เส้นจราจรต้องรู้ ความหมายของเส้นขาวบนถนน แต่ละแบบบ่งบอกอะไรบ้าง

เส้นจราจรสีขาวบนถนน จะมีความหมายและลักษณะข้อบังคับที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้มีความเป็นระเบียบ เรียบร้อย และปลอดภัย และสร้างวินัยในการขับขี่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งตัวเองและผู้อื่น ซึ่งลักษณะของเส้นขาวบนท้องถนนนั้นก็มีลักษณะข้อบังคับดังนี้

1.เส้นจราจรปกติ สีขาว มีความยาวเท่าๆกัน คือ ให้ขับเลนส์ซ้ายปกติ และ สามารถแซงขวาได้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย อย่าลืมเปิดไฟขวาเพื่อให้สัญญาณเมื่อจะต้องแซง

2.เส้นแบ่งจราจรเตือน สีขาว ยาวสลับสั้น คือเขตข้ามทางแยก เขตห้ามแซงเว้นแต่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินรถขับข้ามได้แต่จะต้องระวังเป็นพิเศษ

3.เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซง เมื่อขับ เป็นเส้นขาวทึบมีความกว้าง ประมาณ 15 เซนติเมตร หมายความว่า ห้ามแซง ขับรถข้าม หรือคร่อมเส้นดังกล่าว

4. เส้นแบ่งทิศทางจราจรคู่ (เส้นประคู่กับเส้นทึบ) เป็นเส้นประสีขาว ทีมีความกว้าง 10 เซนติเมตร โดยมีเส้นประขนานไปกับเส้นทึบยาวหมายความว่า รถทางเส้นประสามารถข้ามเส้นหรือแซงได้เมื่อปลอดภัย แต่ทางเส้นทึบจะไม่สามารถแซงเข้ามาได้

5. เส้นแบ่งจราจรคู่ (เส้นทึบคู่กับเส้นทึบ) เป็นเส้นทึบยาวขนานกันทั้งสองเส้น หมายความว่า รถทางเส้นทึบห้ามแซง ห้ามคร่อม หรือผ่านเส้นทั้งสองทางโดยเด็ดขาด

6. เส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ เป็นเส้นประสีขาว กว้าง 10 เซนติเมตร และยาว 100 เซนติเมตร หมายความว่า ห้ามขับรถคร่อมเส้นหรือทับเส้น เว้นแต่ต้องการจะเปลี่ยนช่องทางการเดินหรือกลับรถเมื่อเห็นว่าปลอดภัย

7. เส้นแบ่งช่องเดินรถ เป็นเส้นประสีขาว กว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 300 เซนติเมตร เว้นระยะห่าง 100 เซนติเมตร หมายความว่า หากใกล้ถึงเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ จึงห้ามแซงและห้ามคร่อมเส้น เว้นแต่ว่าจะเปลี่ยนช่องทางเดินรถ

8. เส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง เป็นเส้นประสีขาวทึบยาว กว้าง 10 เซนติเมตร หมายความว่า ห้ามแซงหรือขับคร่อมเส้นหรือกลับรถ

9. เส้นให้ทาง เป็นเส้นขวางแนวประ ขนาดความ กว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร เว้นระยะ 30 เซนติเมตร หมายความว่า ให้ชลอดูรถที่จะออกจากทางร่วมหรือคนเดิน ผ่านไปก่อน และเมื่อ เห็นว่าปลอดภัยแล้วค่อยขับผ่านด้วยความระมัดระวัง

10.เส้นแนวหยุด เป็นเส้นสีขาวทึบยาวพาดเป็นแนวนอนหมายความว่า จะต้องหยุดรถก่อนถึงเส้นนี้ เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางอื่น

ไปต่อไม่ไหว โผ คนไทยปล่อยไฟแนนซ์ยึดกว่า 9 หมื่นคัน ภายใน 5 เดือน

ไปต่อไม่ไหว โผ คนไทยปล่อยไฟแนนซ์ยึดกว่า 9 หมื่นคัน ภายใน 5 เดือน
สัญญาณหนี้เสียเพิ่ม ลูกค้าผ่อนรถไม่ไหวดอกเบี้ยขึ้น ค่าครองชีพสูง ธุรกิจลานประมูล ขยายไม่หยุดคาดว่าททั้งปี รถยนต์ยึด 2.5 แสนคัน ภายใน 5 เดือนแรก ยึดมาแล้วเกือบ 9 หมื่นคัน กลุ่มมอเตอร์ไซด์ก็ไม่น้อยหน้า ถูกยึดเดือนละเกือบ 3 แสนคันเฉพาะ โตโยต้ายึดเข้าพอร์ตประมูลออนไลน์เดือนละ 500 คัน โดยรวมยอดขายรถใหม่ ลดลงถึง 22%

นานอนุชาติ ดีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย แนวโน้มที่ประชาชนปล่อยให้มีการยึดรถ มีทิศททาที่เพิ่มขึ้นแต่อาจจะไม่สูงแบบก้าวกระโดดถึง 1 ล้าน คัน หากดูตัวเลขในช่ว 5 เดือนแรงของปี 2566 มียอดรถยึดไหลเข้าลานประมูลแล้ว 8-9 หมื่นคัย เมื่ือเทียบเป็นตัวเลข ในไตรมาสก่อนน้านี้เพิ่มขึ้น 3-5%

และทั้งนี้ การประเมินว่าภาพรวมรถที่ยึกจะเป็นการทยอยไหลเข้าศู้ระบบลานประมูลหลังจากนี้ ตามลูกหน้าที่มาตรการพักชำระหนี้ทยอยครบตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2565 และไม่สามารถชำระหนี้ได้ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL ทำให้สถาบันการเงินทยอยยึดรถ

