5 วิธีเช็คสภาพรถมือสอง ดูอย่างไรไม่ให้โดนย้อมแมว (ฉบับผู้หญิงก็ดูเองได้สบายมาก)


5 วิธีเช็คสภาพรถมือสอง ดูอย่างไรไม่ให้โดนย้อมแมว (ฉบับผู้หญิงก็ดูเองได้สบายมาก)

มาดู 5 วิธีที่จะทำให้สาวๆ สามารถดูรถมือสองเบื้องต้นได้เหมือนกับมือโปร ลดโอกาสที่จะได้รถมือสองย้อมแมว โดยวันนี้น้องเปีนโน กฤษฎากู๊ดคาร์ จามาแชร์ความรู้ในการดูรถมือสองให้เพื่อนๆได้มีอาวุธลับได้ติดไม้ติดมือไว้ใช้กันค่ะ

1.เม็ดอาร์ค
ตามขอบต่างๆ ของประตู ต้องเห็นชัดและสัมผัสได้ และไม่ตื้น เพราะถ้าหากตื้นมากกว่าปกติ สีเงาเกินไปหรือเจอหยดของสีหนาๆ ก็แสดงว่า รถต้องมีการซ่อมแซมในส่วนของตัวถังด้านนั้นๆมา เพราะอาจจะเกิดจากการเฉี่ยวหรือชน จนต้องทำสีมานั่นเอง

2.ปากกาแต้มสีจากโรงงาน
การตรวจตามมาฐานของศูนย์หลายๆยี่ห้อจะมีการแต้มปากกามารค์เกอร์เฉพาะ และจะถูกขีดเส้นตรงตามข้อต่ออุปกรณ์ต่างๆภายใต้ฝากระโปรง ของอุปกรณ์หลายๆจุด แต่ถ้าหากว่าตรงเส้นมีรอยเลื่อนผิดปกติไป อาจหมายความว่า เคยถูกถอดเอามาซ่อมหรือแก้ไขมา โดยเฉพาะถ้าหากมีการขาดหรือหาย ก็หมายความว่า อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะเคยถูกเปลี่ยนมานั่นเอง

3.น๊อตต่างๆ
ตามฝากระโปรง น๊อตประตู น๊อตฝาท้าย ถ้าหากมีร่องรอยการไข การเคาะ ก็จะทิ้งร่องรอยบิ่นของสีไว้ ถ้าหากมีจุดไหนไขก็แสดงว่าเคยมีการถอดซ่อมก็เป็นได้ ให้ลองเช็คด้วยการเอานิ้วลูบถ้าหากเกิดรอยคมๆ ให้สันนิษฐานว่า เคยผ่านการเปลี่ยนชิ้นส่วนเหล่านั้นมานั่นเอง

4.ฝาท้าย
ช่องเก็บยางต้องไม่มีคราบสนิมหรือรอยผุโดยสามารถสันนิษฐานได้หลายๆประเด็นคือ ถ้ามีแสดงว่าเคยมีน้ำเข้าน้ำขัง ทั้งเกิดจากการรั่วซีลยาง และจมน้ำแช่น้ำก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากว่าพบว่าตัวถังเป็นสนิมก็ไม่ควรซื้อแล้วหละค่ะ

5.แผ่นเพลท
รถทุกคันควรจะมีแผ่นเพลทนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนกับบัตรประชาชนของรถเลย แต่ละรุ่นจะมีตำแหน่งการติดตั้งไม่เหมือนกัน ถ้าหากไม่มีสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นรถเถื่อนที่นำอะไหล่มายำรวมกัน ซึ่งไม่ควรซื้อเป็นอย่างยิ่งทที่จะซื้อ เพราะจะเกิดปัญหาเมื่อต่อทะเบียน หรือถ้าหากหาไม่เจอ ก็ลองถามพี่ๆฝ่ายขายดูก็ได้นะคะ

ปล. ที่สำคัญก่อนจะตกลงซื้อ ควรตรวจเล่มทะเบียนรถ หน้าที่18 ว่าผ่านเจ้าของเดิมมากี่คน หรือมาที่ กฤษฎากู๊ดคาร์เต้นท์รถที่มีคุณภาพและไว้วางใจได้ รถมีให้เลือกเยอะมากมายถึง 700คัน!!

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

เติมน้ำฉีดกระจกด้วยน้ำยาล้างจาน ดีหรือไม่?

เติมน้ำฉีดกระจกด้วยน้ำยาล้างจาน ดีหรือไม่?
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ขายตามท้องตลาดมากมาย ทั้งเป็นแบบผสมน้ำเปล่า แบบเม็ดละลายในน้ำเปล่า รวมไปถึงน้ำยาที่เป็นขวดเติมก็มี แต่มันจะดีต่อรถตามที่โฆษณาได้กล่าวอ้างจริงหรือไม่ หรือว่าใส่แค่ดีต่อใจเท่านั้น

ซึ่งน้ำยาที่จะใช้จะต้องเป็นน้ำยาที่ใช้กับกระจกโดยตรง ซึ่งจะไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งน้ำยาจะไปช่วยละลายคราบต่างๆ ทั้งไขมันและคราบฝุ่นที่เกาะกับกระจก รวมไปถึงคราบฝังแน่น ที่เกิดจากการทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆแล้วไม่ได้ทำความสะอาด ก็สามารถหลุดออกไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ใช้น้ำเปล่าเพียงพอหรือไม่?

อันที่จริงแล้ว การใช้น้ำเปล่าในการล้างหน้ากระจกก็เพียงพออยู่แล้ว ซึ่งคราบฝังแน่นหน้ากระจกก็จะถูกปัดด้วยยางที่ปัดน้ำอยู่แล้ว แต่ถ้าหากน้ำที่ใช้เติมในกระบอกฉีดไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการอุดตันในระบบท่อฉีด และอาจจะทำให้ซีลรั่วซึมได้

น้ำเปล่าผสมน้ำยาล้างรถ หรือ น้ำยาล้างจาน ใช้ได้จริงหรือ?
ต้องตอบก่อนว่า ใช้ได้ครับ แต่ไม่แนะนำ เพราะในส่วนของน้ำยาล้างรถหรือน้ำยาล้างจานมีส่วนผสมของ สารซักล้างเป็นตัวตั้งต้น จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาที่ตัวกระจกและตัวรถ แต่ควรผสมในปริมาณที่น้อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้มากขึ้นและไม่เป็นอันตรายสามารถใช้กับกระจกและไม่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆของรถเสียหายแต่อย่างใด

การผสมน้ำยาล้างจาน สามารถใช้ได้ แต่ แต่จะต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะถ้าหากมากเกินไป ความข้นเหนียวของน้ำยาล้างจานจะทำให้มอเตอร์ฉีดน้ำฝนทำงานหนักมากขึ้น และอาจจะเกิดฟองที่ปลายหัวฉีด ทำให้เกิดคราบต่างๆและหัวฉีดอุดตันในอนาคตได้

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการทำความสะอาดยางปัดน้ำฝน โดยสามารถใช้ผ้าสะอาดๆ เช็ดบริเวณหน้ายางเพื่อนำสิ่งสกปรกออก จะได้ทำความสะอาดหน้ากระจกได้เต็มประสิทธิภาพ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

