TOYOTA GR86 CUP CAR BASIC รถสำหรับลงแข่ง ไร้การตกแต่ง ล้อกระทะ

TOYOTA GR86 CUP CAR BASIC ได้ถูกสร้างขึ้นไม่ได้สำหรับเพื่อใช้งานบนท้องถนนทั่วๆไป แต่อันที่จริงแล้วมันถูกสร้างมาเพื่อการลงแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ เพราะนอกจากจะมากับล้อกระทะสีดำขนาด 16 นิ้วแล้ว เพื่อสำหรับการเปลียนล้อกระทะเป็นล้อที่เหมาะสมกับแต่ละสนามแข่งขับแล้ว ยังมาพร้อมกับโครงสร้างเสริมอย่าง โรลบาร์ ภายในห้องโดยสารแบบ 6 จุด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 มม. ซึ่งใหญ่กว่ามาตราฐาน Speed B และ Speed BA ที่กำหนดโดยสมาพันธ์ยานยนต์แห่งญี่ปุ่น หรือ JAF ซึ่งระบุว่าจะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 มม. ขึ้นไป

TOYOTA ได้ระบุว่าถึงแม้จะติดตั้งโรลบาร์ดังกล่าว แต่ก็ยังสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4 ที่นั่งเช่นเดิม รวมไปถึงชุดพรมปูพื้นเป็นแบบพิเศษ สำหรับติดตั้งโรลบาร์ดังกล่าวอีกด้วยนอกจานี้ยังมีการติดตั้งออล์คูลเลอร์สำหรับลดความร้อนของน้ำมันเครื่องให้มาจากโรงงาน โดยจะช่วยรักษาอุณหภูมิเครื่องยนต์ให้คงที่อยู่เสมอแม้ว่าจะอยู่ในรอบที่สูงเป็นระบะเวลานานๆก็ตาม

ส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน ทั้งไฟหน้าที่เป็นแบบ Bi-Beam LED ไฟท้ายแบบ LED พวงมาลัยและหัวเกียร์แบบยูริเทน เบรคมือแบบก้านดึง โหมดการขับขี่แบบ Track จอขับขี่แบบ LCD ขนาด 7 นิ้ว ระบบกุญแจแบบอัจฉรียะ พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะหนังหุ้มวัสดุผ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ช่องชาร์จไฟฟ้าแบบ USB จำนวน 2 ช่อง ไม่มีเครื่องเสียงจากโรงงาน ระบบควบคุมการทรงตัวแบบ VSC ถุงลมหน้านิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยหัวเข้าผู้ขับขี่

ในด้านของขุมพลัง TOYOTA GR86 CUP CAR BASIC จะเป็นเครื่องยนต์แบบ Boxer แบบ 4สูบ ความจุ 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 235 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 3,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังไปยังล้อหล้งด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

ในส่วนของราคา TOYOTA GR86 CUP CAR BASIC อยู่ที่ 3,334,000 หรือราวๆประมาณ 958,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่มีราคาอยู่ราวๆ 2,799,000 เบน หรือราวๆ 804,000 บาท

https://www.kitsadagoodcar.com/

เตือนแล้วนะ.. อันตรายจากการลืมเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

เตือนแล้วนะ.. อันตรายจากการลืมเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

อันตรายจากการไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อถึงระยะ สามารถส่งผลต่อเครื่องยนต์ได้ทุกส่วน เพราะ การที่น้ำมันเครื่องหมดประสิทธิภาพนั้นก็หมายถึง เครื่องยนต์ของคุณจะต้องสึกหรอจากการใช้งาน ไม่เพียงเท่านั้น หากคุณยังฝืนใช้งานต่อไปก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์นั้นเกิดความร้อนจากการเสียดสีของอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์จนทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะเมื่อน้ำมันเครื่องหมดประสิทธิภาพแล้วนั่นก็หมายถึงการส่งผลต่อการทำงานอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นแล้ว การเสียดสีและความร้อนจะส่งผลต่อการทำงานและความเสียหายของลูกสูบอย่างรุนแรง ลูกสูบจะหลวม เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดคราบต่างๆตามชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์ ผนังห้องเผาไหม้กลายเป็นควันขาวออกท่อไอเสีย เสียงของเครื่องยนต์จะเริ่มดังกราว น้ำมันเครื่องลดลงเป็นอย่างมากจากเดิม เมื่อน้ำมันเครื่องน้อยก็จะไม่สามารถเลี้ยงไปสู่ระบบวาล์วแปรผันได้ จะทำให้การจุดระเบิดเครื่องยนต์ผิดพลาดที่ความเร็วสูงเครื่องยนต์จะกินน้ำมันเครื่องเพิ่มมากขึ้นทำงานหนักมากยิ่งขึ้นและถ้าหากฝืนใช้งานต่อไปเครื่องยนต์ก็จะพังในที่สุด

แล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่?

อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไม่ใช่แค่หมายถึงระยะการใช้งานเพียงเท่านั้น โดยอายุของน้ำมันเครื่องตั้งแต่เมื่อเติมลงเครื่องยนต์มันก็มีระยะเวลาของมันอยู่ด้วย โดยสามารถนับจากวันเปลี่ยนถัดไปอีก 6-8 เดือน หากไม่ได้ใช้งานก็ควรถ่ายออกแล้วเปลี่ยนใหม่เช่นกัน

โดยประสิทธิภาพของน้ำมันแต่ละแบบก็แตกต่างกันออกไปโดยสามารถกำหนดจากชนิดของน้ำมันเครื่องดังนี้ เช่น
น้ำมันเครื่องธรรมดา ที่ผลิตจากน้ำมันแร่ สามารถใช้งานได้ 5,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ที่ผลิตจากน้ำมันแร่และน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน สามารถใช้งานได้ 7,500-8,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือน้ำมันสังเคราะห์แท้ ที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานสังเคราะห์ สามารถใช้งานได้ 10,000-15,000 กิโลเมตร

โดยเบอร์ของน้ำมันเครื่องจะระบุข้างแกลอนแบ่งตามชนิดความหนืด ดังนี้

  • น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว โดยสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา หรือ SAE ได้วางมาตรฐานโดยแบ่งตามค่าความข้นใส หรือความหนืด ได้แก่ SAE 0W, 5W, 10W, 15W, 20W, 25W อักษร W สำหรับใช้ในเขตหนาว และ SAE 20, 30, 40, 50, และ 60 สำหรับในเขตร้อน ตัวเลขมากยิ่งความหนืดสูง
  • น้ำมันเครื่องเกรดรวม เป็นการพัฒนาน้ำมันเครื่องให้สามารถใช้งานได้ทั้งในสภาพอากาศร้อนและเย็น น้ำมันเครื่องเกรดรวมจะมีค่าดัชนีความหนืดสูงสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ดี เช่น SAE 10W-30, 15W-40, 20W-50

แบ่งตามชั้นคุณภาพด้านการใช้งาน

ตามค่ามาตรฐาน API โดยสถาบันปิโตเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา กดหนดมาตรฐานน้ำมันเครื่องโดยแบ่งตามประเภทของเครื่องยนต์ดังนี้

  • น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จะใช้อักษร S (Station Service) นำหน้ามาตรฐาน API ได้แก่ API SA, SB, SC, SE, SF, SG, SH, SJ, SL, SM, และสูงสุดในปัจจุบันคือ SN โดย A-N เป็นการแบ่งระดับชั้นคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ได้พัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้น
  • น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะใช้อักษร C (Commercial Service) นำหน้ามาตรฐาน API  ได้แก่ API CA, CB, CC, CD, CD-II, CE, CF-4, CF, CF-2, CG-4, CH-4, CI-4, CI-4 PLUS และสูงสุดในปัจจุบันคือ CJ-4

และทั้งหมดนี้ก็เป็นความห่วงใยสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องหันมาใส่ใจดูแลเครื่องยนต์ของคุณให้มากขึ้น เพื่อคุณจะได้ใช้รถยนต์ที่คุณรักไปนานๆ

https://www.kitsadagoodcar.com/

HONDA เตรียมปิดโรงงานหลักอายุ 58 ปี หยุดการผลิตถึง 40% เดินหน้ารถไฟฟ้า

HONDA เตรียมปิดโรงงานหลักอายุ 58 ปี หยุดการผลิตถึง 40% เดินหน้ารถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

HONDA วางแผนการตลาดในอนาคตเตรียมเปิดโรงงานที่เก่าแก่ที่สุด อายุ 58 ปี ซึ่งเป็นโรงงาน 1 ใน 3 ที่เป็นเสาหลักในการผลิตรถยนต์ของ Honda และยังถูกขนานนามว่าเป็นโรงงานแม่ Honda ภายในญี่ปุ่น จากการวางแผนการลดการผลิตรถยนต์จนมาถึงช่วงสุดในปี 2002 เหลือเพียงแค่ 8 แสนคัน/ปี เพื่อหันมาเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ

การลดการผลิตตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ ส่วนใหญ่จะมาจากการผลิตรถยนต์สำเร็จรูปในโรงงานดังกล่าว ภายในปีนี้โรงงานสามารถผลิตรถได้เพียง 2.5 แสนตันต่อปีเท่านั้น

เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาทาง Honda ได้ประกาศหยุดการผลิตรถยนต์แบบสำเร็จรูป ของโรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัด ซายามะ แต่ทางโรงงานจะทำหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต่อไปก่อนจะเปิดตัวลงอย่างสมบูรร์ภายใน 2-3 ปี ข่างหน้า การผลิตชิ้นส่วนต่างๆถูกย้ายโอนไปอย่างสมบูรณ์ในโรงงานผลิตอีกแห่งในจังหวัดไซตามะ และในส่วนของพนักงานก็จะถูกย้ายไปตามโรงงานที่ต่างๆของ Honda

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการปรับแผนครั้งใหญ๋ของทาง Honda เพราะการปิดโรงงานใหญ่นั้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนเป้าหมายอย่างชัดเจน โดนวางเป้าหมายที่จะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2040 ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตลง นำระบบไปพัฒนายานพาหนะใหม่มาใช้ และยกเลิกการแข่งขันฟอมูล่าวันเพื่อ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ลง

นอกจากนี้ ทาง Honda ถือว่เป็นบริษัทที่ปรับตัวเข้ากับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้ช้ากว่างบริษัทอื่นๆ ในโลก โดยจะเริ่มลดการการผลิตรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปให้หมดภายในปี 2040 เพื่อที่จะก้าวทันกับเทคโนโลยีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลก

https://www.kitsadagoodcar.com

Nismo 400R รถแรงปี 1996 สปอร์ทตัวเก็บหายากสุดๆ กับค่าตัว 72.386 ล้านบาท

Nismo 400R รถแรงปี 1996 สปอร์ทตัวเก็บหายากสุดๆ กับค่าตัว 72.386 ล้านบาท

คงมีแฟน Skyline หลายๆคนที่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ Nismo 400R สปอร์ทตัวเก็บหายากสุดในทุกรุ่น พร้อมประวัติอันยาวนานตั้งแต่เจเนเรชั่นแรกเปิดตัวในปี 1957 และในขณะที่ Nismo ได้กลายเป็นบริษัทลูกย่อยชอง Nissan รับหน้าที่ในการปรับแต่งจูนรถยนต์ โดยมีสำนักงานใหญ่ืั้ตั้งอยู่ในเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ได้มีผลงานมากมาย ทั้งการแข่งขัย JSPC, STCC, Formula Nippon, 24 Hours of Le Mans, 24 Hours Of Daytona และ Super GT จนกลายเป็นที่รู้จักขนานนามไปทั่วโลก

ล่าสุดรถที่เป็นสุดยอดตำนานอย่าง 400R คันสุดท้ายของโลกได้ถูกนำมาประกาศขายวางป้ายตั้งราคาที่ 1,600,000 ปอนด์ หรือราคาราวๆ 72.386 ล้าน บาท

ย้อนกลับไปในอดีต NISMO 400R ปี 1996 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน Nissan Skyline GT-R รหัส R33 โดยมีการผลิตขึ้นแค่เพียง 40 คันทั่วโลก และนี่ก็เป็นคันลำดับที่ 40

ภายใต้ฝากกระโปรง ได้ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส RB ขนาด 2.8 ลิตร รหัส RB-X GT2 ที่ปรับแต่งร่วมกัยทาง REINIK อัดกำลังด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า

และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ทาง Nismo 400R ยังผลิตสีตัวถังพิเศษ โดยใช้ชื่อว่า Deep Marine Blue V-Spec ที่มีเพียง 19 คันใน 40 คัน จากการผลิตในตอนนั้น

ชิ้นส่วนพิเศษใน เป็นชิ้นส่วนเฉพาะ 400R ของ Nismo ชิ่นส่วนเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้ เนื่องจาก Nismo และ Nissan ไม่เคยขายชิ้นส่วนแยกในตลาด และเป็นเสริม สำหรับ Skyline คันอื่นๆ