5 เดือนยึดรถ 9 หมืนคัน
ในช่วง 5 เดือนแรกมียอดขายประมาณ 200 ล้านบาท มีอัตราการเติมโตถึง 10-12% ซึ่งคาดว่าทั้งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมาย 500 ล้านบาทและมีรถยึดเข้าลานประมูลราวๆ ถึง 8-9 หมื่นคัน ถือเป็นอันดับ 2 ของตลาด

คาดว่าขยายลานประมูลเพิ่ม
นายชุมพล กิตติชัยสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามอินเตอร์ การประมูลหรือ SIA กล่าวว่า รถยึกเข้าลานประมูลเพิ่มขึ้นสะท้อนจากปริมาณการส่งออกของสถากัยการเงินพันธมิตรให้บริษัทมากขึ้น โดยเฉลี่ยมีรถยึด รวมไปถึงรถจักรยานยนต์ เข้ามาประมาณ 4,000-5,000 คันต่อเดือน ถือว่าเพิ่มขึ้นราวๆ 10-20%

และจากปริมาณยอดรถยึดที่ส่งเข้ามาลานประมูลเพิ่มขึ้นทำให้มีรถที่ค้างสต๊อกสะสมอยู่ราวๆ 1 หมื่นคันและคาดว่าแนวโน้มรถสะสมในสต๊ิกจะเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 10% คิดเป็นจำนวนราว 1.1 หมื่นคันททำให้บริษัทจำเป็นจะต้องขยายลานประมูลเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับปริมาณรถยึดที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกันจากปัจจุบันมีลานประมูลอยู่ถึงง 42 แห่ง

ยางแตก ลายงา อันตรายหรือไม่ และเกิดจากสาเหตุอะไร

ยางแตกลายงาคือ ร่องรอยที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณที่หน้ายาง เป็นรอยร้าวขนาดเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป เกิดได้กับยางททุกประเภททุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ หรือแม้กระทั่งจักรยานเองก็ตาม ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นเมื่อยางเริ่มมีอายุการใช้งานเป็นเวลานาน หรือการจอดกลางแดดหรือแช่น้ำเป็นเวลานานๆ ในลักษณะแบบนี้เรียกว่า Aging หรือ ยางที่มีอายุมากๆ



สาเหตุหลักของอาการแตกลายงา
คือความร้อนจากแสงแดด ซึ่งโดยมากแล้วรถที่ตากแดดในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานาน เมื่อความร้อนจากดวงอาทิตย์กระททบกับพื้นคอนกรีด ก็จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น และมีความร้อนขึ้นมาทำลายหน้ายางให้ขาดความชุ่มชื้น และมีการขยายและหดตัว ทำให้เกิดการแตกลายงาตามร้องยางได้ชัดเจน

ยางแตกลายงา อันตรายไหม?
กรณีเมื่อพบว่ายางมีการแตกลายงาแล้วควรเปลี่ยน ควรพิจาณา 3 ข้อดังนี้
1. ความลึกของรอยแตกลายงา

ยางแตกลายงา จะเป็นอันตรายหรือไม่เป็นอันตรายนั้นขึ้นอยู่กับความลึกของรอยยาง ในบางรอยอาจจะลึกถึงโครงสร้างยางที่อยู่ภายใน แบบนี้ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุด เพราะอาจจะเกิดการระเบิดได้ถ้ายังคงใช้งานต่อไป

2. พิจารณาส่วนต่างๆ ของยาง
ถ้าหากยางแตกลายาที่ ด้านหน้ายางหรือหน้าดอกยาง โดยมากแล้วสาเหตุเกิดจากการแช่น้ำเป็นระยะเวลานานๆหรือ ความร้อนจากแดด หรือสะท้อนกับพื้นถนนทำให้เกิดความเสียหายกับคุณภาพของยาง ถ้าหากเกิดขึ้นที่แก้มยางก็มักจะเกิดจากยางที่แบนและถูกกดทับเป็นเวลานานๆ

3. พิจารณาในรอยแตกลายงาตามส่วนของยาง
ลายงาสามารถเกิดได้ทุกส่วนของยาง ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้งานโดยเฉพาะ สำหรับคนที่ไม่ค่อยดูแลในเรื่องของการเติมลมหรือปล่อยให้รถยางแบนส่วนที่เกิดลายงาก็จะเป็นส่วนของแก้มยาง
ซึ่งเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดเพราะแก้มของยางเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของรถ และเป็นส่วนที่บางที่สุดของยางฉะนั้นถ้าหากเห็นว่ามีการสึกหรอในส่วนนี้แนะนำให้เปลี่ยนทันทีครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม


9 รถสะสมของชาว JDM 90’s ที่คาดว่าราคาขึ้นงบไม่เกิน 1 ล้าน ในปี 2023 มีรุ่นไหนบ้าง?

รถสะสม 90’s ที่คาดว่าราคาขึ้นในงบไม่เกิน 1 ล้าน มีรุ่นไหนบ้าง?
ช่วงกระแสรถไฟฟ้ากำลังมาแต่เหล่าลัทธิอนุรักษ์นิยม ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับรถที่มีมูลค่าไม่สูงมาก แต่ก็สามารถทำกำไร หรือ มูลค่าเพิ่มได้ตามกาลเวลา และความหายากที่กำลังมากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รถเก่าเก็บเหล่านี้มีราคาต่อรองตามความพอใจ และถ้าหากว่าสภาพเหมือนกับวันแรกที่ออกจากโชว์รูมราคาน้ำลายก็ยิ่งสูงลิบลิ่วเผลอๆอาจจะสูงกว่าราคาวันที่ออกโชว์รูมซะอีก วันนี้ลองมาดูกันครับว่ารถสะสม 90’s ที่มีราคาไม่ถึงล้านมีรุ่นไหนกันบ้างลองมาดูครับ