4 รถมหาเทพ ที่ผู้ชายกรี๊ดแต่ผู้หญิงกับเฉยๆ

วันนี้จะมาพูดถึงรถที่ผู้ชายหลายๆคนเมื่อได้ยินแล้วก็ต้องชอบ และถ้ายิ่งได้เจอบนถนนหละก็ต้องกรี๊ดเหมือนกับสาวๆเจอดาราเกาหลี ยังไงอย่างนั้นเลยและปัจจุบันราคาก็ไม่เล่นๆ และยังมีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆตามกาลเวลาโดยอิงจากสภาพของตัวรถ และ เป็นรถที่สร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต วันนี้เรามาดู 4 มหาเทพ แห่งวงการรถ JDM ที่ทำเอาหนุ่มๆเสียเส้นเวลาพบเจอกันครับว่ามีรุ่นไหนบ้าง

1. Nissan Skyline GT-R (R34)

เรียกว่า Nissan Skyline GT-R ก๊อตซิล่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ถือว่าสร้างตำนานให้บรรดาเหล่า JDM พูดถึงกันมากที่สุด นับว่าเป็นรุ่นตำนานที่เคยเฉิดฉายในหนังระดับโลกหลายๆเรื่อง รวมไปถึงรหัสเครื่องยนต์ที่สร้างตำนานเล่าขานอย่าง RB26DETT Twin-turbo มีแรงม้าถึง 332 แรงม้า เลยทีเดียว ซึ่งประจำการในรุ่นเริ่มต้น แต่อันที่จริงแล้ว Nissan Skyline GT-R (R34) ได้ถูกผลิตรุ่นย่อยมาถึง 11 รุ่น โดยแต่ละรุ่นก็ยังมีจำนวนจำกัดจึงทำให้เกิดความหายากแบบมีจำกัด รวมไปถึงเป็นที่หมายปองของเหล่านักสะสม นักเลงรถ และเหล่ามหาเศรษฐีที่ชื่นชอบในความเร็วอีกด้วย

Nissan Skyline ได้ไปโผล่ในภาพยนต์ชื่อดังอย่าง Fast and the Furious ภาคที่ 2 ตอนต้นเรื่อง โดยผู้ควบอยู่หลังพวงมาลัยคือ Paul Walker จึงทำให้เป็นรถที่สร้างความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจุบัน ราคาก็ก้าวกระโดด จนบางคันสามารถตั้งราคาจากความพึงพอใจของเจ้าของได้เลย

2. Toyota Supra (MK4)

เป็นอีกหนึ่งตำนานที่เหล่านักเลงรถต้องมีไว้ในครอบครองอีกรุ่น ซึ่งไม่ใช่ว่าจะหาได้สภาพที่เอามาสะสมง่ายๆ เพราะเหล่านักเลงรถมักจะเอาไป ปู้ยี่ปู้ยำ ตามสไตล์ของแต่ละคน จนหมดค่าหมดราคา หาเดิมๆจากโรงงานน้อยมากๆ ซึ่ง Supra ที่มีราคาจะอยู่ในรูปแบบของสภาพเดิมๆโรงงาน และภาพยนต์หลายๆเรื่องก็มักจะนำเอาเจ้า Supra ไปประกอบฉากจนสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังอย่าง Fast and the Furious ที่ตำนานหนุ่มผู้โด่งดังอย่าง Paul Walker ได้บังคับอยู่หลังพวงมาลัยทำให้ราคาพุ่งสูงกว่าเดิมไปราวๆ 1 แสนดอลลาห์ในเวลาอันรวดเร็ว

Supra เปิดตัวครั้งแรกในปี 1993 ภายใตรหัสเครื่องยนต์ 2JZ- GTE พ่วงด้วยเทอร์โบ 2 ตัว มีแรงม้าถึง 326 แรงม้า และสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 156 ไมล์/ชั่วโมง 0-100 กิโลเมตร ได้ภายใน 4.9 วินาที สนนราคาที่เปิดตัวในตอนนั้น 3.75 หมื่นปอนด์ โดยตัวถังที่ใช้จะเป็นวัสดุจากอลูมีเนียมเป็นส่วนใหญ่ทำให้มีน้ำหนักที่เบาและทนแดดทนลมดูแลง่าย และเครื่องยนต์ก็ไม่จุกจิก สามารถโมดิฟลายให้มีความเร็วแตะไปถึง 1,000 แรงม้าได้ จึงกลายเป็นที่นิยมของเหล่าผู้ชื่อชอบความแรงอีก 1 รุ่นนั่นเอง

3. Mazda RX-7 RE Super G

ตำนานตัวพ่อแห่งวงการเครื่องโรตารี่ต้องยกให้พี่ Mazda แต่แรกเริ่มเดิมที่ บริษัท Mazda ก็ไม่ได้เป็นผู้คิดค้นเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเจ้าแรก ซึ่งถูกคิดค้นโดยนักประดิษฐ์วิศวะกรชาวเยอร์มัน Felix Wankel โดยได้สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการให้เครื่องยนต์มีอาการสั่นน้อยลงเพียงเท่านั้น แต่ก็เกิดปัญหามากมาย อย่างมุมแหลมของลูกสูบไปขูดผนังห้องเครื่องจนกลายเป็นรอย การสึกหรอของเครื่องยนต์ประเภทนี้เกิดขึ้นไวมากๆ จนไม่ได้กลายเป็นที่นิยมและก็ได้พับโครงการไป แต่ Mazda กลับกลายเป็นหนึ่งในเหล่าวิศวะกรรมที่ซื้อลิขสิทธิ์มาพัฒนาต่อจนได้เห็นปัญหาและแก้จนสำเร็จในที่สุด เครื่อง โรตารี่เหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่กับทาง Mazda จนได้สร้างเอกลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้

ในปี 1963 Mazda สามารถแก้ไข้ข้อบกพร่องได้ ก็ได้นำไปวางในโมเดล Mazda Cosmo ในปี 1967 และได้ต่อยอดจนมาถึงในปี 1981 ได้ถือกำเนิด RX-7 Generation 2 มีการปรับดีไซน์ให้มีน้ำหนักของตัวรถเบามากขึ้น เหลือราวๆ 995 กิโลกรัม และในปี 1989 เจอเนเรชั่น 3 ก็ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ดียิ่งขึ้นภายใต้รหัสเครื่อง 13B RE-EGI ให้กำลัง 135 แรงม้า ความจุกระบอกสูบเพียงแค่ 1.3 ลิตรเท่านั้น และได้เพิ่มเทอร์โบเข้ามาในรุ่นตัว TOP จนเป็นรถที่สร้างชื่อให้กับ Mazda เป็นอย่างมาก ทั้งความสวย และความลงตัว รวมไปถึงสมรรถนะ ที่ถูกใจสายซิ่งสายสปอร์ต และในยุคนั้น โดยเฉพาะ เครื่องโรเตอร์มีนิสัยรอบจัดและเสียงเครื่องหวานเจี๊ยบอันเป็นเอกลักษณ์ ถูกใจนักเลงสายซิ่งอยู่แล้ว และสามารถโมดิฟลายไปถึง 900 แรงม้าเลยทีเดียว แต่หลายๆสำนักก็จัดทะลุ 1,000 ไปแล้ว