ดังนั้น NISMO 400R คันนี้จึงเป็นกลายเป็นรถสปอร์ทในตำนานที่หายากมากๆ และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเรียกว่าเป็นประวัติศาสตาร์สร้างชื่อให้กับ GT-R ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นรถที่ควรค่าแก่การเก็บสะสมเป็นอย่างมาก

https://www.kitsadagoodcar.com

5 จุดในรถยนต์ที่คุณอาจจะไม่รู้ว่ามีอยู่

วันนี้ผมขออนุญาตยก 5 จุดที่เป็นฟังค์ชั่นในรถยนต์ที่หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่ามีอยู่เพราะแอดมินสังเกตุได้จากการใช้งานของลูกค้าผ่านการ สอบถามของลูกค้าที่เข้ามาชมรถที่ โชว์รูมรถมือสองกฤษฎากู๊ดคาร์ โดยมีคำถามมากมายว่า มันคืออะไร และมันทำงานอย่างไร? ฉะนั้น แอดมินจึงขออนุญาตหยิบยก 5 จุดที่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่ามันมีอยู่และทำงานอย่างไร ประโยชน์นั้นคืออะไรมาอธิบายให้ให้ทราบกันครับ

1.หัวฉีดน้ำไฟหน้ารถยนต์

ฟังค์ชั่นนี้มักจะอยู่ในรถยุโรป หรือรถญี่ปุ่นที่มีคลาสสูงๆ และเป็นฟังค์ชั่นที่ทางศูนย์รถยนต์จำหน่ายมักจะลืมบอกผู้ใช้ว่ามีอยู่จนบางคนขายรถไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ใช้มัน แต่อันที่จริงแล้วมันก็มีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนที่ชอบลุยป่าลุยโคลน จนทำให้บดบังความสว่าง โดยที่คุณไม่จะเป็นจะต้องลงไปเอาน้ำราดเพื่อทำความสะอาด คุณจะคิดถึงฟังค์ชั่นนี้ทันทีครับ

2.สลักดึงเปิดฝ้ายท้ายฉุกเฉิน

เป็นฟังค์ชั่นที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน เพราะมันถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนตามจุดต่างๆของในฝาท้ายอันที่จริงแล้ว เผื่อกรณีที่เด็กเล่นแล้วโดนล๊อค แล้วมันถูกสร้างมาเพื่อความปลอดภัยและการป้องกันการอาชญากรรม โดยฟังค์ชั่นนี้รถยนต์แต่ละยี่ห้อจะซ่อนไว้ในรูปแบบต่างๆ แต่ละที่หน้าตาก็แตกต่างกันออกไป และจะมีเฉพาะในบางรุ่นบางยี่ห้อเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของท่านเจ้าของรถถือว่าเมื่อเวลาต้องการใช่มันก็สำคัญเลยทีเดียวครับ

3.ช่องต่อหัวลากจูง

ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ช่างสังเกตุ จะเห็นว่าหน้ากันชนจะต้องมีรอยช่องสี่เหลี่ยมหรือวงกลม ที่หน้ากันชนของรถทุกคัน อันที่จริงแล้ว ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด สี่งนั้นคือฝาของช่องต่อหัวลากจูงและหัวลากจูงก็จะแถมมากับรถยนต์ทุกคัน ในแต่ละยี่ห้อจะมีขนาดที่ไม่เท่านั้นฉะนั้น แนะนำให้เก็บกับรถไว้อย่างดี หากหายก็จะต้องเบิกศูนย์ใหม่ซึ่งราคาก็ไม่สูงมากแต่ก็อย่าทำหายดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเงิน

4.Children lock

ฟังค์ชั่นนี้ถูกสร้างมาเพื่อความปลอดภัยสำหรับเจ้าแสนซนของคุณ และหลายคนก็อาจจะรู้ว่ามันมีอยู่แต่ก็ลืมใช้มัน โดยเจ้าตัวแสบอาจจะมือซนเปิดประตูจากทางด้านในจนเกิดเหตุอันตราย โดยฟังค์ชั่นนี้ จะต้องเปิดประตูจากทางด้านนอกประตูเท่านั้นฉะนั้น ความปลอดภัยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ

5.ISO FIX

จุดล๊อคเบาะเด็กอ่อน เป็นจุดล๊อคที่เชื่อว่าบางคนนั้นไม่ได้สังเกตุว่ารุ่นรถของคุณที่ใช้อยู่นั้นก็มีจุดนี้อยู่ด้วย มันเป็นสิ่งเล็กๆที่สำคัญมากๆ เบาะเด็กอ่อนหรือ Carseat เพิ่มความปลอดภัยสำหรับลูกของคุณ โดยคุณสามารถสังเกตุได้จากตำแหน่งพนักพิงเบาะหลังและล๊อคอุปกรณ์ต่างๆเข้ากับจุดล๊อค 4 จุด


หากสนใจรถมือสองสภาพดี สามารถเลือกซื้อหรือปรึกษารายละเอียดได้ที่

https://kitsadagoodcar.com/

6 สิ่ง วิธีปรับตัวอย่างไรในยุคน้ำมันแพง

ราคาน้ำมันในช่วงนี้เป็นปัญหาของผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างแน่นอน เป็นที่รู้ๆกันว่า ราคาน้ำมันนั้นกำลังปรับตัวสู้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็จำเป็นจะต้องใช้รถกันอยู่ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วยถ้าหากว่าวันนี้เราเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราจะมีทาออกอย่างไรเพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคน้ำมันแพง

1.พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือก

พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกนั้น อยู่คู่กับคนไทยมานานหลายปี ทั้งระบบ NGV และ ระบบ LPG ไม่ว่าน้ำมันจะขึ้นมากแค่ไหน LPG และ NGV ก็เป็นตัวเลือกที่ใครหลายๆคนหันไปให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่อาจจะหนักในเรื่องของการติดตั้งระบบ แต่ก็จ่ายเหมาจบในคราวเดียว

2. ลดการใช้รถส่วนตัวหันมาใช้รถสาธารณะ

เชื่อว่าหลายๆคนกำลังประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นจนเกินตัวเพราะรถยนต์แต่ละขนาดนั้นก็มีอัตราการกิน้ำมันไม่เท่ากัน ก็อาจจะหันไปพึ่งเส้นทางโดยสารสาธารณะถ้าหากมันคุ้มกว่า หรืออาจะสลับการใช้รถยนต์บ้าง และรถประจำทางสลับวันกันไปก็ช่วยได้ วางแผนการเดินทางมากยิ่งขึ้น ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ไม่สะดวกนักแต่ก็ลดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร

3. ดูเส้นทางบน GPS เพื่อลดการเลี่ยงเสี่ยงรถติด

การดู GPS ในขณะเดินทางก็ถือว่าเป็นอีกวิธีที่ทำให้เราประหยัดทั้งเวลาและน้ำมันได้เช่นกันเพราะการตรวจเส้นทางหลีกเลี่ยงรถติดนั้นนอกจากจะทำคาดการณ์วางแผนได้ล่วงหน้าแล้ว ยังจะลดความเสี่ยงในเรื่องของการจราจรติดขัดได้อีกด้วยทั้ง จราจรติดขัดจาก อุบัติเหตุ หรือ จราจรติดขัดจากไฟแดง หรือเส้นทางที่กำลังก่อสร้าง ฉะนั้นควรวางแผน ตรวจเช็คให้ดีก่อนเดินทางนะครับ

4. การตรวจเช็คสภาพของรถยนต์

การตรวจเช็คสภาพรถยนต์นั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยุคน้ำมันแพงเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์แล้ว ก็ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมันอีกด้วย เพราะถ้าหากเครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ อัตราการกินน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้น เช่น การเช็คเบื้องต้นเช่นใส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ลมยางที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ประหยัดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

5.เทรินรถที่มีขนาดเล็กลง

สำหรับคนที่ใช้รถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่นั้นเชื่อว่าประสบปัญหาโดยตรงในเรื่องของ ราคาน้ำมันเพราะเชื่อว่าการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถังนั้นจะต้องใช้จำนวนหลายลิตร ฉะนั้นการเปลี่ยนรถยนต์ที่มีความจุขนาดเล็กและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลดลงก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี บางครั้งการเททรินรถมาเป็นรถขนาดเล็กถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ฉะนั้นไตร่ตรองก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นะครับ

