำรุงรักษาไม่แพง

สเปกเด่นของ Toyota Ventury 2.7 (2019) G

1. เครื่องยนต์เบนซิน 2TR-FE 2.7 ลิตร VVT-i:

   • ขนาด: 2,694 ซีซี (2.7 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i

   • กำลังสูงสุด: 151 แรงม้า (PS) ที่ 4,800 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 241 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 4 จังหวะ

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนรถตู้โดยสารเต็มคัน และให้การตอบสนองที่ราบรื่นกว่าเครื่องดีเซลในบางจังหวะ แรงบิดที่ค่อนข้างสูงช่วยให้การออกตัวทำได้ดี

   • จุดเด่น: สามารถติดตั้งแก๊ส LPG/NGV ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของ Ventury เครื่องเบนซิน ทำให้ประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มหาศาล

2. ห้องโดยสาร 16 ที่นั่งที่กว้างขวาง:

   • การจัดวางที่นั่ง: 16 ที่นั่ง (มาตรฐานสำหรับ Ventury) เป็นการจัดวางที่เน้นการรองรับผู้โดยสารจำนวนมาก

   • พื้นที่ภายใน: กว้างขวาง นั่งสบายพอสมควรสำหรับรถตู้ประเภทนี้

   • ระบบปรับอากาศ: มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง กระจายความเย็นได้ทั่วถึง

3. ดีไซน์ภายนอกที่เน้นฟังก์ชันและทนทาน:

   • ดีไซน์ด้านหน้าที่แตกต่างจาก Commuter ทั่วไปเล็กน้อย (กระจังหน้า, ไฟหน้า)

   • ประตูสไลด์ด้านข้างขนาดใหญ่ ช่วยให้ผู้โดยสารขึ้น-ลงได้สะดวก

4. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งทนทาน:

   • ด้านหน้าแบบอิสระ MacPherson Strut

   • ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกผู้โดยสารจำนวนมากและใช้งานหนัก

   • ให้ความทนทานสูง เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution)

   • โครงสร้างตัวถังนิรภัย

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Ventury 2.7 (2019) G:

• "รถตู้เอนกประสงค์เครื่องเบนซิน ทนทาน ประหยัดค่าเชื้อเพลิง": เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจรับ-ส่งผู้โดยสาร ธุรกิจท่องเที่ยว หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถตู้ที่คุ้มค่า และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานด้วยแก๊ส

• เครื่องยนต์ 2.7 ลิตร VVT-i: กำลังดี ทนทาน และติดตั้งแก๊สได้มีประสิทธิภาพ

• ห้องโดยสาร 16 ที่นั่ง: รองรับผู้โดยสารจำนวนมาก

• ค่าบำรุงรักษาต่ำ: อะไหล่หาง่าย ดูแลง่าย

• ราคาคุ้มค่าในตลาดมือสอง: เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ที่มองหารถตู้ใช้งานจริง

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

ตัวพิเศษ TRD แต่งพิเศษจากศูนย์ ผลิตจำนวนจำกัด MODEL ปี 2009 แท้ๆ ไม่ลากจดทะเบียน TOYOTA FORTUNER 3.0 TRD 4 WD หน้ายักษ์ การันตีสภาพ รถสวย ไม่เคยชน

เครื่อง 3000 ดีเซล D4D ออโต้ 4 WD ประหยัดมาก กำลังเครื่องดีมาก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน

เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถได้อย่างสบายใจ ไม่เคยบรรทุกหนัก รถสวย สภาพเดิมๆ

ออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

Toyota Fortuner 3.0 (2009) TRD Sportivo I 4WD: PPV SUV รุ่นพิเศษที่เน้นความสปอร์ตและสมรรถนะ (รุ่นท็อป)

Toyota Fortuner เจเนอเรชันแรก (IMV Platform) ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาด PPV SUV ของไทย รุ่นปี 2009 นี้เป็นช่วงที่ได้รับการปรับปรุง Minorchange ครั้งที่ 2 (บางครั้งเรียกว่า "Champ" หรือ "Minorchange 2") และ TRD Sportivo I คือรุ่นพิเศษที่เสริมความสปอร์ตและสมรรถนะการขับขี่ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

สเปกเด่นของ Toyota Fortuner 3.0 (2009) TRD Sportivo I 4WD

1. เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร VN Turbo:

   • ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VN Turbo) และ Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตันเมตร ที่ 1,400 - 3,200 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 4 จังหวะ Super ECT (Electronic Controlled Transmission)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร Commonrail ให้พละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการขับขี่ทุกรูปแบบ ทั้งในเมือง การเดินทางไกล การบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน หรือการลุยแบบ Off-road ด้วยแรงบิดที่สูงตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้การออกตัวและเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ

   • ความทนทาน: เครื่องยนต์ 1KD เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความทนทาน อึด และดูแลรักษาง่าย

2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time (4WD):