4. Honda NSX (NA1)

Honda NSX เป็นรถที่มีความลับซ่อนอยู่มากมาย เรียกว่าความลับเหล่านี้กลับเป็นจุดขายของเหล่าสาวก H ทั่วโลก ซิ่งเป็นจุดขายของรุ่นนี้เลยทีเดียว N ย่อมากจาก New ส่วนตัว S ย่อมากจาก SportCar และ X นั้นหมายถึง Experimental ซึ่งเกิดมาจาก รถสปอร์ตที่เกิดมาจากการทดลอง จึงทำให้ NSX เป็นรถที่มีความลับมากมายเต็มไปหมด

สิ่งแรกคือ ตัวโครงสร้างและตัวถังเป็นอลูมีเนียมทั้งหมด ซึ่งในสมัยที่ผลิตรถยนต์การขึ้นโครงด้วยวัสดุแบบอลูมีเนียมถือว่าเป็นอะไรที่ผู้ผลิตหันหน้าหนี เพราะการขึ้นรูปตัวถังด้วยอลูมีเนียมเป็นอะไรที่ยากสุดๆ และความแข็งแรงของตัวถังก็เป็นจุดอ่อนสำหรับวัสดุประเภทนี้จะไม่มีการผุกร่อนตามกาลเวลาจึงกลายเป็นรถสปอร์ตที่ได้ฉายาว่า “เจ้าชายอมตะนิรันดร์กาล”

สิ่งที่สอง ก็คือก้านสูบไทเทเนียมที่มีความแข็งแรงเท่ากับเหล็กแต่มีน้ำหนักเบากว่ามากๆ เครื่อง C30A จึงสามารถสร้างรอบได้ถึงง 8,000 รอบต่อนาทีได้แบบสบายๆ

สิ่งที่สาม ก็คือห้องโดยสารได้ออกแบบโดยรับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินรบ ซึ่งจะมีความเตี้ยและแบน ซึ่งมีผลต่อแอโรไดนามิคส์อีกด้วย โดยจะมีความลู่ลมเหมือนกับเครื่องบินรบแล้วยังช่วยลดแรงต้านอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

สิ่งที่สี่ นักแข่งฟอมูล่าวันสังกัด McLarern อย่าง ไอร์ตัน เชนน่า ได้มีส่วนร่วมในการปรับแต่งช่วงล่างของ NSX ด้วย โดยมีการทดลองการขับและพัฒนาทำให้เชนน่าได้ดึงเอาสมรรนะของรถมาใช้จนถึงขีดสุดระหว่างทดสอบนั่นเอง และก็พบปัญหา ของบอดีอลูมีเนียมว่ายังแข็งแรงไม่พอ ทาง Honda จึงได้เพิ่มความหนาของบอดี้เป็นผลทำให้บอดีแข็งแรงเพิ่มขึ้น 50%

และสุดท้าย ความท้าทาย คู่แข่งของ Honda NSX ไม่ใช่แค่รถญี่ปุ่นด้วยกันเอง แต่กลับเป็น Ferrari 328 และพยายามตั้งเป้าให้เทียบชั้นกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงสัญชาติอิตาลี ที่มีเครื่องยนต์ขนาด V 3.2 ลิตร เรียกว่าเป็นความทะเยอทะยานของทางทีม Honda และผู้พัฒนาเป็นอย่างมากจึงได้ฉายาว่า “เฟอรารี่แห่งญี่ปุ่น” นั่นเอง

และนี่คือรถ “4 รถมหาเทพ ที่ผู้ชายกรี๊ดแต่ผู้หญิงกับเฉยๆ” ที่เอามาฝากกันครับ

อ่านสาระน่ารู้

สนิมแดงที่จานเบรก เกิดจากอะไร อันตรายต่อการขับขี่หรือไม่


สนิมแดงที่จานเบรก เกิดจากอะไร อันตรายต่อการขับขี่หรือไม่

เป็นปกติของจานเบรก ที่จะเกิดสนิมแดงที่หน้าจานเบรค และสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อช่วงหน้าฝน รวมไปถึงความชื้นในอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสนิมแดงบนผ้าเบรคได้เช่นกัน ไม่ได้เป็นการเสื่อมสภาพหรือชำรุดแต่อย่างใด


วิธีการแก้ไข
โดยวิธีการแก้ไขไม่ซับซ้อน หรือวุ่นวายแต่อย่างใด เพราะมันไม่ได้เป็นปัญหาจนทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่ เพียงแค่มันอาจจะสร้างเสียงเมื่อเบรคในขณะที่เกิดคราบสนิมอยู่ แต่เมื่อเบรคไปซักระยะมันจะหายไป พร้อมกับคราบสนิมก็จะออกไปด้วย ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเพราะสนิมแดงมีฤทธิ์การกัดกร่อนหรือทำลายหน้าจานเบรคได้น้อยมากๆ หรือแทบจะไม่มีผลต่อจานเบรคเลย เพราะจานเบรคเป็นเหล็กหนาๆ

สาระน่ารู้รถยนต์

7 จุดที่ต้องเช็คหลังกลับมาจากเที่ยวหยุดยาวนี้

เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวหลังจากที่ได้มีประกาศของรัฐบาล รวมไปถึงวันสำคัญต่างๆ ของชาติ จึงรวมกันได้เป็นวันหยุดยาวๆ ให้หลายๆคนได้พาครอบครัวไปพักผ่อน ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในประเทศไทย และเมื่อมีการใช้งานรถมาอย่างหนักก็ถึงเวลาที่จะต้องหันมาดูแลความเสือมสภาพ วันนี้จะมาบอกว่า สิ่งที่ต้องเช็คสภาพหลังจากเที่ยวมีอะไรบ้าง มาดูครับ

1.ไส้กรองอากาศเครื่องยนต์

เมื่อเที่ยวมาอย่างสมบุกสมบัน หนึ่งในในอุปกรณ์ที่ต้องเช็คคือไส้กรองอากาศเครื่องยนต์เพราะการอุดตันจากฝุ่นดินนั้นเหนียวกว่าฝุ่นใดๆ และถ้าหากเจอความชื้นด้วยหละก็ เหมือนกับเอาดินเผาไปโปะไว้ทีกรอง
ปัญหาก็คือ เมื่อเกิดการอุดตันของไส้กรองจะทำให้อากาศไหลผ่านเข้าระบบเผาไหม้ได้ยากขึ้น จึงเกิดปัญหาการเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นตามมานั่นเอง

2.สภาพรอยหน้ายาง

สภาพรอยหน้ายางนั้นสำคัญ เพราะเมื่อหากเราไปเที่ยวลุยตามเส้นทางสมบุกสมบันมากแล้ว สิ่งที่อาจจะเกิดได้คือ หน้ายางเสียหาย ขอบแก้มยางบม รวมไปถึง สิ่งแปลกปลอมอาจจะฝังเข้าไปที่เนื้อหน้ายางทำให้เกิดอันตรายในอนาคตได้


3. หน้าจานเบรค

สภาพหน้าจานเบรคเป็นอีกจุดที่จะต้องตรวจเช่นกันเพราะช่วงหน้าฝนมากจะเป็นปัญหาในเรื่องของเบรคคดอยู่บ่อยๆ เมื่อเหล็กร้อนๆ เจอกับน้ำเย็นๆ สิ่งที่จานเบรคจะเกิดก็คืออาการคดของเหล็กทำให้เกิดการสั่นระหว่างเบรคจนไปถึงพวงมาลัย ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการนำรถเข้าศูนย์ เพื่อทำการเจียรจานให้หน้าสัมผัสกลับมาเรียบเหมือนเดิมนั่นเอง