6.ใช้ความเร็วที่เหมาะสม

การใช้ความเร็วที่เหมาะสม ก็สามารถประหยัดน้ำมันได้มากพอสมควร การเบรคและเร่งออกตัวบ่อยๆทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น การขับรถรักษาความเร็วคงที่ที่รอบเครื่องที่เหมาะสม นั้นสามารถประหยัดน้ำมันได้ตามสเปคที่ทางผู้ผลิตได้กำหนดไว้

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่สามารถทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคน้ำมันแพง เรียกว่าเป็นสิ่งง่ายๆ ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันของยุคนี้ ฉะนั้นหากคุณสามารถปรับตัวได้ ก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคน้ำมันแพงได้พอสมควรเลยครับ

https://www.kitsadagoodcar.com/

TOYOTA Sequoia 2023 ยักษ์ตัวใหมที่จะมาแทน Land Cruiser เปิดตัวด้วยกำลังเครื่องยนต์ 437 แรงม้า

TOYOTA Sequoia 2023 เป็นรถ SUV แบบ 3 แถวที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เมื่อปี 2008 โดนการยกเครื่องใหม่และการออกแบบปรับโฉมให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น เรียกว่ากำลังจะมาแทนที่สุดยอดตำนานอย่าง Land Cruiser แต่เป็นรถที่นิยมตลาดการของ แถบอเมริกา

2023 Sequoia ใช้แพลทฟอร์มเดียวกันกับ Tundra , Land Cruiser และ Lexus LX 600 รุ่นล่าสุดผู้ซื้อสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ แบบสองคือแบบ 4WD ที่เป็นรุ่นที่ตกแต่งจาก TRD

ช่วงล่างของ Sequoia ประกอบด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ และแบบมัลติลิงค์ที่ด้านหลัง และ โช๊คถุงลมที่สามารถปรับระดับการรับน้ำหนักให้เหมาะสมได้

Sequoia สามาระลากจูงน้ำหนักได้ถึง 9,000 ปอน์ด (4,082 กิโลกรัม) ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 22 เปอร์เซนต์ มีกระจกมองข้างแบบปรับพับได้อย่างอิสระโดยสามารถ กางยืดออก เพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีจอภาพแสดงแบบพาโนรามาให้มุมมองแบบมุมสูงผ่านจอกลางเพื่อความปลอดภัยรองคัน

รูปลักษณ์ภายนอก Sequoia จะเน้นไปทางรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่ง รูปลักษณ์โดยรวมจะเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Tundra ซึ่งจะมีกระจังหน้าขนาดใหญ่ โดยออกแบบให้มีลวดลายของตะข่าย รูปหกเหลี่ยมสีดำกว้าง รับกับเส้นสายไฟหน้าที่เป็นรูปตัว Y

บังโคลนกว้างสูงเหนือช่องปิดล้อฐานของเสา D จะเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย กระจกหลังจะเอียงไปด้านหลังเล็กน้อย

ภายในมีที่นั่งทั้งหมด 3 แถว แถวที่สองมีจะเป็นทรงแถวแยก สามารถเลื่อนหน้าหลังได้ถึง 6.0 นิ้ว และด้านหลังก็มีช่องสำหรับวางของอย่างสะดวกสบาย

Sequoia ภายในนั้นประกอบด้วยระบบเทคโนโลยี ภายใต้ TOYOTA Safety Sense 2.5 เพิ่มฟังค์ชั่นเบาะปรับอุณหภูมิหลังคามูนรูฟแผงหน้าปัดดิจิต้อลขนาด 12.3 นิ้ว และเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบกล้องมองภาพแบบ พาโนราม่า

ภายในเสริมด้วยระบบอิโฟเทนเมนท์ 8.0 นิ้ว SR5 Premium ขยายขนาดหน้าจอขนาด 14.0 นิ้ว เครื่องเสียงลำโพง 14 ลำโพงหลังคาซันรูฟแบบนาโนรามาการชาร์จแบบไร้สาย และที่ปัดน้ำฝนแบบตรวจจับเม็ดฝนไฟหน้าและไฟท้ายก็สามารถ เปิด-เปิดได้แบบ อัตโนมัติ นากจากนี้ความพิเศษคือเบาะแถวที่ 3 เป็นแบบพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า ประตูท้าย เปิด-ปิด แบบไฟฟ้า และพร้อมด้วยปลั๊กไฟแบบ 120 โวลต์ ทั้งในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระการตกแต่งภายในดูเรียบหรูมากยิ่งขึ้นด้วยการซ่อนไฟภายในห้องโดยสาร และเน้นวัสดุแบบไม้ตัดด้วยวัสดุหนังเทียม