1. Toyota MR-2 (ZW20)


เรียกว่าประวัติ คู่ตำนานที่เป็นอมตะ ดีไซน์เหมือนหยุดเวลายุคสมัยให้ชาว 90’s ได้รำลึกถึงความหลัง ด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัยขับในยุคนี้ก็ไม่เขินอายแต่อย่างไร เพราะสำหรับรถรุ่นนี้ ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา และสิ้นสุดในปี 1999 และเป็นเครื่องวางกลางขับเคลื่อนลงล้อหลังคันแรกที่ญี่ปุ่นเคยมีมา ภายในรหัส MR-2 ย่อมาจาก Mid-Ship Run About 2 Seater หรือ Mid Engine Rear Wheel Drive 2 Seater โดยแนวคิดในยุคแรกนั้นออกแบบให้เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ขับสนุก ประหยัดน้ำมันมากๆ โดยเริ่มถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1979 ซึ่งรถต้นแบบแรกนั้นใช้รหัส SV-3 เริ่มเปิดตัวในเดือน ตุลาคมปี 1983 ภายในงาน Tokyo Motor Show มาพร้อมเครื่องยนต์ รหัส 3S-GE 2.0L ที่สร้างพละกำลังถึง 165 แรงม้า ทั้งเกียร์ธรรมดาและออโต้ ถึงอย่างไร เหล่าเกียร์ออโต้ถึงจะเป็นตัวท๊อปสุดของยุคนั้น แต่ที่หายากก็คงไม่พ้นเจ้า เกียร์ธรรมดาสภาพดีที่เป็น Signature ของเหล่า 90’s และเป็นกระจกไฟฟ้า และ เครื่องอีกหนึ่งรุ่นจะประจำการในตัว GT-S และเครื่องยนต์ 3S-GTE 2.0 เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 221 แรงม้า แต่จะเป็นรุ่นที่ มีแค่ เกียร์ธรรมดาเท่านั้น โดยจะมีออพชั่นเท่ากับ G-Limited เท่านั้น
ซึ่งปัจจุบันราคาที่หาได้จะอยู่ 4.7 แสน จนไปถึงราคา 9 แสน แล้วแต่รุ่นแล้วแต่สภาพ


2. Toyota Celica TA180 : 1989-1993 ST185


Toyota สร้างตำนานออกมาหลายๆรุ่น แต่มีอยู่รุ่นหนึ่งที่อาจจะถูกลืม ซึ่งต้นตระกูลนั้นมีประวัติถือกำเนิดยาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อชาวขาซิ่งในยุคนั้นๆ แต่กลับกลายมาเป็นรุ่น G4 ซะนี่ที่ปัจจุบันกลับมาตามหากันและประสบความสำเร็จในวงการ แรลลี่โลก (ซะงั้น) ซึ่งตอนแรกเอาใจขาซิ่งแต่ชนะงาน WRC ในประเภทนักขับ 3 ครั้ง แต่ 2 ทีมผู้ผลิต ที่นำเอา G4 และ G5 มาตีคู่ ในช่วงปี 1992 จนไปถึง 1994 ในรุ่น ได้รับรางวัล WRC Drivers ‘Championship ในปี 1992 และ WRC Manufacturers’ and Drivers ‘Championships และสุดท้ายก็ต้องตามน้ำด้วยการ ผลิตแบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือเรียกกันว่า GT-Four แต่ขอย้อนกลับไปในรุ่น G4 ที่เป็นรุ่นที่ยอดฮิตกว่า G5 (อ่าวไหงเป็นงั้น) จุดเด่นของรุ่นนี้คือ ไฟ Pop-up ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนยุคนั้น และดีไซน์ที่สามารถมองได้ถึง 2 อารมณ์และโดยเฉพาะรุ่น ST185 จะเป็นรุ่นขับ 4 ล้อ ที่ประจำการด้วยเครื่อง 3S-GTE Turbo 185 GT มีระบบอินเตอร์คูลเลอร์ ระบายความร้อน ให้กำลังเต็มๆ 224 แรงม้า และขับเคลื่อนผ่านเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ลง 4 ล้อ

ซึ่งปัจจุบันราคาที่หาได้อยู่ราวๆ 2 แสนต้นๆ จนไปถึง 4 แสนแล้วแต่ความสมบูรณ์ของรถเลยครับ


3. Honda Prelude Generation 4

Honda เป็นแบรนด์ที่ไม่ว่าจะออกรุ่นไหนก็สร้างตำนานให้เป็นที่เลื่องลือได้ทุกรุ่น แต่ในรุ่นนั้นจะมีอยู่ 1 Generation ที่เป็นดาวเด่นที่ดีที่สุดของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสะสมนั่นก็คือ Generation ที่ 4 ซึ่งเป็น Sport Compact Car ที่เริ่มมาใช้เป็นเครื่องยนต์รหัส VTEC หัวฉีด 2.0 ลิตร 133 แรงม้า แต่ก็ยังมีอีก แต่ก็ยังมีรุ่นที่เป็นเครื่องคาบูเรเตอร์ แบบ 2.2 ลิตร 135 แรงม้า เครื่องยนต์หัวฉีดธรรมดา 2.3 ลิตร 160 และหัวฉีดแบบ VTEC 2.2 (H22A) ลิตร 200 แรงม้า VTi-R หรือ Si-VTEC นั่นเอง ซึ่งจุดขายมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น (อ่าว) แต่มันกลับได้รับความนิยมจากอ๊อพชั่นที่มีมาให้ต่างหาก ซึ่งมีทั้งซันรูฟ ครูซคอนโล (ล๊อคความเร็วอัตโนมัติ) ระบบ ABS ระบบกันสะเทือนแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ และพระเอกของงานนี้คือ ระบบเลี้ยว 4 ล้อ ทำให้สามารถเลี้ยวในวงแคบทำให้มีความคล่องตัวสูงกว่ารถในระดับเดียวกัน และสามารถวิ่งได้เร็วสุดถึง 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าซิ่งเอามากในสมัยนั้น
ซึ่งสนนราคาทที่สามารถหาได้ อยู่ที่ 2 แสนต้นๆ จนไปถึง 4 แสนปลายๆ แล้วแต่สภาพและความเดิมๆ