4.ลมยางอ่อน

ลมยางเป็นอีกหนึ่งจุดเล็กๆ ที่สำคัญเหมือนกับกันกับทุกๆจุดเพราะหากลมยางเกิดลดอย่างรวดเร็วก็ให้สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากรอยรั่วซึ่มต่างๆของความเสียหายจุดใดจุดหนึ่งฉะนั้น การเช็คลมยางหลังจากกลับมาจากเที่ยววันหยุดยาวนี้ก็สำคัญยเช่นกันครับ


5. ตัวถัง

ตัวถังรถเป็นสิ่งที่ต้องคอยดูเป็นอย่างมาก และจะต้องดูให้ถี่ถ้วนเพราะร่องรอยต่างๆสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ถูกเศษหินกระเด็นใส รอยเบียด หรือรอยขีดข่วนจากวัตถุต่างๆ บางครั้งอาจจะลึกไปถึงสีชั้นในหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะททำให้เกิดสนิมได้ ฉะนั้นควรทำความสะอาดรถยนต์ แล้วจึงนำสีแต้มรถมาแต้ม

6.ระยะของ น้ำมันเครื่อง และน้ำมันเกียร์

น้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ ก็ต้องเช็คระยะเพราะถ้าหากสิ่งเหล่านี้เสื่อมสภาพและยังทนใช้เดินทางไกลก็ทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพ เป็นอีกหนึ่่งปัจจัยหลักที่ทำให้เครื่องเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น หลังจากที่เดินทางไกลให้ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ให้เรียบร้อย

7. ของเหลวและรอยรั่วตามข้อต่อต่างๆ

ของเหลวต่างๆ ภายในรถยนต์ก็อย่าให้ขาดเช่นน้ำฉีดกระจก เพราะเมื่อจะเป็นจะต้องใช้ขึ้นมาอาจจะทำให้เกิดอันตรายจากการบดบังทัศนวิสัยได้ รวมไปถึงข้อต่อต่างๆภายในห้องเครื่องก็จะต้องไม่มีรอยรั่วอันเกิดจากการใช้งาน หากเกิดรอยรั่วเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้ของเหลวต่างๆของรถพร่องจนทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้

หลังจากที่เดินทางไกลแล้วไม่ตรวจเช็คก็อาจจะเจอกับ 7 สาเหตุที่ผมได้กล่าวมาและจะทำให้เกิดปัญหา อื่นๆตามมา และทำให้รถของคุณเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น ฉะนั้น การสำรวจปัญหาเหล่านี้ก่อนที่เป็นปัจจัยให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

เจาะขุมพลัง Lamborghini Revuelto รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ระบบ Plug in Hybrid คันแรกของแบรนด์

Lambroghini Revuelto ถือกำเนิดมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์แนวสปอร์ต ที่มีขุมพลังททั้งเครื่องสันดาปและ มอเตอร์ไฟฟ้าภายในถึง 3 ตัวแบบปลั๊กอินไฮบริด โดยทำงานร่วมกับชุดเกียร์แบบ กับเบิลคลัชต์ที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ ซึ่งถูกเปิดตัวในรุ่น 12 สูบนี้เป็นรุ่นแรก

การดีไซน์ที่ออกแบบโดยใช้แรงบันดาลใจจาก Lamborghini Cuuntech ปี 1971 โดยมีการวางรูปแบบโครงสร้างตามสัดส่วนที่ดีที่สุดและยังออกแบบลักษณะประตูให้มีความคล้ายเหมือนกับ Diablo และด้านหน้าออกแบบให้ลู่ลมเหมือนกับ Murcielago ผสมผสานแบบออกมาได้อย่างลงตัว จนกลายมาเป็น Lambroghini Revuelto นั่นเอง

เครื่องยนต์ ภายใต้รหัส L545 รุ่นใหม่นี้จะมีความจุ 6.5 ลิตร โดยเป็นเครื่อง 12 สูบ ที่เบาที่สุดและให้กำลังเครื่องสูงสุดเท่าที่ลัมโบรกินี เคยผลิตมา โดยมีน้ำหนักรวมเพียง 218 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่าเครื่อง

Aventador ถึง 17 ลิโลกรัม โดย Revuelto เปลี่ยนมุมการติดตั้งของเครื่องยนต์ถึง 180 องศาเมื่อเทียบกับเลย์เอาต์ของ Aventador เครื่องยนต์ Superquadro V12 ให้กำลัง 825 แรงม้า ที่ 9,250 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นผล มาจากกำลังเครื่องยนต์ที่รองรับได้สูงถึงง 9,500 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่เป็นเครื่องยนต์ 12 สูบของลัมโบรกีนี่ และยังให้แรงบิดสูงสุดถึง 725 นิตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แบ่งเป็นตำแหน่งเพลาหน้า 2 ตัว และ ขับหลังอีก 1 ตัว ซึ่งวางอยู่เหนือตำแหน่งชุดเกียร์ คลัทช์คู่ 8 สเปีด แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนพลังสูงติดตั้งในพื้นที่อุโมงเกียร์เดิม ผสานสองระบบให้กำลังสูงถึง 1015 แรงม้าสามารถเร่ง 0-100 ได้ภายใน 2.5 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กม./ชม.

ระบบขับเคลื่อนที่ถูกมาก็ยังคงเป็นการขับขี่แบบ 3 ฟังค์ชั่นเช่นเดิม Strada Sport Corsa และเฉพาะรุ่นนี้ จะมี Citta (คือระบบที่ใช้ไฟฟ้าแบบ 100%) สามารถเลือกผ่านลูกบิดสองตัวบนพวงมาลัย ถ้าหากรวมทุกโหมดสามารถตั้งค่า Dynamic ได้ถึง 13 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผู้ขับขี่

Lambroghini Revuelto มาพร้อมกับ โปรแกรมช่วยให้นักขับเข้าถึงฟังก์ชั่น การควบคุมรถได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการปรับอุณหภูมิ การนำทาง และสื่อต่างๆที่ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์สมาร์ตโฮม โดยโปรแกรม Alexa ใน Lambrogihi Revuelto ผสานฟังค์ชั่น What3Worlds ซึ่งทำงงานร่วมกับระบบนำทางที่ติดตั้งมากับตัวรถ ทำให้สามารถขับขี่ได้ทุกที่บนโลก แม้ในสถานที่นั้นจะไม่มีข้อมุลที่อยู่ที่ชัดเจนก็ตาม

ในส่วนของราคานั้นยังไม่ถูกเปิดเผย ออกมาอย่างแน่ชัด อาจจะต้องติดตามในเรื่องของราคาไปอีกซักระยะ จะมีเปิดเผยข้อมูลในเร็วๆนี้



10 รถมือสองขนาดเล็กคุ้มค่า พร้อมปัญหาของแต่ละรุ่น

ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่าบทความนี้ไม่ได้เขียนมาเพื่อจะขาย หรือ มุ่งเน้นไปในทางโฆษณาแต่อย่างใดแต่เขียนมาเพื่อแนะนำสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจละเลือกรถที่เน้นความคุ้มค่าไปใช้งาน โดนจะอ้างอิงจากกลุ่มลูกค้าของทาง กฤษฎากู๊ดคาร์ เป็นหลัก ด้วยการอ้างอิงผลการตอบรับจากการใช้งานและ สถิติหลายๆปี มารวมในบทความนี้นะครับ