SR5 ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับแพคเกจ TRD Sport จะประกอบด้วยโช้คอัพแบบโมโนทูบ Bilstein และใช้ล้อขนาด 20 นิ้วสีดำด้านดูดุดัน และในรุ่น SR5 TRD Off-Road ประกอบด้วยดิฟเฟอเรนเชียลล๊อค ขนาดล้อ 18 นิ้ว ระบบ Multi-Terrain Select พร้อมด้วยระบบควบคุมการไหลลงเขา

ฟังค์ชั่นเสริมที่เพิ่มเติมเข้ามาภายใน SR5 Premium ด้วยเบาะนั่งด้านหน้าแบบมีระบบ Heater ที่สามารถทำให้อบอุ่นเมื่อเจออากาศหนาวแล้ว ภายในพวงมาลัยก็มีฟังค์ชั่นทำความร้อนเหมือนกัน

เครื่องยนต์บล๊อคใหม่ แบบ V6 ไฮบริดเทอร์โบคู่ขนาด 3.5 ลิตร ที่ทาง Toyota เรียกว่า i-Force Max เครื่องยนต์ให้กำลัง 437 แรงม้า (326 กิโลวัตต์) แรงบิดถึง 583 ปอน์ด-ฟุต (790นิวตันเมตร) เช่นเดียวกับใน Tundra มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดเท่านั้น โดยยังไม่ทราบรายงาน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่แน่ชัด


โดยยังไม่เปิดเผยในเรื่องของราคาเป็นที่แน่ชัด อาจจะต้องควยติดตามกันต่อในช่วงปลายปี นี้ เราอาจจะได้เห็นการอัพเดทของทาง TOYOTA Sequoia ว่าเปิดราคามาได้สวยมากน้อยเพียงไหน


หากต้องการสารยานยนต์ และต้องการดู รถมือสอง เพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่

https://www.kitsadagoodcar.com/


พ.ร.บ.ความผิดกับทางม้าลาย ที่หลายคนมองข้าม

จากกรณีที่เป็นข่าวเมื่อวันทื่ 23 มกราคม 2565 ที่ผ่านมากรณีผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ BIGBIKE Ducati ด้วยความเร็วเป็นเหตุทำให้เฉี่ยวชนกับ ผู้ใช้ทางม้าลายบาดเจ็บสาหัส จนเป็นเหตุทำให้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา

ตามข้อกฎหมายแล้วกรณี จอดรถทับทางม้าลาย-หรือทางข้ามแยก นอกจากที่ผู้ที่เดินเท้าจะไม่ได้รับความสะดวกและเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ. จราจรทางบกตามมาตรา 57 ที่ระบุไว้ว่า ห้ามจอดรถทับทางม้าลายหรือทางข้าม ในระยะ 3 เมตร จากทางม้าลายหรือทางข้าม ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท

แต่ถ้าหากผู้ข้ามไม่ได้ใช้ทางม้าลาย ตามมาตรา 104 บัญญัติไว้ว่า ภายในระบะ 100 เมตรนับจากทางข้าม ห้ามมิให้เดินทางข้ามนอกทางข้าม และในมาตรา 147 ระบุไว้ว่า หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามาตรา 104 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และหากถูกรถเฉี่ยวชน ผู้ที่ข้ามถนน จะมีความผิดร่วมด้วย

และหากจอดรถบนทางม้าลายนั้น ถือว่ามีความผิดชัดเจน โดยเฉพาะหยุดหรือจอดใกล้กับทางม้าลายในระยะ 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหยุดหรือจอดรถใกล้กับทางม้าลายในระยะ 3 เมตรโดยนับจากทางข้ามนั้น ก็จะมีความผิดตามมาตรา 57 ผู้ฝ่าฝืนที่โทษปรับ 500 บาท

ทางม้าลาย หรือ เส้นทางข้ามนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่ช่วยในเรื่องของความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนรวมแล้ว ซึ่งหากผู้ใช้รถเคารพในกฎหมายข้อนี้ก็จะช่วยให้การใช้ถนนสาธารณะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แอดมินขอฝากให้ช่วยดูแลและใส่ใจในเรื่องนี้กันด้วยนะครับ

https://www.kitsadagoodcar.com/

หนวดยางรถยนต์ มีประโยชน์อย่างไร บ่งบอกอายุของยางได้จริงหรือ?