4.Toyota MR-S (ZW30)

เป็น Sport Roadster อีกหนึ่งรุ่นของ Toyota ที่พัฒนาเครื่องวางกลางต่อจาก MR-2 (ZW20) แต่มีลักษณะตัวถังที่เล็กกว่ามีช่วงที่สั้นกว่า แต่สามารถโดยใน Generation นี้ ก็ถือว่ามีการประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร และมีความจัดจ้านทางด้านการออกบบสุดๆในบรรดา 3 รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทั้งหลังคาแบบแข็งและแบบผ้าใบ เริ่มต้นการผลิตตั้งแต่ 1999 จนไปถึง ปี 2007 ก็หยุดสายพานกานผลิตลง ซึ่งเป็นรถที่ออกมาตอบโจทย์ของคนที่อยากได้ฟิลลิงแบบ Porsche ในรถ ญี่ปุ่น

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ใช้รหัส 1ZZ-FE กับเกียร์แบบ Semi Auto 5 Speed ปรับมือ และในรุ่น ปี 2002 จนถึง 2007 ก็เป็นเกียร์ Semi Auto 6 Speed (ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นี่นิยมเท่าไหร่นัก) รุ่นย่อย B Edition , S Edition , V Edition ยังเป็นรถที่นิยมในหมู่ stylish parts เยอะพอสมควร ของแต่งเยอะ แต่ก็ไม่แนะนำให้มีการปรับแต่งใดๆ เพื่อรักษาในเรื่องของสภาพและราคา และสูญเสียในเรื่องของ Aero Dynamics ไปอีกด้วย แต่ถ้าจะหาความแรงจากรุ่นนี้ อย่าหวังเลยครับ เพราะได้มาแต่ 140 ตัวเท่านั้น แต่ก็เพียงพอกับชีวิตประจำวัน Interior ภายในอาจจะไม่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ จะนำไปขับแบบ Daly Used เพราะด้วยการดีไซน์โครงสร้างที่เตี้ยสั้น ช่องเก็บของน้อยมากๆ และความแคบทำให้เป็นรถที่เหมาะกับการขับเล่นซะมากกว่า
ตลาดมือสองเริ่มต้นที่ 650,000 -900,000 บาทเลยทีเดียว



5. Mitsubishi Evolution IX

Mitsubishi EVOLUTION ถือว่าเป็นอีก 1 ตำนานปีศาจญี่ปุ่นอันเลื่องชื่อ เพราะมีวีรกรรมอันมากมายให้ได้เล่าทั้งวันก็ไม่จบ ทั้งฉายานักเลง 3 เกียร์ จรวดทางเรียบ หรือ Godzila Killer ที่เป็นฉายาฆาตกรฆ่า GTR และ Skyline แบบไม่เห็นฝุ่น จึงทำให้เกิดหมั่นใส้ให้กับหลายๆสำนักศัตรูเต็มบ้านเต็มเมือง เริ่มตั้งแต่ ปี 1991 ที่ได้เปิดตัว EVO III หรือ e-Car ที่ปรับปรุงสร้างโครงสร้างให้แข็งแกร่งขึ้น จาก Lancer เสริมความแรงด้วยเครื่องสูตร 4G-63 4 สูบ 2.0 ลิตร รีดพละกำลังได้ 250 แรงม้า อัตรา 0-100 ภายใน 5.1 วินาทีถือว่าโหดขิงเอาเรื่องในยุคนั้น

และก็ได้ถือกำเนิดอีกหลายๆรุ่นตามมาตั้งแต่ EVO II ในปี 1994, EVO III , ในปี 1995 EVO IV, ในปี 1996 EVO V, ในปี1998 EVO VI, ในปี 1999 EVO VII, ในปี 2001 EVO VIII, 2003 EVO IX, ในปี 2005 จนมาจบที่ EVO X ในปี 2016 และเว้นว่างๆสร้างข่าวคลุมเคลือว่าจะออกเวอร์ชั่น EVO XI แต่ก็เห็นแต่กราฟฟิกส์ และ Phototype ให้หนุ่มๆนั่งตั้งตารอรองไห้ไปตามกัน แต่แน่นอนว่า เมื่อไม่เกิดดาวดวงใหม่ แต่กลับได้ดาวเด่นของรุ่นนี้นั้นก็คือ EVO IX มาแทนที่เหตุผลก็คือ จุดสูงสุดของ 4G-63 ก่อนที่จะมาเป็น 4B11T ใน EVO X นั่นเอง

ในปัจจุบัน EVO IX บางคันนั้นมีราคาแตะ 1 ล้านไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยังสามารถหาในราคา 9.4 แสน มาถือไว้ในมือได้อยู่ แต่ถ้าหากหาสภาพเดิมๆ รับประกันว่า ต่ำกว่าล้าน ไม่มีแน่นอนครับ
ราคาหาได้ต่ำสุดตอนนี้ อยู่ราวๆ 9.4 แสนบาท เลยทีเดียว