   • จุดเด่น: ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดได้ (2H, 4H, 4L) ผ่านปุ่มควบคุม ทำให้รถคันนี้มีความสามารถในการขับขี่แบบ Off-road เบาๆ หรือในสภาพถนนที่ท้าทาย เช่น ถนนลูกรัง ทางโคลน ทางลาดชัน หรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย

   • ความมั่นใจ: เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางบนเส้นทางที่หลากหลาย

3. ชุดแต่ง TRD Sportivo I (ภายนอกและภายใน):

   • ภายนอก:

     • กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ตเฉพาะรุ่น TRD

     • สเกิร์ตข้าง

     • สปอยเลอร์หลังคา

     • ล้ออัลลอยด์ดีไซน์ TRD Sportivo ขนาด 17 นิ้ว

     • สัญลักษณ์ TRD Sportivo

   • ภายใน:

     • เบาะหนังสีดำพร้อมตะเข็บด้ายสีแดง หรือการตกแต่งพิเศษ

     • แผงคอนโซลและแผงประตูตกแต่งด้วยลาย Carbon Kevlar (หรือวัสดุสีเงิน/ดำเงา)

     • หัวเกียร์และพวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์สปอร์ต

     • มาตรวัดเรืองแสง Optitron ดีไซน์สปอร์ต

   • จุดเด่น: สร้างความแตกต่างจาก Fortuner รุ่นปกติอย่างชัดเจน ให้ลุคที่สปอร์ต ดุดัน และพรีเมียมยิ่งขึ้น

4. ช่วงล่าง TRD Sportivo (Sport-Tuned Suspension):

   • ได้รับการปรับจูนพิเศษโดย TRD (Toyota Racing Development) เพื่อให้การขับขี่ที่เฟิร์มขึ้น ลดอาการโยนตัว และเพิ่มความมั่นคงในการเข้าโค้งหรือใช้ความเร็วสูง

   • ยังคงรักษาความสามารถในการรองรับการใช้งานแบบ PPV ได้ดี

5. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งที่กว้างขวาง:

   • การจัดวางที่นั่ง: รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน (2-3-2) เหมาะสำหรับการใช้งานเป็นรถครอบครัว หรือการเดินทางเป็นกลุ่ม

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (หรือหนังสังเคราะห์) ให้ความรู้สึกสบาย

6. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก (สำหรับยุคนั้น):

   • เครื่องเสียงวิทยุ CD/MP3/DVD พร้อมจอสัมผัส (อาจมีระบบนำทางในบางรุ่นย่อย)

   • พวงมาลัย Multi-function

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังทุกแถว

7. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution)

   • โครงสร้างตัวถัง GOA

ข้อดีของ Toyota Fortuner 3.0 (2009) TRD Sportivo I 4WD เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ดีไซน์สปอร์ตโดดเด่นไม่เหมือนใคร:

   • ชุดแต่ง TRD Sportivo I ทั้งภายนอกและภายใน ทำให้รถดูสปอร์ต ดุดัน และแตกต่างจาก Fortuner รุ่นปกติอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความพิเศษและไม่เหมือนใคร

2. สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่า (ช่วงล่าง TRD):

   • ช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนโดย TRD ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ ลดอาการโคลงตัว และให้ความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้น ทำให้การขับขี่สนุกและมั่นใจกว่า Fortuner รุ่นมาตรฐาน

3. ความลงตัวของสมรรถนะและออปชัน:

   • ได้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ที่ทรงพลังและทนทาน พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เพิ่มความสามารถในการลุย

   • ได้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันสำหรับยุคนั้น (เช่น เครื่องเสียง DVD จอสัมผัส, Cruise Control)

4. ความน่าเชื่อถือและทนทานของ Toyota:

   • Fortuner ยังคงเป็นรถที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน อะไหล่หาง่าย และค่าบำรุงรักษาไม่แพง ทำให้เป็นรถมือสองที่คุ้มค่าในระยะยาว

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Fortuner 3.0 (2009) TRD Sportivo I 4WD:

• "PPV SUV สปอร์ตตัวจริง พร้อมลุยได้ทุกเส้นทาง": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่มีดีไซน์โดดเด่น สปอร์ต และมีสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่ารุ่นปกติ พร้อมความสามารถในการลุยด้วยระบบ 4WD

• ชุดแต่ง TRD Sportivo: สร้างความแตกต่างและเพิ่มความพรีเมียม

• ช่วงล่าง TRD: ขับขี่มั่นคง สปอร์ต มั่นใจ

• เครื่องยนต์ 3.0L 4WD: กำลังเหลือเฟือ ทนทาน ลุยได้จริง

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota: การันตีคุณภาพและราคาขายต่อที่ดี

ปี 2008 แท้ๆ TOYOTA VIGO แค๊บ 3.0 EXTRACAB E Prerunner ยกสูงจากศูนย์ เพาเวอร์ กระจกไฟฟ้า ชุดแต่งรอบคัน ล้อแม็ก DVD TV เครื่องเสียงชุดใหญ่ หล่อมากๆ การันตีสภาพ รถสวย สภาพเดิมๆ รถบ้านแท้ ซื้อสด ไม่ต้องจ่าย VAT 7 เปอร์เซนต์ เล่มทะเบียพร้อมโอน