ยางรถยนต์เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ทำหน้าขับเคลื่อนรถยนต์ ทั้งสามารถรองรับแรงกดแรงดันรวมไปถึงน้ำหนักและแรงกระแทกต่างๆที่เกิดขึ้น โดยผู้ผลิตและออกแบบได้ออกแบบยางให้สามารถใช้งานได้หลากหลายลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

โดยวัสดุในการผลิตนั้น ยางรถยนต์จะทำมาจากยางธรรมชาติผสมกับยางสังเคราะห์ ผงคาร์บอน น้ำมัน และสารเคมีเพื่อการยึดเกาะ โดยเสริมโครงสร้างความแข็งแรงจากวัสดุผ้าใบที่ทำมาจากเส้นใยไนลอน หรือ โพลีอีสเตอร์ และเส้นลวดเล็กๆมากมาย เพื่อเพิ่มโครงสร้างและความแข็งแรงในการรองรับแรงดันและแรงกดทับของยาง

ซิ่งเมื่อคุณได้เปลี่ยนยางรถใหม่ คุณอาจจะสงสัยว่า ยางนั้นมีขน ซึ่งหน้าที่ของขนนั้นมีความสำคัญอย่างไร เรามาหาคำตอบกันครับ

หนวดของยางรถยนต์สามารถบอกอายุของสภาพยางรถยนต์ได้จริงหรือ?
หนวดยางรถยนต์ หรือขนแหลมๆที่ออกมาจากยางรถยนต์ บางคนมีความเชื่อว่า มันสามารถลดเสียงของยางรถยนต์ที่เราเห็นนั้น อันที่จริงแล้วทางผู้ผลิตยางรถยนต์ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันมีหนวดออกมากระบวนการผลิตยางรถจากการใช้แรงดันสูง กระบวนการนี้จำเป็นจะต้องมีรูเล็กๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดฟองอากาศในช่องแม่พิมพ์ยาง เราเรียกว่า (Vent Holes) หรือรูไล่อากาศนั่นเอง

หนวดยางรถยนต์ มีประโยชน์อย่างไร บ่งบอกอายุของยางได้จริงหรือ?

อันที่จริงแล้ว ส่วนเกินนี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะตรวจสภาพยางจากการดึงเบาๆที่หนวดของยาง ว่าคุณภาพของยางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากขาดง่ายก็แสดงว่า คุณภาพนั้นเริ่มเปลี่ยนไปตามอายุ แต่ถ้าหากว่าดึงแล้วขาดยากก็ถือว่าเป็นยางใหม่ ทั้งนี้วิธีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของแต่ละคนนะครับ

นี่แหละครับคือเหตุผลของหนวดยางงรถยนต์ ว่าทำไมจะต้องมี ฉะนั้นหากเพื่อนๆต้องการเททคนิกการใช้รถยนต์หรือความรู้อื่นๆเกี่ยวกับรถยนต์ สามารถติดตาม สาระน่ารู้รถยนต์ของ Kitsadagoodcar ได้เลยนะครับ

https://www.kitsadagoodcar.com/

Honda E หล่อขึ้นเยอะกับชุดแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมา Motor Sport ในอดีต

สาว Honda ถูกใจสิ่งนี้ สำนักข่าว MOTOR1 ได้แผยภาพของ HONDA E ที่ได้เสริมชุดแต่ง ที่สร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากรถแข่ง MOTOR Sport ในอดีตซึ่งเป็นรถแข่งในสนาม One City Turbo One-Make Racing Series จากประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 1980 ภายในชุดแต่งจะประกอยด้วย เสริมกันชนหน้าเสริมเส้นสายของอากาศที่มีช่องสี่เหลี่ยมตรงกลางเพื่อระบายความร้อน นอกจากนี้ยังมีคาร์นาร์ดมุมของกันชน บังโคลนบานเกล็ด เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับล้อขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนโค้งเว้าทำให้ดูเต็ม

ชุดแต่งนี้แม้จะยังไม่มีกำหนดการวางขายที่แน่ชัด แต่ก็สร้างการกระตุ้นสำหรับคนที่อยากรุ่นนี้ และเชื่อว่า ในอนาคต รถไฟฟ้าก็จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้ก็กำลังจะเข้าสู่กระบวนการทำสี

littlecurrie91

อ่านข่าวรถ EV ใหม่ๆ