10. SUZUKI Swift 2019

Suzuki Swift เป็นรถ ECO Car เครื่อง 1.2 ที่ถูกออกแบบมาให้เน้นถึงความคุ้มค่า และการใช้งาน และประหยัด และดูแลง่าย ระบบต่างๆภายในดูไม่ซับซ้อนและวุ่นวายมากนัก และยังเป็นรถที่มีการดีไซน์ภายในได้สวยงามเรียบง่าย หน้าตาของตัวรถดีไซน์ได้ตอบโจทย์ในกลุ่มของวัยรุ่นวัยทำงานทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งออกมาแรกๆ ของแต่งเสริมความสวยงามมีออกมาขายตามท้องตลาดเยอะมากๆ โดยอาจจะได้แรงบันดาลใจจากแบรนด์หรูอย่าง Mini และ รถคลาสสิกอย่าง VW ด้านฝาท้ายอาจจะดูมีพื้นที่ไม่มากนัก อาจจะไม่ค่อยถูกใจสำหรับสาวๆ ที่มักจะเอาของใช้ทุกอย่างไปรวมไว้ที่ด้านหลัง
สมรรถนะของ Suzuki ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร เครื่องยนต์กำลัง 83 แรงม้า เครื่องไม่อืดอย่างที่คิด และประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตรโดยประมาณ ช่วงล่างเน้นความหนึบ และดูแลง่าย จะมีปัญหาก็แต่เรื่อง แร็คพวงมาลัยที่หากใช้ไปนานๆ จะเกิดเสียงนิดหน่อย ก็สามารถเปลี่ยนได้ เป็นรถทที่มีปัญหาในเรื่องของอะไหล่ตามอายุไขการใช้งาน ค่าบำรุงรักษาในราคาหลักพันต้นๆ หมั่นถ่าย น้ำมันเกียร์ CVT ให้ครบตรงตามระยะการใช้งาน ก็จะไม่มีปัญหาเลยหละครับ
ราคามือหนึ่ง เริ่มต้นที่ 567,000 บาท ส่วนมือสองราคากลางอยู่ราวๆ 430,000 บาทโดยประมาณครับ

9. Toyota Yaris 2019

Toyota Yaris แบรนด์ตลาดที่ใครก็รู้จัก รวมไปถึงไม่ว่าจะอู่ไหนก็สามารถซ่อมได้อะไหล่หาได้ง่ายแม่กระทั่งเว็ปไซด์ขายของยังหาได้ ภายในออกแบบให้ดูเน้นความเรียบง่าย ตามสไตล์บองแบรนด์ อาจจะใช้วัสดุที่ไม่ถูกใจกลุ่มนิยมความลักชูเหมือน Mazda เท่าไหร่ แต่ถ้าในเรื่องของการดูแลถือว่าง่ายสุดๆ และไม่ต้องห่วงในเรื่องของความเสียหาเพราะภายในเลือกใช้เป็นพลาสติกแทบจะ 90% โดยจะมีเพียงแต่ที่หนุนแขนข้างประตูเท่านั้นที่เป็น Soft Touch ภายในแคบกว่าตัวเก่าแต่ได้ในเรื่องของเส้นสายและดีไซน์ที่สวยงามและชัดกว่าเดิม

ปัญหาที่เจอกันใน Toyota Yaris ตัวนี้คือ ความอืดอาดของเครื่องยนต์กว่ารุ่นก่อนๆ ภายในมีปัญหาในเรื่องของการเก็บเสียง และเสียงสะเทือนจากยางเข้ามาในตัวรถแต่ก็ถูกชดเชยด้วยเบาะช่วงหลังที่กว้างก็ถือว่ารับได้ ส่วนที่เก็บสัมภาระด้านหลังถูกใจสำหรับคนที่ชอบวางของเยอะ เพราะเนื้อที่ด้านหลังมีที่เก็บมากพอสมควร



8. Mitsubishi Mirage

Mitsubishi Mirage เรียกว่าเป็นรถที่ทำยอดขายได้ตั้งแต่เริ่มเปิดตลาดเพราะด้วยการเปิดตลาดในเรื่องของ ความประหยัดน้ำมันสุดๆ รูปทรงสวยและมิติรถเล็กและค่าบำรุงรักษาอะไหล่ถูก และยังได้ในเรื่องของอัตราเร่งที่ดี และจุดด่นของรุ่นนี้คือเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในกลุ่ม ถ้าหากพูดถึงการซ่อมแซมนั้นแทบจะไม่เป็นปัญหาในรุ่นนี้เพราะมีศูนย์บริการแทบจะทุกพื้นที่เลยก็ว่าได้ และอะไหล่ก็มีราคาไม่สูงมากนัก บางชิ้นอยู่ราวๆ หลักร้อย ถึงหลักพันเท่านั้น

ปัญหาข้อเสียของงรุ่นนี้ คือด้วยความเบาของตัวรถก็ทำให้การหัวเลี้ยวในแต่ละครั้งพวงมาลัยมักจะไม่ค่อยดีดกลับมา และเครื่องยนต์แบบ 3 สูบจะมีอาการสั่นในรอบเดินเบา และปัญหาของเสียงจากด้านนอกจะเป็นปัญหาหลักๆของรถคันเล็กๆ โดยเฉพาะส่วนของหลังคาที่ไม่เก็บเสียงเอาซะเลยเวลาในตกจะเหมือนอยู่ในบ้านสังกะสียังไงอย่างนั้นเลย Mirage จะมีเสียงสตาร์ทที่ดังกว่าแบรนด์อื่นๆ และปัญหาอีกเรื่องที่แก้ไม่ได้คือ แอร์ที่ไม่สู้ความร้อยของประเทศไทยถ้าหากรถติดๆในช่วงหน้าร้อนอาจจะทำให้หงุดหงิดไปได้นั่นเอง

7. Mitsubishi Attrage

Mitsubishi Attrage เป็นอีกรุ่นที่ตลาดมือหนึ่่งครึกครื้นและฮือฮา.. เป็นรถ ECO ที่มีรุปทรงเหมือนกับรถ Sedan และยังเป็นรถที่มีราคาสามารถจับต้องได้ไม่อยากมักจะอยู่ในกลุ่มตลาดของวัยเริ่มต้นทำงานและกลุ่มไวรุ่นที่มีเงินจำกัด ซึ่่งจุดขายของงรุ่นนี้ ความประหยัดบนพื้นที่ใช้สอบที่มากกว่า Mirage แต่ยังไปไม่ถึง Ciaz แต่ยังคงความประหยัดน้ำมันตามสไตล์ของเครื่อง 1.2 ลิตร แต่ความแตกต่างระหว่าง Mirage และ Attrage อัตราความสิ้นเปลืองสำหรับวิ่งในเมือง Attrage ทำได้ไม่ดีเท่า Mirage เพราะเนื่องด้วยน้ำหนักของตัวรถทำให้ในช่วงเวลาออกตัวใช้อัตราเร่งมากกว่านั่นเอง

ปัญหาและข้อเสียก็คงไม่ต่างกับทาง Mirage มากนักเพราะด้วยการวางแพลทฟอร์มในเรื่องตัวถังและวัสดุที่มีมาตั้งแต่แรกและความบางของตัวถังก็เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนๆที่ใช้บ่นตามๆกัน เพราะไม่ว่าจะยืนพิงหรือท้าวรถก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บุบได้ทั้งสิ้น ปัญหาในเรื่องเสียงของเบรคดังในช่วงอากาศเย็นๆ ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้ขาดความมั่นใจ แต่ถ้ารับได้ก็ไม่ใช่ปัญหาหละครับ