6. Honda Civic Type R EK9 เริ่มต้นที่ ปี 1997


รถ 3 ประตูที่นานๆทีในประเทศไทยจะเห็นวิ่งเล่นบนท้องถนน ตัวเล็กเครื่องแรงโลโก้ H แดง นามว่า Civic EK9 เป็น Type R รุ่นแรกของตระกูล โดยเริ่มต้นผลิตรุ่นแรกในปี 1997 มาพร้อมกับชุด Aero Part แบบ Light Weight ภายในเป็นเบาะแดงเครื่องยนต์ฝาแดงตัวแรงในโมเดลนี้จะมีสองรุ่น คือ B16B VTEC ฝาแดงไร้ระบบอัดอากาศ ใช้ระบบเกียร์ 5 สปีด ได้เพิ่มอัตราทดใหม่ให้มี Final Drive และ RED Line สูงขึ้นพร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป เรียกแรงม้าได้สูงถึง 183 แรงม้า 8200 รอบต่อนาทีทำให้ RED Line สูงถึง 9,000 รอบต่อนาที สามารถทำ TopSpeed ได้สูงสุดถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 0-100 ภายในแค่ 6.7 วินาที ในสมัยนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว มาพร้อมกับชุดแอโร่พาร์ที่ดีไซน์ขึ้นมาใหม่ต่างจากรุ่นเดิมๆ โดยสืบสานความเป็นตระกูล Type R แบบเต็มตัวตั้งแต่รุ่นแรก ซึ่งถถ้าจะให้พูดถึงความสมบูรณ์จริงๆ ก็ต้องเป็นเบาะแดง Alcantara (ถ้าไม่ขายกินซะก่อน) และถ้าหากว่าคุณสนใจจะหารุ่นนี้จริงๆก็ต้องระวัง EK9 ที่เป็นรถใส่ของแต่งย้ายของ อาจจะทำให้เสียความรู้สึกกันไปเลย

ราคาตอนนี้ อยู่ที่ บาท จนไปถึง 990,000 จนไปถึงหลักล้านบาท ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และประวัตินำเข้า


7. Nissan Silvia S14 ปี 1996 -1998


เรียกว่าเป็นรถสปอร์ต JDM สายยุ่นที่วัยรุ่น 90’s นิยมกันเพราะมันคือตำนานที่ยังหายใจกับเครื่อง SR20DET ที่เหล่าบรรดานักซิ่งรถศูนย์ถ่วงเตี้ย ควักหัวใจเอาไปประดับเล่นใน Cefiro นอกจากหน้าตาเครื่องรุ่่นนี้จะดูโหดร้ายป่าเถื่อนแต่ก็มีแรงม้าถึง 205 Hp โดยมันถูกติดตั้งด้วยเทอร์โบ GARETT T25 แล้วตั้งบูสต์ไว้ที่ 7 psi (รถจากศูนย์หรือจากสำนักแต่ง?) เรียกว่าหน้าตาอันทันสมัย และความแรงที่ซ่อนเอาไว้ ทำให้รุ่นนี้ยังไม่ตกยุคไปง่ายๆ สุดท้ายเป็นรถขับหลังที่ได้ประกาศปิดไลน์การผลิตไปในปี 2002 ทิ้งไว้ให้รุ่นน้องอย่าง Silvia S15 ได้เฉิดฉายต่อถือว่าเป็นช่วงเวลาเฉิดฉายอันสั้นของเจ้าฉลามน้อยสายซิ่งวิ่งลุยตัวนี้นั้นเอง
ปัจจุบันราคาค่าตัวที่หาได้อยู่ราวๆ 800,000 จนไปถึง ล้านกว่าๆ แล้วแต่สภาพและความสมบูรณ์


8. Honda Civic 3d EG 1993


ตำนานที่มีค่าตัวผันผวนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต้องยกให้เขาเลย กับ Honda Civic 3d เจ้าเตี้ยแห่งวงการสาย H ถ้าจะให้เริ่มต้นพูดถึงค่าตัว ก็เอาเซียนๆปวดหัวไปตามๆกัน เพราะนอกจากจะไม่มีความตายตัวแล้ว ราคาขึ้นอยู่กับความรักความผูกพันของเจ้าของอีกด้วย (นั่นแหละราคาผันผวน) ซึ่งถ้ากล่าวเล่าขานถึงตำนานเจ้าเตี้ยศูนย์ถ่วงต่ำก็ทำให้คิดถึงฉากในหนังแต่เอามันไปมุดใต้รถสิบล้อ แบบหล่อๆจนทำให้หลายคนอยากมีโมเมนท์เทห์ๆแบบนั้น (แต่นั้นมันคือตัว 4 ประตู) ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในสมัย 1992 Honda Civic 3d EG เป็นรถที่มียอดจองสูงลิ่วในยุคนั้น ซึ่งมีค่าตัว 1.5 ลิตร 91 แรงม้า และมีเกียร์อัตโนมัติรุ่น EX
เรียกว่าสภาพที่เหลือจะมีแต่พวกแต่งหล่อเหลาเอาใจวัยรุ่นซะมากกว่า ทำให้ราคาตกไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าหากว่าใครมีคงสภาพเหมือนวันแรกที่ออกจากโชว์รูม ก็สามารถเรียกค่าตัวได้สูงลิ่วเลยทีเดียว
ปัจจุบันราคาอยู่ราวๆ 140,000 บาท จนไปถึงหลัก 450,000 บาทเลยทีเดียว


9. Nissan 180SX 1989 – 1996


สปอร์ท Roadster ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 โดยเปิดตัวออกมาเพียงแค่ 3 รุ่นเท่านั้น โดยใช้ชือว่า Type I และ Type II ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าออกมาเชือดเฉือนในตลาดรถเลี้ยว 4 ล้อ อย่าง Honda Prelude Generation 4 โดยความนิยมสุงสุดจะอยู่ในโฉมตัว Type S ที่ไม่มีตัวบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และตัว G ของโฉมที่ 3 ซึ่ง Type G จะเป็นรถที่มีระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบเข้ามาเพิ่มเติม และเป็นรถที่ใช้ระบบช่วงล่างแพทฟอร์มเดียวกันกับ Nissan Silvia และสุดท้าย Nissan 180SX ก็ปิดสวิทช์สายพานการผลิตในปี 1998 และหมดยุคของรหัส 180SX นั่นเอง
ปัจจุบันราคาสภาพเดิมนั้นก็หนักไม่ใช่เล่น เพราะด้วยความหายาก และยังเป็นรถที่ถูกนำไปดัดแปลงเพื่อใช้ในการแข่งขันต่างๆ เพราะเป็นรถที่มีศูนย์ถ่วงต่ำ จึงเป็นที่หมายตาของเหล่าบรรดานักดริฟต์ เล่นเอาซะแทบศูนย์พันธุ์เลยทีเดียว ฉะนั้นหากใครมีครอบครองไว้ รับประกันว่าราคาขึ้นตามใจเจ้าของแน่นอนครับ
ปัจจุบันราคามือสองที่ยังหาได้อยู่ราวๆ 450,000 จนไปถึง 900,000 บาทเลยทีเดียว