เครื่อง 3000 ดีเซล D4D เกียร์ธรรมดา ประหยัดมาก กำลังเครื่องดีมาก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน

เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ ไม่ใช่รถยึดจากไฟแนนซ์หรือรถเช่าประมูล สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข เพื่อให้ท่านดูแลรถได้อย่างสบายใจ ไม่เคยบรรทุกหนัก รถสวย สภาพเดิมๆ

ออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

Toyota Vigo 3.0 (2008) EXTRACAB E Prerunner MT

Toyota Hilux Vigo เจเนอเรชันที่ 7 (IMV Platform - โครงสร้างเดียวกับ Fortuner และ Innova) เปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2004 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในฐานะผู้นำตลาดรถกระบะ รุ่นปี 2008 นี้เป็นช่วงที่ได้รับการปรับปรุง (Minorchange) ครั้งแรก โดยรุ่น E Prerunner เป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับผู้ที่ต้องการความสูงของรถและการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่ากระบะ 4x4 แต่ไม่จำเป็นต้องลุยจริงจัง

สเปกเด่นของ Toyota Vigo 3.0 (2008) EXTRACAB E Prerunner MT:

1. เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร VN Turbo:
• ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VN Turbo) และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตันเมตร ที่ 1,400 - 3,200 รอบ/นาที
• เกียร์: ธรรมดา 5 จังหวะ (MT) ซึ่งเป็นเกียร์ที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับงานบรรทุกและควบคุมกำลังได้เต็มที่
• สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร Commonrail ให้พละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ทั้งในเมือง การเดินทางไกล การบรรทุกหนัก หรือการขับขึ้นทางชัน ด้วยแรงบิดที่สูงตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้การออกตัวและเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ
• ความทนทาน: เครื่องยนต์ 1KD เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในเรื่องของความทนทาน อึด และดูแลรักษาง่าย ตัว
2. ถัง EXTRACAB (แค็บเปิดได้):
• ความเอนกประสงค์: จุดเด่นของ Vigo รุ่นปรับปรุงนี้คือแค็บที่สามารถเปิดได้ (บางครั้งเรียกว่าแค็บเปิดได้ หรือ Free-Style Cab) ซึ่งสะดวกสบายอย่างมากในการเก็บสัมภาระส่วนตัว หรือให้ผู้โดยสารนั่งชั่วคราว/ระยะใกล้ ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารอย่างมาก
• ดีไซน์: รูปทรงกระบะยกสูงที่ดูบึกบึนและสปอร์ต
3. ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง (Prerunner):
• จุดเด่น: ให้ความสูงจากพื้นถนน (Ground Clearance) ที่ใกล้เคียงกับรถกระบะ 4x4 (ประมาณ 212 มม.) ทำให้สามารถขับผ่านอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ หรือลุยน้ำท่วมขังได้ดีกว่ากระบะขับเคลื่อน 2 ล้อปกติ
• ความนุ่มนวล: โดยทั่วไป Prerunner มักจะมีการปรับจูนช่วงล่างให้นุ่มนวลกว่ากระบะ 4x4 แท้ๆ ทำให้ขับขี่สบายกว่าบนถนนปกติ
• ประหยัดค่าใช้จ่าย: ไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงมีน้ำหนักเบากว่า ประหยัดน้ำมันกว่า และค่าบำรุงรักษาระบบขับเคลื่อนน้อยกว่า 4x4
4. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งทนทาน:
• ด้านหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
• ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่แข็งแรงทนทาน ออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกหนักโดยเฉพาะ
5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก (สำหรับรุ่น E Prerunner):
• เครื่องเสียงวิทยุ CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ AUX
• กระจกไฟฟ้า
6. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:
• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags) (ในรุ่น E Prerunner)
• ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ EBD (Electronic Brake-force Distribution)

เปรียบเทียบกับรุ่นย่อยอื่น ๆ ของ Toyota Vigo (2008):

ในปี 2008 Toyota Hilux Vigo มีรุ่นย่อยหลากหลายมาก ครอบคลุมทั้งเครื่องยนต์ 2.5L, 3.0L, ขับเคลื่อน 2 ล้อ, Prerunner และ 4x4 โดยเน้นที่ 3.0 EXTRACAB:

• Vigo 3.0 EXTRACAB J / J Standard (2WD ไม่ยกสูง):
• เครื่องยนต์/เกียร์: 3.0L MT/AT (กำลังอาจต่างกันเล็กน้อยตามปี/รุ่นย่อย)
• แตกต่างจาก E Prerunner: ไม่ได้ยกสูง (Ground Clearance ต่ำกว่า), อุปกรณ์ภายในพื้นฐานกว่า (ไม่มี ABS/Airbag หรือมีแค่ 1 ใบ), ล้อ/ยางขนาดเล็กกว่า, ไม่ได้ชุดแต่งภายนอกแบบ Prerunner
• Vigo 3.0 EXTRACAB E 4x4 (ขับเคลื่อน 4 ล้อ):
• เครื่องยนต์/เกียร์: 3.0L MT/AT (กำลังเท่ากัน)
• แตกต่างจาก E Prerunner: มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Part-time 4WD พร้อมปุ่มปรับ 2H/4H/4L) ซึ่งเพิ่มความสามารถในการลุย Off-road อย่างจริงจัง แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่า ซับซ้อนกว่า และสิ้นเปลืองน้ำมันกว่าเล็กน้อยในบางสภาพการขับขี่
• Vigo 3.0 EXTRACAB G (รุ่นท็อป):
• เครื่องยนต์/เกียร์: 3.0L MT/AT (กำลังเท่ากัน)
• แตกต่างจาก E Prerunner: อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันกว่า เช่น เครื่องเสียงที่ดีกว่า, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, แผงประตูตกแต่งดีกว่า, ภายในดูหรูหรากว่า

ข้อดีของ Toyota Vigo 3.0 (2008) EXTRACAB E Prerunner MT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ และรุ่นก่อนหน้า:

1. สมดุลระหว่างสมรรถนะและประหยัด:
• เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร: ได้พละกำลังเต็มที่ (163 แรงม้า / 343 นิวตันเมตร) ซึ่งเหนือกว่ารุ่น 2.5 ลิตรอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับงานบรรทุกหนักหรือการเดินทางที่ต้องการกำลัง
• Prerunner (2WD ยกสูง): ให้ความสูงจากพื้นถนนและความบึกบึนแบบ 4x4 โดยไม่ต้องแบกภาระค่าบำรุงรักษาระบบ 4WD และประหยัดน้ำมันกว่ารุ่น 4x4
• เกียร์ธรรมดา: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมกำลังเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ และเป็นเกียร์ที่ทนทานในการใช้งานบรรทุกหนัก
2. ความสะดวกสบายจากแค็บเปิดได้:
• EXTRACAB รุ่นนี้มีแค็บที่สามารถเปิดได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการเก็บสัมภาระด้านหลังเบาะนั่ง หรือใช้เป็นที่นั่งชั่วคราวได้ดีกว่าแค็บแบบเก่าที่เปิดไม่ได้ (Vigo รุ่นแรก ๆ แค็บยังเปิดไม่ได้)
3. ความน่าเชื่อถือและทนทานระดับตำนาน:
• Isuzu D-Max และ Toyota Vigo ในยุคนั้นคือคู่แข่งสำคัญที่ต่างก็ขึ้นชื่อเรื่องความอึดและทนทาน Vigo ยังคงเป็นรถที่ดูแลรักษาง่าย อะไหล่หาง่าย และค่าบำรุงรักษาไม่แพง
4. ราคาเข้าถึงง่ายในตลาดมือสอง:
• เป็นรถที่มีราคาคุ้มค่าในตลาดมือสองเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและฟังก์ชันที่ได้

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Vigo 3.0 (2008) EXTRACAB E Prerunner MT:

• "กระบะยกสูงทรงพลัง ประหยัด ขับได้ทุกวัน": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะยกสูงที่มีกำลังเหลือเฟือสำหรับงานบรรทุกและการเดินทาง พร้อมความประหยัดและค่าบำรุงรักษาที่คุ้มค่า
• เครื่องยนต์ 3.0L ที่ทนทานและแรง: ให้สมรรถนะที่ไว้ใจได้
• แค็บเปิดได้ (EXTRACAB): เพิ่มความสะดวกสบายและพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสาร
• ความน่าเชื่อถือของ Toyota: มั่นใจได้ในคุณภาพและราคาขายต่อที่ดี

โดยรวมแล้ว Toyota Vigo 3.0 (2008) EXTRACAB E Prerunner MT เป็นรถกระบะมือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารถที่แข็งแกร่ง ทนทาน มีกำลังดี และมีความคุ้มค่าในการใช้งานหลากหลายรูปแบบครับ

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

รถมือเดียวออกห้าง ตัวพิเศษ 3.0 V SMART แต่งพิเศษจากศูนย์ ผลิตจำนวนจำกัด MODEL ปี 2008 แท้ๆ ไม่ลากจดทะเบียน TOYOTA FORTUNER 3.0 SMART V 4 WD รถบ้านแท้ๆ ซื้อเงินสด ไม่บวกแวท เล่มทะเบียนพร้อมโอน

เครื่อง 3000 ดีเซล D4D ออโต้ 4 WD ประหยัดมาก กำลังเครื่องดีมาก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน

ออปชั่นเต็ม ชุดแต่งรอบคัน แม็ก TRD ขอบ 18 ภายในเคฟล่าร์ แอร์ดิจิตอล พ.มัลติ เบาะ 3 แถว แอร์ 3 ตอน รถครอบครัว ราคาประหยัด

เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถได้อย่างสบายใจ ไม่เคยบรรทุกหนัก รถสวย สภาพเดิมๆ

ออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

Toyota Fortuner 3.0 (2008) Smart V 4WD: อดีตรุ่นท็อป PPV ยุคแรก

Toyota Fortuner เจเนอเรชันแรก (IMV Platform - โครงสร้างเดียวกับ Hilux Vigo) ที่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2005 ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในฐานะผู้นำตลาด PPV SUV ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูภูมิฐาน สมรรถนะที่ตอบโจทย์ และความน่าเชื่อถือตามแบบฉบับ Toyota รุ่นปี 2008 นี้เป็นช่วงที่ได้รับการปรับปรุง (Minorchange) และ Smart V 4WD ถือเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

สเปกเด่นของ Toyota Fortuner 3.0 (2008) Smart V 4WD

1. เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร VN Turbo:
• ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร)
• จำนวนกระบอกสูบ: 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VN Turbo) และ Intercooler
• กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 343 นิวตันเมตร ที่ 1,400 - 3,200 รอบ/นาที
• เกียร์: อัตโนมัติ 4 จังหวะ Super ECT (Electronic Controlled Transmission)
• สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร Commonrail ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง การเดินทางไกล หรือการบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน ด้วยแรงบิดที่สูงตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้การออกตัวและเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ
• ความทนทาน: เครื่องยนต์ 1KD เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความทนทานและดูแลรักษาง่าย
2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time (4WD):
• จุดเด่น: ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดได้ (2H, 4H, 4L) ผ่านปุ่มควบคุม ทำให้รถคันนี้มีความสามารถในการขับขี่แบบ Off-road เบาๆ หรือในสภาพถนนที่ท้าทาย เช่น ถนนลูกรัง ทางโคลน ทางลาดชัน หรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
• ความมั่นใจ: เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางบนเส้นทางที่หลากหลาย
3. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งที่กว้างขวาง:
• การจัดวางที่นั่ง: รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน (2-3-2) เหมาะสำหรับการใช้งานเป็นรถครอบครัว หรือการเดินทางเป็นกลุ่ม
• เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (หรือหนังสังเคราะห์) ให้ความรู้สึกสบาย
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังทุกแถว กระจายความเย็นได้ทั่วถึง
4. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งและทนทาน:
• ด้านหน้าอิสระปีกนกคู่, ด้านหลังแบบ 4-link coil spring (คอยล์สปริง) ซึ่งให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ที่ดีกว่ารถกระบะทั่วไปที่ใช้แหนบ แต่ยังคงความทนทานของโครงสร้างแบบ Body-on-frame
• ความสูงจากพื้นถนน (Ground Clearance) ที่เหมาะสม ช่วยให้สามารถลุยได้ในระดับหนึ่ง
5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก (สำหรับยุคนั้น):
• เครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ AUX
• พวงมาลัย Multi-function: ควบคุมเครื่องเสียงได้
• กระจกมองข้างปรับ/พับไฟฟ้า:
• ไฟหน้า Projector Halogen:
• ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:
• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags):
• ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System):
• โครงสร้างตัวถัง GOA:

จุดขายหลักของ Toyota Fortuner 3.0 (2008) Smart V 4WD:

1. "PPV อเนกประสงค์สำหรับทุกเส้นทาง": Fortuner คันนี้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่ง ที่สามารถลุยไปได้ในหลากหลายสภาพเส้นทาง ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ไว้ใจได้
2. ความน่าเชื่อถือและทนทานระดับตำนาน: ด้วยชื่อเสียงของ Toyota และเครื่องยนต์ 1KD ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในเรื่องความอึด ความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง ทำให้เป็นรถที่คุ้มค่าในระยะยาว
3. สมรรถนะเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรที่เพียงพอ: ให้พละกำลังที่ตอบสนองได้ดีสำหรับการใช้งานทั่วไปและการบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน
4. ห้องโดยสารกว้างขวาง 7 ที่นั่ง: เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่นสำหรับการเดินทาง
5. ราคาเข้าถึงง่ายในตลาดมือสอง: Fortuner รุ่นนี้มีราคาที่ไม่สูงมากนักในตลาดรถมือสอง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ประหยัดสำหรับผู้ที่ต้องการรถ SUV 7 ที่นั่ง ที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้

Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon: ซีดานหรูจากแดนอาทิตย์อุทัย

Toyota Crown คือซีดานเรือธงของ Toyota ในตลาดญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศทั่วโลก (ยกเว้นตลาดหลักอย่างอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก) โดยรุ่นนี้คือเจเนอเรชันที่ 12 (S180) หรือที่รู้จักกันในฉายา "Zero Crown" ซึ่งเป็นการปฏิวัติการออกแบบและวิศวกรรมของ Crown ให้มีความทันสมัยและสปอร์ตขึ้นจากรุ่นก่อนๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความหรูหราและความสบายขั้นสุดไว้อย่างครบถ้วน รุ่น Royal Saloon เป็นรุ่นที่เน้นความหรูหราและความสะดวกสบายเป็นหลัก

สเปกเด่นของ Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon

1. เครื่องยนต์ V6 4GR-FSE 2.5 ลิตร พร้อมระบบ D4 (Direct Injection):