6.Toyota Vios 2014


Toyota Vios เป็นรถตลาดที่ได้รับความนิยมในเรื่องของความทนทานเป็นทุนอยู่แล้ว Toyota เป็นแบรนด์ที่ออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย และสามารถดัดแปลงเครื่องยนต์เพื่อให้สามารถใช้กับเชื้อเพลิงทางเลือก และตอบสนองถึงความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งความน่าใช้ของรุ่นนี้คือราคาที่เปิดตลาดมา เริ่มต้นที่ราวๆ 6 แสน แต่กาลเวลาผ่านไป ทำร่วงไปแล้วประมาณ 2-3 แสน ขึ้นอยู่กับสภาพและเรือนไมล์อีกด้วยเรียกว่าหากคุณเป็นคนที่ชอบรถที่เน้นไปในเรื่องของความถึกทน ใช้สอยปัญหาจุกจิกน้อยหาอะไหล่ได้ทุกซอกมุมของประเทศไทย ก็แนะนำเป็น Toyota VIOS รุ่นนี้เลย
ปัญหาหลักๆ ของรุ่นนี้ก็คือเมื่อใช้ไปประมาณ 1 แสน โลจะเจอกับอาการเครื่องสะดุดเป็นพักๆ นั้นคืออาการปั้มเชื้อเพลิงยวบ จนอาจจะไปถึงอาการสตาร์ทยากและสตาร์ทไม่ติดในที่สุด


5. Suzuki Ciaz


Suzuki Ciaz เป็นรถแบรนด์นอกกระแสที่กลุ่มตลาดสำหรับผู้ที่เริ่มจะทำงานจะมองหารถประเภทนี้ ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากประหยัดแต่ก็อยากได้รถขนาดกว้าง พอที่จะพาครอบครัวไปไหนต่อไหนได้ ก็จะมองรถรุ่นนี้เป็นอันดับต้นๆ ปละหน้าตาก็ถือว่าไม่ขี้ริ้วรี้เหล่ แถมในรุ่นต้นๆ ก็ยังให้ไฟแบบ Projector มาอีกด้วย สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับรุ่นนี้คือ ความกว้างภายในห้องโดยสาร ที่มีขนาดเทียบเท่ากับรถ City Car และความประหยัดเท่ากับ รถ ECO แต่ถ้าให้มองลึก Ciaz จะมี ความจุมากกว่ารถ Eco Car ทั่วไปถึง 50 cc. อ๊อฟชั่นในรุ่นท๊อปสุดถือว่าเยอะมากๆ ในกลุ่มตลาดเดียวกัน เพราะให้ทั้งจอ Android Auto และ Apple Carplay

ปัญหาของ Ciaz ก็เหมือนกับ รถ ECO CAR ทั่วๆไป ในเรื่องของแอร์ไม่เย็นเท่าที่ควร ออกตัวอืด เพราะต้องแบกน้ำหนักของตัวรถ พวงมาลัยเบาเกินไป ต้องคอยประคองตลอด และในช่วงของความเร็วน้ำหนักของพวงมาลัยก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยทำให้มีอาการหวิวๆ ในช่วงความเร็วสูงๆ จอ Andriod ที่ใส่มาให้เมื่อใช้ไปนานๆ ก็กดไม่ค่อยติด

4. Nissan March

Nissan March เป็นรถ ECO CAR ที่ได้รับความนิยมพอสมควรในกลุ่มตลาดวัยรุ่นและสาวๆ ที่ชอบความน่ารักและขับขี่ง่าย ดูแลง่าย แถมยังประหยัดและเป็นรถที่เหมาะกับกลุ่มของคนที่มีพื้นที่ในการจอดเข้าออกน้อย เพราะมีช่วงรถที่สั้นกว่าหลายๆรุ่น เพราะความยาวจากหน้าถึงหลัง เพียงแค่ 4.15 เมตรเท่านั้น และเป็นรถที่มีเครื่องเพียงแค่ 1.2 ลิตร 3 สูบ ตลาดในยุคนั้นถือว่ายอดฮิตสุดๆเพราะด้วยน้ำมันที่แพงนี่แหละทำให้ยอดขาย Nissan March พุ่งกระฉูด แต่ก็ขายททอดตลาดเยอะในเวลาเดียวกันอีกด้วย

ปัญหาสุดฮิตของ March คือเรื่องของแอร์ไม่เย็นเท่าที่ควร เพราะด้วยระบบสายพานแอร์ที่มักจะเกิดการหลวมบ่อยเมื่อใช้ไปราวๆ หมึ่นกิโลสามารถสังเกตได้จากเสียงเสียดสีของสายพานเมื่อสตาร์ตเครื่องเช้าๆ และอาการเครื่องกระตุก วูบ รอบตก ที่เกิดจาก ปั้มติ๊กและบางครั้งอาจจะเกิดจากลิ้นปีกผีเสื้อ ฉะนั้นต้องคอยมหั่นเช็คอุปกรณ์เหล่านี้อยู่บ่อยๆ

3. Suzuki Celerio


Suzuki Celerio เป็นรถ ECO Car ที่มีเครื่องเล็กที่สุดในตลาดอีกหนึ่งรุ่นซึ่งมีหน้าตาไม่หวือหวาถ้าหากเทียบกับยี่ห้ออื่นๆในตลาด ซึ่งความน่าสนใจของรุ่นนี้ก็คือ ราคาเมื่อช่วงมือหนึ่ง มีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 359,000 บาทเท่านั้น เรียกว่าก็สามารถไปไหนมาไหนได้เหมือนกับ ECO Car เครื่อง 1.2 ลิตร และยังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่ให้ความรู้สึกนิ่มนวลและเป็นรถ Hatch Back ที่มีเนื้อที่ในการเก็บสัมภาระได้มากพอสมควร ดีไซน์ภายในตกแต้งด้วยลวดลายที่ดูโมเดริ้น ด้วยการใช้ลวดลายจุดให้เหมาะกับรถผู้หญิงๆ อุปกรณ์ภายในจะดูไม่เยอะวุ่นวายแต่ก็จะเน้นเรื่องความจำเป็นในการใช้ซะมากกว่า

ข้อเสียของ Suzuki celerio คือ การเก็บเสียงของภายในห้องโดยสารที่ทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งเสียงจะเข้ามาจากหลายๆด้านเช่นขอบประตู ใต้ซุ้มล้อ และเมื่อเจอฝนตกหนักๆ ก็จะเกิดเสียงดังจากน้ำที่หยดลงบนหลังคาเหมือนกับหลังคาสังกะสีบ้านเก่าๆ อีกหนึ่งที่น่าเป็นปัญหาใหญ่คือ กลิ่นเหม็นไหม้จากห้องเครื่องยนต์เข้าสู่ห้องโดยสารเมื่อใช้ความเร็วสูงๆ โดยมักจะเกิดจากการไหม้ของ แค็ทเตอร์์ไลติก ที่เก็บไอเสีย ถึงจะไม่มีผลกับสภาพรถ แต่ก็มีผลต่อคนใช้งานครับ

2. Honda City 2017

Honda City เป็นรถ City Car เป็นรถที่มีสมรรถนะเกินตัวอีกหนึ่งรุ่น และเป็นรุ่นที่ยอดฮิตสุดในตลาด ในทุกๆ Generation ของ City ก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งดีไซน์ภายนอก อุปกรณ์ใช้สอยรวมไปถึงความประหยัดก็ตอบโจทย์ในกลุ่มของวัยทำงานได้ดีเยี่ยม รวมไปถึงกลุ่มตลาด วัยรุ่นที่อยากจะมีรถคันแรก Honda City ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ด้วยอัตรากำลังเครื่องยนต์รวมไปถึงฟังค์ชั่นกล้องมองหลังที่สามารถปรับได้ถึง 3 ระดับพร้อมเซนเซอร์ความปลอดภัย จึงทำให้เป็นรถที่ขับได้ง่ายๆ และที่น่าสนใจก็คือเรื่องราคาที่แข็งในตลาดรถมือสองไม่ค่อยตกทำให้คนทีเลือกรุ่นนี้มาใช้งานเรียกว่าไม่ขาดทุนเท่าไหร่นัก

ปัญหาของรุ่นนี้เรียกว่าแทบจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร นอกจากเรื่องของเสียงที่ช่วงล่างที่ค่อนข้างดังเมื่อลองได้ขับ และเมื่อใช้ไปนานๆก็จะได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆ ภายในตัวรถ เสียงคอมแอร์ทำงานดังเวลาตัดและมีอาการไฟตกอย่างเห็นได้ชัด และปัญหาที่บ่นกันในโลกโซเชี่ยลคือ ไฟหน้าปัดที่มีความสว่างเป็นอย่างมากทำให้แยงตาผู้ขับในเวลากลางคืน

1. Honda Jazz GE

Honda Jazz GE ถือว่าเป็นรถยอดฮิตในกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างมากเพราะด้วยรูปทรง และหน้าตาที่ทำออกมาถูกใจในกลุ่มวัยรุ่น และยังเป็นแบรนด์ตลาดที่มีระดับสามารถขับไปไหนมาไหนแบบไม่อายใคร และยังเป็นรถที่แต่งจัดทรงให้ออกมา ให้ดูเทห์ตามสไตล์กลุ่มตลาด City ประเทศไทย เครื่องยนต์ที่ถอดแบบมาจากฝากแดง K20A ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นที่นิยมเอาไปปรับแต่งและกระแสในการแต่งรถสำนักต่างๆก็เอาไปทำตลาดได้เมามันส์ และอ๊อพชั่นภายในรุ่นนี้ก็มีความน่าสนใจ ถึงจะเป็นรถเล็ก City Car แต่ก็ใส่อ๊อพชั่นเอาใจสาวกอย่าง Paddle Shift ในรุ่น RS จอกลางแบบ Apple Carplay และ Andriod Auto และเบาะหลังสามารถพับได้ราบเรียบสามารถขนของได้มากที่สุดในตลาดรถทรงนี้เลย

ปัญหาใน Jazz GE คือ ช่วงล่างแข็งกระด้าง และ เสียงที่เข้าภายในรถที่เป็นปัญหาในกลุ่มรถญี่ปุ่นและความบางของตัวถังและหลังคาไม่สามารถกันเสียงของน้ำฝนได้ทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาณเวลาลุยฝน และสิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องเกียร์ที่ต้องคอยเปลี่ยนระยะเพราะเมื่อหากเกียร์ Honda มีปัญหาหละก็ต้องเปลี่ยนใหม่สถานเดียว และมีราคาที่สูงมากด้วยเช่นกัน

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบกี่ประเภท

รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบกี่ประเภท ?
การเลือกรถไฟฟ้าให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวเองแล้ว ก็ยังจะต้องศึกษาถึงความสะดวกในการใช้งานด้วย ในปัจจุบันททางผู้ผลิตก็ได้ออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถชาร์จพลังงานได้อย่างหลากหลายแบบ วันนี้เรามาดูกันครับว่า ปัจจุบันรถไฟฟ้าประเภททไหนบ้าง

รถไฟฟ้าพลังงานผสม “เรียกว่ารถไฟฟ้าพลังงานผสม” จะเจอกับตัวย่อที่บอกลักษณะของระบบการเก็บไฟฟ้าและการขับเคลื่อน โดยจะมีระบบที่แตกต่างกันถึง 4 ประเภทด้วยกันคือ

1. ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid หรืออักษรย่อ (HEV, Hybrid Electric Vehicle)
เป็นยานยนต์ ไฟฟ้าลูกผสม ที่มีการใช้ระบบไฟฟ้า ควบคู่กับระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานไปพร้อมๆกันทั้งกำลังส่งของเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานที่เหลือจากการขับเคลื่อนจะกลับมาเป็นการชาร์ตกลับไปยังแหล่งเก็บพลังงานแบตเตอรี่

2.ยานยนต์แบบปลั๊กอิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle: PHEV)
หรือเรียกกันในแบบที่เข้าใจเรียกว่า รถยนต์ไฟฟ้าพลังานผสมแบบเสียบปลั๊ก เป็นรถยนต์ที่มีลักษณะการทำงานชิ้นส่วนคล้ายกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของการชาร์จพลังงาน สามารถชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกได้ทำให้สามารถสลับไปใช้งานขับ

3. รถยนต์ไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงสะอาด Fuel Cell Electric Vehicle : FCEV

หรือเรียกว่า รถไฮโดรเจน เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักแต่จะแตกต่างจากรถยนต์ประเภททไฟฟ้าตรงที่ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนในการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยไฮโดรเจนจะถูกเก็บในรูปแบบของเหลวหลังจากนั้นจะถูกส่งไปยังแผงเซลส์ร่วมกับอากาศที่มีออกซิเจน เพื่อทำปฎิกริยาในการสร้างกระแสไฟฟ้าหลังจากนั้นกระแสไฟฟ้าจะส่งไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อใช้เป็นพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าต่อไป จึงทำให้รถยนต์ประเภทนี้ต้องเติมพลังงานไฮโดนเจน แทนการชาร์จไฟจากภายนอกนั้นเอง

แม้ว่า รถยนต์ระบบไฟฟ้าที่ใช้ระบบไฮโดรเจน จะเป็นพลังงานสะอาดที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปแต่ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า

4. รถยนต์ไฟฟ้าประเภท แบตเตอรี่ (ฺBattery Electric Vehicle: BEV)
เรียกว่าเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า EV” จัดเป็นประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในจะถูกขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำให้รถยนต์ประเภทนี้มีแหล่งพลังงานแบตเตอรี่ใหญ่กว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบอื่นๆที่กล่าวมาทั้งหมด และข้อดีของรถประเภทไฟฟ้าคือ ไม่มีการปล่อยพลังงานสารพิษออกมาเลย แต่จะยุ่งยากในเรื่องของการชาร์จเพราะจะต้องใช้เวลาในการชาร์จแต่ละครั้งพอสมควร แต่ในปัจจุบันก็พยายามพัฒนาให้มีระยะเวลาการชาร์จที่เร็วขึ้น แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่ากับรถบบอื่นๆอยู่ดี

อันที่จริงแล้ว ข้อดีและข้อเสียของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