อ่านสาระน่ารู้รถยนต์เพิ่มเติม

กฎจราจรที่ทำผิดกันบ่อยๆ มีข้อไหนบ้าง

กฎจราจรนั้นมีไว้เพื่อให้ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันได้อย่างปลอดภัยแต่ก็ยังมีกฎจราจรอีกหลายๆคนที่มักจะทำผิดอยู่ ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยๆทั้งความเคยชินและความมักง่ายจนกลายเป็นเรื่องปกติ มาดูกันครับว่ามีข้อไหนบ้าง

1.ฝ่าไฟเหลือง

อันที่จริงไม่ใช่แค่การผ่าไฟแดงเท่านั้นที่ทำให้เกิดอันตราย แต่การผ่าไฟเหลืองนั้นก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะคนส่วนไม่น้อยที่จะพยายามเร่งความเร็วเพื่อให้ทันเวลาเมื่อไฟเขียวนับถอยหลังจนบางครั้งไม่ทันเวลาก็ทำให้ผ่าไฟเหลืองไป ตามกฎหมาย พ.ร.บ. จราจรทางบกมาตรา 22 การผ่าไฟเหลืองนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าให้ผู้ขับขี่เตรียมหยยุดหลัเส้นหยุดเพื่อเตรียมปฎิบัติตามสัญญาณที่จะปรากฎต่อไป หากฝ่าฝืนมีโษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

2. จอดรถทับเส้นบังคับ

เรามักจะเห็นอยู่บ่อยๆว่าการขับรถทับเส้นบังคับต่างๆ นั้นมีความผิดทั้งเส้นทแยงทาทงแยก เส้นทึบ โดยเฉพาะ เส้นทางข้ามหรือทางม้าลายจนทำให้เกิดอันตรายจากการขาดระเบียบเหล่านี้ จึงมีกฎหมายบรรญัติไว้ว่า กฎหมายบังคับเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกหากฝ่าฝืนอาจจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

3.เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด

เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเป็นอีกหนึ่งป้ายบังคับที่คนทั่วไปมักจะเมินทำเป็นมองไม่เห็นเพราะนอกจากจะเป็นป้ายสัญญาณที่เล็กเอามากๆ แล้ว ก็ยังเป็นความมักง่ายของผู้ฝ่าฝืนอีกด้วยเพราะโดยปกติแล้วจะไม่สนใจว่ามีป้ายบังคับหรือไม่ แต่จะพยายามผ่านไปอย่างเนียนๆ ซึ่งมักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

4. แซงเส้นทึบ

แซงเส้นทึบเป็นอีกหนึ่งข้อที่เหล่าหัวร้อนมักจะทำผิดอยู่บ่อยครั้งเพราะเนื่องจากโดยมากแล้วเส้นทึบนี้อยู่อยยู่ใน เส้นทางที่มีความคับแคบ และ ตามหัวโค้งต่างๆ จนอาจจะเป็นอันตรายเมื่อแซงแต่ก็มีการละเมิดอยู่บ่อยครั้งจนทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต ซึ่งบทลโทษความผิดของกฎจราจรข้อนี้คือ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทเลยททีเดียวครับ

การใช้รถใช้ถนนควรปฎิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพราะนอกจากจะสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองแล้ว ก็ยังสร้างความปลอดภัยให้กับผู้อื่นอีกด้วย ฉะนั้น ทุกคนควรให้ความร่วมมือในเรื่องของการปฎิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดนะครับ

อ่านสาระน่ารุ้เพิ่มเติมได้ที่

Honda e:Ny1 รถไฟฟ้า EV ทรงครอสโอเวอร์ วิ่งไกลได้ถึง 412 กม. เปิดตัวแล้วในฝั่งยุโรป

Honda e:Ny1 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน European Media Event ของ Honda ที่ประเทศเยอรมนี โดยมาคราวนี้อยู่ในคราบของง HR-V ที่เป็นไฟฟ้าแบบ 100% โดยถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 2 ในตลาดยุโรปซึ่งต่อจาก Honda e ที่ได้ว่างจำหน่ายและตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า B-SUV ที่มีความเป็นรถยนต์อเนคประสงค์

e:Ny1: The next all-electric vehicle from Honda combines comfort, performance and technology

ถึงภายนอกจะดูเหมือน HR-V แต่รายละเอียดได้ทำการปรับปรุงให้ดูแตกต่างไปจาก HR-V เล็กน้อย ด้วยกระจังหน้าที่ปิดทึบและประดับไปด้วยสัญลักษณ์ H-mark และในส่วนด้านท้ายก็ใช้คำว่า H O N D A แทน Logo H ปกติและการใช้ล้ออัลลอยที่มีการออกแบบใหม่ในขณะที่ ห้องโดยสายจะเส้นด้วยจอกลางสัมผัสนาดใหญ่ 15.1 นิ้วเป็นทั้งความบันเทิงและ ระบบ SET ค่าต่างๆ รองรับ Apple CARPLAY และ Android Auto พร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่และ Navigator

Honda e:Ny1 จะติดตั้งชุดขับเคลื่ือนที่รวมเอามอเตอร์ไฟฟ้าและเกียร์เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ได้กำลังสูงสุด 150 kW หรือ 204 อรงม้า (PS) ได้แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร พร้อมกับแหล่งเก็บพลังงาน แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน ทที่สามารถขับได้ไกลสูงสุดถึง 412 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP และได้รองงรับระบบการชา์จด่วนแบบ DC โดยใช้การชาร์จจาก 10-80% ได้ภายใน 45 นาทีเท่านั้น