   • ขนาด: 2,499 ซีซี (2.5 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ: V6 สูบ (6 สูบรูปตัววี) DOHC 24 วาล์ว
   • ระบบวาล์ว: Dual VVT-i
   • ระบบจ่ายเชื้อเพลิง: D4 (Direct Injection) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และประหยัดน้ำมัน
   • กำลังสูงสุด: 215 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 260 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT (Electronic Controlled Transmission)
   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่ลื่นไหลและนุ่มนวลตามสไตล์เครื่องยนต์ V6 ของ Toyota ตอบสนองได้ดีสำหรับการขับขี่ในเมืองและเดินทางไกล เหมาะกับการใช้งานแบบผู้บริหารที่เน้นความสบาย
   • ความประหยัด: ด้วยเทคโนโลยี Direct Injection และเกียร์ 6 จังหวะ ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีสำหรับรถขนาดใหญ่ในยุคนั้น

2. ห้องโดยสารระดับ First Class พร้อมความสะดวกสบายสูงสุด:

   • วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูง การตัดเย็บประณีต และการประกอบที่ใส่ใจในรายละเอียดตามมาตรฐานรถยนต์ญี่ปุ่นระดับพรีเมียม
   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยวัสดุคุณภาพดี (มักจะเป็นผ้ากำมะหยี่หรือหนังสังเคราะห์เกรดดีในรุ่น Royal Saloon) ออกแบบมาให้นั่งสบาย โดยเฉพาะผู้โดยสารตอนหลังที่มีพื้นที่วางขากว้างขวาง
   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
   • เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับพับได้จากด้านหลัง: (ในบางรุ่นย่อย หรือเป็นออปชัน) เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง
   • คอนโซลกลางและแผงประตู: ตกแต่งด้วยลายไม้และวัสดุโครเมียมอย่างประณีต

3. ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลและมั่นคง:

   • ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ (Double Wishbone ด้านหน้า, Multi-link ด้านหลัง) ที่ได้รับการปรับจูนมาเพื่อเน้นความนุ่มนวลในการโดยสารสูงสุด ดูดซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนได้ดีเยี่ยม ทำให้การเดินทางราบรื่นและสบาย
   • โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนในห้องโดยสาร

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button: เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกและสตาร์ทรถ
   • หน้าจอสัมผัสกลาง (Multi-information Display): ควบคุมระบบเครื่องเสียง, ระบบนำทาง (ถ้ามี), และข้อมูลการขับขี่
   • ระบบเครื่องเสียง: คุณภาพเสียงดี พร้อมลำโพงหลายตำแหน่ง
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: ควบคุมระบบเครื่องเสียงและฟังก์ชันอื่นๆ ได้สะดวก
   • ม่านบังแดดหลังไฟฟ้า: เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความร้อน
   • ระบบเปิดฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า: (บางรุ่นย่อย)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 6-8 ตำแหน่งขึ้นไป สำหรับรุ่นระดับนี้) ครอบคลุมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก
   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC): ช่วยป้องกันการลื่นไถล (ในรุ่นท็อปและบางรุ่นย่อย)
   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC): (ในรุ่นท็อปและบางรุ่นย่อย)
   • ระบบไฟหน้า AFS (Adaptive Front-lighting System): ปรับทิศทางตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ในรุ่นท็อป/ออปชัน)

จุดขายหลักของ Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon:

1. "ความหรูหราและสบายสไตล์ญี่ปุ่นในราคาที่จับต้องได้": Crown Royal Saloon ให้ประสบการณ์การขับขี่และการโดยสารระดับพรีเมียม ด้วยความนุ่มนวล ความเงียบ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน ในราคาที่คุ้มค่ามากในตลาดรถมือสอง
2. เครื่องยนต์ V6 ที่ลื่นไหลและทนทาน: เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร V6 ของ Toyota ขึ้นชื่อเรื่องความน่าเชื่อถือ ความทนทาน และการทำงานที่ราบรื่น ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปโดยไม่จุกจิก
3. ช่วงล่างนุ่มนวลสบายขั้นสุด: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความนุ่มนวลในการขับขี่ หรือต้องการรถสำหรับผู้บริหารที่เน้นการนั่งสบายในทุกสภาพถนน
4. ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Toyota: การันตีด้วยชื่อเสียงของ Toyota ในเรื่องคุณภาพ ความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง รวมถึงอะไหล่ที่หาได้ง่าย ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
5. ความเงียบภายในห้องโดยสาร: ด้วยการออกแบบและวัสดุซับเสียงที่ดีเยี่ยม ทำให้ Crown มีห้องโดยสารที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเดินทางไกล หรือการทำงานขณะเดินทาง

Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van

รถ Toyota Hiace (H200) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Commuter" ในรุ่นผู้โดยสาร เป็นรถตู้ยอดนิยมในประเทศไทย ด้วยความทนทาน ใช้งานง่าย และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง สำหรับรุ่น 3.0 D4D Van ในปี 2018 ซึ่งเป็นรุ่นตู้ทึบที่นำมาดัดแปลง จะเป็นรถที่เน้นการบรรทุกและสามารถใช้งานเอนกประสงค์ได้