  • รถยนต์ไฟฟ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลภาวะเดียทางอากาศและไม่มีการปล่อยก๊าซไอเสีย
  • รถยนต์ไฟฟ้าจะมีความเงียบ เพราะตัดเรื่องปัญหาของเครื่องยนต์สันดาปไปก็จะไม่มีมีเสียงเวลาขับขี่ ทำให้ลดมลพิษทางเสียงไปได้มาก
  • รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ โดยมีหลากหลายรุ่น และมีหลายขนาดอีกด้วย
  • รถไฟฟ้า มีราคาค่าพลังงานที่ถูกกว่าเชื้อเพลิงน้ำมัน และยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย

ข้อเสียของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

  • รถยนต์ไฟฟ้ายังมีในส่วนของราคาสูงอยู่ เน้อจากกระบวนการผลิตจะต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาค่อนข้างสูง
  • รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาอะไหล่ที่ค่อนข้างสูง
  • การติดตั้งมระบบชาร์จไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายสูง

ระบบไฟฟ้าเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อความต้องการของตลาดที่หลากหลาย โดยจะคำนึงถึงกลุ่มผู้ใช้ที่อาจจะไม่เหมาะในเรื่องของการชาร์จหรือบางกลุ่มอาจจะมีพื้นที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์การชาร์จ ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกเราก็ควรศึกษาระบบต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจก่อนซื้อนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม


ป้ายสัญลักษณ์จราจรที่หลายๆคนมักเข้าใจผิด


ป้ายจราจรบนท้องถนนมีหลากหลายรูปแบบ ชนิดที่เรียกว่า เยอะมากๆ จนบางครั้งอาจจะจำไม่หมดเลยทีเดียว เพราะบางป้ายที่เห็นบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เราจะได้คุ้นหน้าคุ้นตา แต่เอ๊ะ เมื่อเดินทางไปต่างที่ต่างถิ่นกลับเจอป้ายที่คล้ายๆกันทำให้ไม่แน่ในว่า ใช่ความหมายและคำสั่งเดียวกันหรือไม่

1.ป้ายห้ามจอด
“ป้ายห้ามจอด” คือ ป้ายจราจรที่มีสัญลักษณ์กลม มีพื้นหลังสีน้ำเงิน และมีเส้นสีแดงขีดคาดข้างเดียว ส่วน “ป้ายห้ามเข้า” คือป้ายที่มีลักษณะวงกลม ตัวสัญลักษณ์สีขาว แต่ มีพื้นสีแดง



2. “ป้ายทางคดเคี้ยว” และ “ป้ายถนนลื่น” มองผ่านๆจะมีลักษณ์ที่คล้ายๆกันคนทั่วไปมักจะเข้าใจ ว่า 2 ป้ายนี้ความหมายคล้ายกัน อันที่จริงแล้ว ความหมายของรูปด้านซ้ายคือระวังเส้นทางข้างหน้า จะมีโค้งเยอะให้ชลอความเร็ว ส่วนด้านขวาเป็นป้ายเตือนว่าชลอความเร็วทางข้างหน้าถนนลื่น



3. ป้ายทางเบี่ยง อีกหนึ่งป้ายเตือนที่ ที่คนมักจะมองว่าเป็นป้ายสะพานหรือทางข้าม แต่อันที่จริงแล้ว หากเจอป้ายลักษณะนี้ ไม่ใช่ ข้างหน้ามีสะพาน หรือ ทางต่างระดับ แต่มันคือป้ายที่เตือนว่า ด้านหน้ามีทางเบี่ยง อันตรายควรลดความเร็ว และใช้เส้นทางอย่างระมัดระวัง

4. ป้ายเตือนรถกระโดด เป็นป้ายที่มีรูปลักษณ์หน้าตาเหมือนกับป้ายผิวทางขรุขระ แต่อันที่จริงแล้วมันคือทางกระโดด หรือ ลูกระนาด หรือเนินเตี้ยๆ ให้ผู้ขับขี่ ขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าหากมาด้วยความเร็วอาจจะทำให้เกิดการกระเด็นกระดอนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้



5.ป้ายทางลอดและป้ายทางแคบ ป้ายนี้อาจจะต้องใช้ความสังเกตมากซักหน่อยเพราะมีนจะมีความคล้ายกับป้าย ห้ามใช้ความเร็วเกินกำหนดเท่าไหร่ อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ถ้าหากขับมาด้วยความเร็วและมองด้วยหางตาจะต้องสุงเกตจากลูกศรที่อยู่ด้านบน และ ลูกศรที่อยู่ด้านข้าง ฉะนั้นเจอป้ายเหลืองๆแบบนี้ มันคือป้ายเตือนว่าห้ามรถสูงเกิน 2.5 เมตร ผ่านนั่นเอง









คนรักเกียร์ธรรมดาไม่สิ้นหวัง Toyota เตรียมพัฒนาเกียร์ธรรมดา ในรถยนต์ไฟฟ้า EV

คนรักเกียร์ธรรมดาไม่สิ้นหวัง Toyota เตรียมพัฒนาเกียร์ธรรมดา ในรถยนต์ไฟฟ้า EV

รถยนต์ EV ในปัจจุบันมีบทบาทตลาดยานยนต์ของโลกมากขึ้น ซึ่งความแตกต่างของเรื่องระบบขับเคลื่อนระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์เครื่องสันดาบจะมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง สายซิ่งระบบเกียร์ธรรมดาก็คาดว่าจะไม่มีในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน

เกียร์ธรรมดา ก็ยังมีความนิยมในกลุ่มชอบความรวดเร็วคล่องตัวทันใจตั้งแต่อดีตถึง ปัจจุบัน ก็ยังได้รับความนิยมเสมอมา และแน่นอนว่า เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเป็นรูปแบบไฟฟ้า กลไกเหล่านี้จะถูกตัดออกไปเป็นสมองกลทั้งหมด

แต่อันที่จริงแล้ว ในกลุ่มตลาด Super EV Car และ Hyper EV Car หลายๆแบรนด์ก็ได้เริ่มผลิตระบบเกียร์ธรรมดาหลอกๆ มาใส่ในรถยนต์ไฟฟ้า EV โดยทาง Toyota เองก็มีแนวคิดที่จะทำเกียร์ธรรมดาหลอกๆอ่ยาง Fake manual Transmission ที่จะนำมาใช้กับรถไฟฟ้า EVสปอร์ต ในตระกูล Gazoo Racing ภายในปี 2026 หลังจากได้มีการจดสิทธิบัตร Toyota EV Manual Trans ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา

เพื่อให้ผู้ขับได้ความรู้สึกเหมือนกับได้ขับรถเกียร์กระปุกกลับมา พร้อมกับการทำงานร่วมกับแป้นครัทช์ ที่ทำงานควบคู่กับสมองกล สามารถลากรอบเครื่องยนต์ ทำให้การสลับเกียร์ในตำแหน่งต่างๆ รวมไปถึงการใช้ระบบ Engine Brake ถอนคันเร่งและรอบเครื่องลดลง ซึ่งเป็นความรู้สึกเสมือนที่คนขับเกียร์ธรรมดามาก่อนจะเข้าใจดี

โดยเทคโนโลยีนี้จะทำงานผ่านระบบเซนเซอร์สั่งการกับคอมพิวเตอร์รถ EV ป้อนข้อมูลให้เลอืกแบบการทำงานของเกียร์ธรรมดา จากรถเครื่องยนต์สันดาป ให้ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งาน มีการเข้าเกียร์ต่ำจะรู้ได้ถึงแรงฉุดได้เหมือนกับเกียร์ธรรมดาจริงๆ