ภาพจริง Toyota Tacoma 2024 กระบะตัวหนาของ Toyota ราคาหนัก

หากใครได้ติดตามข่าวของ Toyota Tacoma เมื่อราวๆ เดือนเมษายนที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการนำรถ Spy Short ที่หลายๆสำนักข่าวแอบส่องให้เห็นถึงขนาด ภายใต้สติกเกอร์พราง แต่มาคราวนี้ทางสำนักสื่อต่างประเทศแอปปล่อยภาพหน้าตาชัดๆให้แฟนๆชาวไทยได้น้ำลายไหลเล่นๆ

สำหรับภาพที่รั่วไหล แอบส่องนี้เป็นภาพที่ถูกโพสบน Instragram จากผู้ใช้รายหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า my_yota_obsession จากภาพดังกล่าวจะเห็นว่าเป็นการยืนยันแล้วว่าลักษณะไม่ได้แตกต่างจากทีเซอร์เลย และตัวอย่างที่ได้ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการของ Toyota Tacoma ก็มีบังโคลนที่มีขนาดใหญ่ การถูกปล่อยภาพหลุดครั้งนี้นั้นแสดงให้เห็นว่าจากมีรุ่นย่อยอย่าง TRD Pro หรือการตกแต่งของ Trailhunter ขัดเจนมากยิ่งงขึ้น

สำหรับคนที่ชอบติดตามข่าวรถต่างประเทศคงจะถูกใจไม่ใช่น้อย เพราะ Toyota Tacoma คือกระบะ Mid Size ที่ตลาดทางฝั่งยุโรปค่อนข้างนิยม ซึ่งไม่ต่างจาก Ford Maverick หรือ Ram Dakota นอกจากจะเป็นกระบะที่นิยมใช้ในงานเคลื่อนย้ายแล้ว ก็ยังเป็นรถลากอเนคประสงค์ตามแบบฉบับของชาวอเมริกันได้ดีเยี่ยม จึงเป็นที่นิยมนั่นเอง

กระบะ Mid Size ในต่างประเทศถือว่าเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะการเดินทางในแต่ละครั้ง จะต้องสามารถขนย้ายได้เป็นจำนวนมากเพราะเส้นทางไกลกว่าบ้านเรามากจึงจำเป็นต้องขนได้หมดภายในครั้งเดียว

อ่านข่าวรถยนต์เพิ่มเติม

สเปครถยนต์ไฟฟ้า EV ฉบับเข้าใจง่ายๆ

ปัจจุบันรถยนต์ได้เปลี่ยนเทคโนโลยีจากรถยนต์น้ำมันเครื่องสันดาปเป็นพลังงานไฟฟ้านอกจากกลไกที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังเป็นในเรื่องของค่าสเปคต่างๆ สำหรับคนที่กำลังดูรถพลังงานไฟฟ้า อาจจะต้องปรับตัวในเรื่องของสเปคต่างๆเพื่อให้เข้าใจกันง่ายขึ้น วันนี้จะมาบอกว่า แต่ละหน่วยนั้น อ่านค่ากันอย่างไรบ้างครับ

ระบบขับเคลื่อนระหว่างรถสันดาปกับ EV
เครื่องยนต์ = มอเตอร์ไฟฟ้า
ถังน้ำมัน = แบตเตอรี่

จุดสำคัญที่เราจะต้องดูในเรื่องของการเปรียบเทียบสเปคได้ 2 จุดหลักๆคือ ระยะทางในการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้งได้เท่าไหร่ และ ความเร็วและแรงบิดของตัวมอเตอร์ ก็เปรียบเหมือนกับ แรงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์โดยจะเปลี่ยนจากการสร้างแรงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ มาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรงนั่นเอง


หน่วยพลังงานรถ EV ที่ควรทำความเข้าใจ

Wh = วัตต์ เป็นหน่วยพลังงานเป็นต่อชั่วโมงใช้ในการวัดปริมาณแบตเตอรี่
kWh = กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็รหน่วยวัดประมาณแบตเตอรี่ซึ่งจะมีค่าคล้ายกับหน่วยลิตรที่ใช้วัดปริมาณเชื้อเพลิง
V คือ Volt = แรงดันไฟฟ้ายิ่งโวลต์สูงจะมีแรงดันไฟฟ้าเยอะ หากไฟฟ้ายิ่งเยอะ = ไฟฟ้าแรง

kW = กำลังไฟฟ้า หากมีค่าหน่วยตัวเลขที่สูงก็ยิ่งจ่ายไฟฟ้าหรือรับไฟฟ้าได้เยอะ

ไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kWh

ลักษณะของ หัวชาร์ต AC,DC ทั่วโลก

การชาร์จไฟฟ้า ในประเทศไทยนั้นจะมี 2 แบบ คือ AC,DC

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันจะมี 7 แบบหลักๆ คือ
– แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน (Lithium li-ion Battery)
– แบตเตอรี่แบบชนิดตะกั่วกรด (Lead Acid Battery)
– แบตเตอรี่แบบนิกเกิ้ล-เมทัลไฮโดรด์ (Nickel-metal Hydride Battery / Ni-MH)
– แบตเตอรี่นิเกิล-แคดเมียม (Nickel-Cadmiumm Battery – Ni-Cd)
– แบตเตอรี่ชนิดตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Supercapacitors)
– แบตเตอรี่ชนิดโซลิตสเตต (Solid State Battery)
– แบตเตอรี่ชนิดโซเดียม-ไอออน (Sodiumm Ion Battery / Na-Lon Battery)

หากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

เหตุผล ทำไมคนซื้อมือสองส่วนใหญ่จะกลัวรถนำเข้าแบบจด 32 (Gray Market)