สเปกเด่นพื้นฐานของ (Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van):

• เครื่องยนต์:
  • เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo พร้อม Intercooler
  • ขนาด: 2,982 ซีซี (3.0 ลิตร)
  • กำลังสูงสุด: 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที
  • แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 - 2,400 รอบ/นาที
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ (เป็นที่นิยมในรุ่นตู้ทึบ)
• ระบบขับเคลื่อน: 2 ล้อหลัง (RWD)
• มิติและน้ำหนัก (ก่อนดัดแปลง):
  • ความยาว: 5,380 มม.
  • ความกว้าง: 1,880 มม.
  • ความสูง: 2,285 มม. (เหมาะสำหรับการบรรทุกสินค้าที่มีความสูง)
  • ระยะฐานล้อ: 3,110 มม.
  • น้ำหนักบรรทุกรวม (GVW): ประมาณ 3,200 - 3,300 กก. (สูงกว่ากระบะทั่วไป)
• ช่วงล่าง: ด้านหน้าทอร์ชันบาร์/ปีกนกคู่, ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับการบรรทุกหนัก
• ระบบเบรก: ดิสก์เบรกหน้า / ดรัมเบรกหลัง

จุดเด่นของ Toyota Hiace 3.0 D4D Van (ตู้ทึบ):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ที่ทรงพลังและทนทาน: เครื่องยนต์ 1KD เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความอึด ความทนทาน และกำลังที่เพียงพอต่อการบรรทุกหนัก หรือการขับขี่ในระยะทางไกล มีแรงบิดที่ดี ช่วยให้การออกตัวและการเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ แม้จะมีน้ำหนักบรรทุก
2. พื้นที่บรรทุกขนาดใหญ่: ด้วยรูปทรงของรถตู้ ทำให้มีปริมาตรการบรรทุกที่สูงกว่ากระบะตู้ทึบปกติ สามารถขนส่งสินค้าที่มีปริมาตรมากได้ดีเยี่ยม
3. ความน่าเชื่อถือและค่าบำรุงรักษาต่ำ: Toyota Hiace เป็นรถยอดนิยมในเชิงพาณิชย์ จึงหาอะไหล่ได้ง่าย มีช่างที่เชี่ยวชาญจำนวนมาก และค่าบำรุงรักษาโดยรวมไม่แพง ทำให้ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
4. ราคาขายต่อดี: เป็นรถที่มีความต้องการในตลาดมือสองสูง ทำให้รักษามูลค่าได้ดี

การดัดแปลง: เจาะกระจก + เบาะ 1 แถว

การดัดแปลงนี้บ่งบอกถึงความต้องการใช้งานที่ผสมผสานกันระหว่างการบรรทุกและการโดยสารเล็กน้อย ซึ่งมีจุดเด่นดังนี้:

• เจาะกระจก:
  • ประโยชน์: ลดความรู้สึกอับทึบภายในห้องโดยสาร และอาจช่วยในเรื่องของแสงสว่างธรรมชาติภายในตู้
• เบาะ 1 แถว:
  • ประโยชน์: ทำให้สามารถขนส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมได้ (เช่น ลูกทีมงาน, ผู้ช่วยขนส่ง) นอกเหนือจากคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยยังคงเหลือพื้นที่บรรทุกสินค้าด้านท้ายจำนวนมาก

จุดขายหลักของ Toyota Hiace 3.0 (2018) D4D Van ดัดแปลง:

1. "รถคู่ใจงานบรรทุก พร้อมความยืดหยุ่นสำหรับผู้ร่วมงาน": เป็นรถที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการรถสำหรับขนส่งสินค้าเป็นหลัก แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องขนส่งคนงานหรือผู้ช่วยไปพร้อมกันด้วยจำนวนหนึ่ง
2. ประสิทธิภาพการบรรทุกสูง: ด้วยเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรที่ทรงพลัง โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง และพื้นที่บรรทุกที่กว้างขวาง ทำให้สามารถขนสินค้าได้ปริมาณมากและหลากหลายประเภท
3. ความปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีขึ้น: การเจาะกระจกช่วยลดข้อจำกัดในการมองเห็นของรถตู้ทึบมาตรฐาน เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
4. ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน: ด้วยชื่อเสียงของ Toyota ในเรื่องความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง ทำให้รถคันนี้เป็น Asset ที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
5. ความอเนกประสงค์: เป็นการผสมผสานที่ดีระหว่างรถเพื่อการพาณิชย์และการใช้งานส่วนตัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมาก

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

ฟรีดาวน์ ออกรถง่ายที่สุด ดอกเบี้ยถูก รับรถได้ทันที 

Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback

Toyota Yaris เจเนอเรชันที่ 3 (XP150) ที่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2013 เป็นรุ่นที่ปรับขนาดเครื่องยนต์ลงมาเป็น 1.2 ลิตร เพื่อให้เข้าโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car Phase 1) โดยรุ่น 1.2 G AT ถือเป็นรุ่นย่อยที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างครบครันในยุคนั้น