รถเกรย์จะมี 2 ประเภท คือ
1.รถนำเข้า
2.รถจดประกอบ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันว่ารถจด 32 หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “Gray Market” เป็นรถนำเข้าที่ผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยนำเข้ามาทั้งคัน แต่ถ้าหากแยกชิ้นส่วนเข้ามามประกอบขายนั่นคือ “รถจดประกอบ” ซึ่งจะต้องผ่านตัวแทนจำหน่าย ขึ้นมาอย่างป็นทางการ แต่อันที่จริงแล้ว “รถเกรย์” คือรถที่ผ่านบริษัทนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย แต่บางรุ่นนั้นกลับไม่ได้จำหน่ายมาอย่างถูกกฎหมาย เพราะเงื่อนไขข้อกำหนดและข้อบังคับจากบริษัทแม่ เพราะเกรงว่าจะมีรถรุ่นนั้นขายไม่ได้ ยอดไม่ถึง หรือเกิดการค้างสต๊อก

Gray Market จะเป็นรถนำเข้าผ่านตัวแทนบริษัทอิสระซึ่งจะมีเติมเต็มในเรื่องของอ๊อพชั่นที่เป็นสเป็คต่างประเทศ ครบครันกว่า และสิ่งที่สำคัญคือสามารถใช้เวลาสั้นๆในการรอรถหลังจากวันที่ทำการสั่งจอง ซึ่งตัวแทนอิสระสามารถนำเข้ารถได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนทุนกระเป๋าหนัก ซึ่งจะพยายามหาช่องว่างตรงนี้เพื่อตัดปัญหาเรื่องการรอการส่งมอบรถนั่นเอง

ในขณะเดียวกันรถที่มีมูลค่าสูงๆบางรุ่นก็ยังสามารถใช้ช่องโหว่ในการนำเข้ารถผ่านตัวแทน เพื่อเลี่ยงในเรื่องของภาษีนำเข้าต่างๆ จึงทำให้รถที่โดยปกติแล้วจะต้องเสียตามเงื่อนไข ได้ถูกตัดเงื่อนไขการเสียภาษีบางส่วนออกไปจึงทำให้รถมีราคาถูกกว่ามาก บางรุ่นถูกกว่าเป็นหลักล้าน จึงทำให้เกิดแรงจูงใจในการนำเข้ารถเกรย์มากขึ้นนั่นเอง

คนส่วนใหญ่มักจะถามว่า รถเกรย์ที่กลายมาเป็นมือสอง นำเข้านั้นน่ากลัว…
แต่ถ้าสำหรับคนที่ดูรถไม่เป็นอาจจะถูกหลอกขายเอาได้ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด แต่ก็ต้องดูให้ดีๆนะครับ หลักการตรวจนั้นง่ายๆ เพียงแค่ดูสำเนาเล่มหน้าที่ 18 ซึ่งจะบอกรายชื่อบริษัทที่นำเข้ามาอย่างชัดเจน

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

HiPhi รถไฟฟ้า EV ภาพคันจริง ไฟฟ้า 810 กม. ชาร์จ CLTC

เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2023 ที่ผ่านมา HiPhi Y EV ปล่อยภาพอย่างเป็นทาทงการสำหรับรถยนต์ EV ไฟฟ้าใหม่ สามารถวิ่งได้กว่า 809 กม./การชาร์จ ในประเทศจีน

  • HiPhi เป็นผู้ผลิต รถยนต์ที่มีสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า HiPi ที่เป็นแบรนด์อญู่ภายใต้บริษัท Human Horizons และรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่เปิดตัวคือรุ่น HiPhi X ใหม่ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2019

HiPhi Y ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าขนาดกลางสุดหรูหราเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ Shanghai Auto Show 2023 ในวันที่ 18 เมษายน 2023

การออกแบบที่มีหน้าตาทันสมัย สไตล์ครอสโอเวอร์ ไฟหน้าเป็นแบบ LED เป็นหลัก พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบลลแยกส่วน และไฟท้ายเป็นทรงตัว Y ที่ด้านหลังยาวติดกันลงตัวเรียกว่าเป็นไอค่อนของรถไฟฟ้ายุคนี้ไปแล้วสปอยเลอร์ด้านหลังออกแบบแยกให้เป็น 2 ส่วนและเซ็นเซอร์ Lidar บนหลังคาและกล้องที่ติดตั้งบนบังโคลนหน้า กระจก และเสา B ทำให้ชุด HiPhi Y จะมาพร้อมกับชุดระบบ ADAS ที่ครอบคลุม ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว

มิติของตัวถัง HiPhi Y จะมีความยาวที่ 4938 มม. กว้าง 1958 มม. และสูงถึง 1658 มม. ระยะฐานล้อ ที่ 2950 มม.

ในส่วนของระบบและหน้าตาภายในอาจจะต้องคอยติดตามกันต่อไปซึ่งความแตกต่างและน่าสนใจของรุ่นนี้ จะอยู่ที่ประตูที่สามารถเปิดได้แบบตู้กับข้าว แต่ก็ยังมีเสา B แบ่งเป็นสัดส่วนที่ด้านตรงกลาง

ในรุ่น RWD จะเป็นมอเตอร์เดี่ยวที่จะให้กำลังถึง 331 แรงม้าส่วนรุ่น AWD จะให้กำลังสูงถึง 498 แรงม้า ให้ความจุของแบตเตอรี่ 2 ควาจุ 76.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ให้กำลังถึง 115 ลิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้ 560 – 765 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง หรือราวๆ 810 กม./ชาร์จ CLTC

HipHi Y คาดว่า จะมีราคาที่สามารถจับต้องได้ เริ่มต้นราคาที่เปิดตัวในจีน ¥ 680,000 – 800,000 ในประเทศจีน

อ่านข่าวรถยนต์ EV เพิ่มเติมได้ที่