สเปกเด่นของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. เครื่องยนต์ 3NR-FE Dual VVT-i 1.2 ลิตร:

   • ขนาด: 1,197 ซีซี (1.2 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ/วาล์ว: 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว
   • กำลังสูงสุด: 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i
   • สมรรถนะ: เน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ให้ความคล่องตัวในการจราจรติดขัด และมีอัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เกียร์ CVT ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น
   • ความประหยัดน้ำมัน: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Yaris Eco Car โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ดีเยี่ยม (จากข้อมูลโรงงานทำได้ถึง 20 กม./ลิตร)

2. ดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยและลงตัว:

   • ไฟหน้า Projector: (ในรุ่น G) ให้การส่องสว่างที่ดีกว่าไฟแบบ Multi-reflector ในรุ่นล่าง
   • กระจังหน้าดีไซน์ Trapezoidal: เอกลักษณ์ของ Yaris ในยุคนั้น ที่ดูสปอร์ตและทันสมัย
   • ล้ออัลลอย 15 นิ้ว: (ในรุ่น G) ขนาดกำลังดี เข้ากับตัวรถ
   • รูปทรง Hatchback: 5 ประตู ที่ดูสปอร์ตและมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่ยืดหยุ่น

3. ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเกินคาด (สำหรับรถ Eco Car):

   • พื้นที่ห้องโดยสาร: แม้จะเป็นรถ Eco Car แต่ Yaris โดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สบายกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ทำให้เป็นรถที่นั่งได้จริงสำหรับ 4-5 คน
   • พื้นที่เก็บสัมภาระ: ด้านท้ายมีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และสามารถพับเบาะหลังเพิ่มพื้นที่ได้
   • เบาะนั่ง: หุ้มผ้า (ในรุ่น G) ออกแบบมาให้รองรับสรีระได้ดี
   • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS: ควบคุมง่าย ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่จำเป็น:

   • ระบบปรับอากาศ: แบบลูกบิด (ในรุ่น G)
   • ระบบเครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3/WMA พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (รองรับ Bluetooth ในบางรุ่นย่อย หรือเป็นออปชันเสริม)
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง (ในรุ่น G)
   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags): สำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System): ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน
   • ระบบ EBD (Electronic Brake-force Distribution): กระจายแรงเบรกให้เหมาะสมในแต่ละล้อ
   • ระบบ BA (Brake Assist): เสริมแรงเบรกในกรณีเบรกฉุกเฉิน
   • โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA: ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชน

สรุปความแตกต่างที่สำคัญของ Yaris 1.2 G AT จากรุ่นย่อยอื่น ๆ:

• เหนือกว่ารุ่น E, J, J ECO:

  • อุปกรณ์อำนวยความสะดวก: รุ่น G ได้รับฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน เช่น ปุ่มสตาร์ท (Push Start), ระบบ Smart Entry (Keyless), พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุม, ไฟหน้า Projector และไฟตัดหมอก ซึ่งทำให้การขับขี่และใช้งานง่ายขึ้นและดูทันสมัยขึ้น
  • ความสวยงาม: ล้ออัลลอย 15 นิ้ว และไฟหน้าที่ดูดีกว่า
  • มาตรวัด: มาตรวัดเรืองแสง Optitron เพิ่มความคมชัดและสวยงาม

• ความปลอดภัย: ทุกรุ่นย่อยของ Yaris 1.2 ในปี 2014 (รุ่นที่เข้าโครงการ Eco Car Phase 1) จะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง และระบบเบรก ABS/EBD/BA เป็นมาตรฐานเท่ากันหมด จึงไม่แตกต่างกันในจุดนี้

จุดขายหลักของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. "รถคันแรกที่ลงตัวสำหรับชีวิตเมือง": ด้วยขนาดที่กะทัดรัด ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และความคล่องตัวในการขับขี่ ทำให้ Yaris เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานในเมือง การจอดรถ หรือการขับขี่ในที่แคบ
2. ประหยัดน้ำมันสุดๆ: การเป็น Eco Car และเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร พร้อมเกียร์ CVT ทำให้ Yaris มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
3. ความน่าเชื่อถือของ Toyota: เป็นที่ยอมรับในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และเกียร์ ค่าบำรุงรักษาไม่แพง อะไหล่หาง่าย มีศูนย์บริการทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
4. ราคาเข้าถึงง่ายในตลาดมือสอง: เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดมือสอง ทำให้หาซื้อได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผล และมีสภาพให้เลือกหลากหลาย
5. อุปกรณ์ครบครันสำหรับรุ่น G: รุ่น G ถือเป็นรุ่นท็อปของเครื่อง 1.2 ลิตรที่ให้ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วนและสะดวกสบายเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสตาร์ท, ระบบ Smart Entry, หรือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
6. พื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์: ตัวถังแบบ Hatchback พร้อมเบาะหลังที่พับได้ ช่วยให้สามารถบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้เมื่อจำเป็น เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน