ประกาศแล้วค่าผ่านทาง มอเตอร์เวย์ “บางปะอิน-โคราช”

ประกาศแล้วค่าผ่านทาง มอเตอร์เวย์ “บางปะอิน-โคราช”

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 6 ตอนบางปะอิน-นครราชสีมา พ.ศ. 2563 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2479 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2534 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ตอนบางปะอิน-นครราชสีมา เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง

ข้อ 2 ให้เก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงในข้อ 1 ตามประเภทของยานยนตร์และตามอัตราในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้ ทั้งนี้ นับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกำหนดเป็นต้นไป

ข้อ 3 การใช้ยานยนตร์บนทางหลวง ตามข้อ 1 ถ้ายานยนต์ นั้นจะต้องผ่านสถานที่ที่จัดเก็บค่าธรรมเนียม ผู้ใช้ยานยนต์ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่ที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้นและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกบัตรไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่าผู้ใช้ยานยนตร์นั้นได้เสียค่าธรรมเนียมแล้ว หรือเสียค่าธรรมเนียมผ่านบัตรอัตโนมัติหรือโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่อธิบดีกรมทางหลวง ประกาศกำหนด

ข้อ 4 ในกรณีที่ผู้ใช้ยานยนตร์เสียค่าธรรมเนียมโดยวิธีชำระต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รักษาต้นขั้วของบัตรที่ออกให้แก่ผู้เสียค่าธรรมเนียมไว้เป็นหลักฐานในทางราชการ

ให้ไว้ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ทั้งนี้ สำหรับค่าธรรมเนียมในข่วง 5 ปีแรกนั้น หากวิ่งตลอดเส้นทางจากด่านขามทะเลสอมาถึงด่านบางปะอิน หรือจากด่านบางปะอินไปสิ้นสุดที่ด่านขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา กรณีที่เป็นรถยนต์ 4 ล้อ เสียค่าธรรมเนียมตลอดสาย 240 บาท รถยนต์เกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 6 ล้อ ค่าธรรมเนียมตลอดเส้นทาง 380 บาท รถยนต์ที่เกิน 6 ล้อขึ้นไป ค่าธรรมเนียมตลอดเส้นทาง 550 บาท

ทั้งนี้ กรมทางหลวงจะติดตั้งงานระบบ O&M ให้เสร็จใน 2 ปีครึ่ง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปลายปี 2565

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : ถือใบขับขี่ตลอดชีพเตรียมตัว กรมขนส่งทางบก Recall เรียกทดสอบความพร้อมร่างกายใหม่

LPG CNG NGV ต่างกันอย่างไร

เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่ประเทศไทยเริ่มใช้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 ด้วยต้นทุนของก๊าซที่มีราคาที่ค่อนข้างถูกและเริ่มใช้กันแพร่หลายในหมู่รถยนต์สาธารณะ และในปัจจุบันก๊าซเหล่านี้ก็ได้ถูกนำมาติดตั้งในรถบางรุ่นตั้งแต่โรงงาน เช่น Honda City CNG , TOYOTA ALtis CNG รวมไปถึงรถกระบะขนของอย่าง TATA XENON CNG เป็นต้น
วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับก๊าซทั้ง 2 แบบนี้กันครับว่าต่างกันอย่างไรและเราสามารถสังเกตุได้จาดอะไรบ้าง

ก๊าซ LPG ย่อมากจาก Liquefied Petroleum Gas ก๊าซปิโตรเลียมเหลว มีองค์ประกอบหลักคือก๊าซโพรเพน และก๊าซบิวเทน ที่ถูกอัดให้เป็นของเหลว หรือที่เรารู้จักกันว่าก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือน แต่ในปัจจุบันนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ด้วย

โดยเบื้องต้นการสังเกตระหว่างก๊าซ LPG จะเป็นถังสีดำ และในปัจจุบันมี 2 รูปทรงให้เลือกใช้โดยเป็นแบบ ทรงแค๊ปซูล และ ทรงโดนัท ที่ใส่ไว้ในหลุมยางอะไหล่ และในปัจจุบันถือว่าเป็นข้าวดีสำหรับผู้ที่ใช่รถติดแก๊สที่มีระยะเวลาครบ 10 ปี สามารถขอใบรับรองจาก วิศวกรได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถังแก๊สแล้วนะครับ

NGV ย่อมากจาก Natural Gas for Vehicle ก็คือก๊าซธรรมชาติสำหรับใช้กับรถยนต์ ซึ่งจะต้องบรรจุในถังด้วยการอัดแรงดันสูง ลักษณะของถังจะมีความหนาและน้ำหนักมาก จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า CNG ซึ่งย่อมาจาก Compressed Natural Gas ดังนั้น CNG และ NGV จึงเป็นก๊าซชนิดเดียวกัน มีองค์ประกับหลักคือ ก๊าซมีเทน

ทั้งนี้การติดตั้งพลังงานทางเลือกต่างๆควรจะต้องได้รับการติดตั้งจากบริษัทที่มีมาตราฐานเท่านั้น และหมั่นดูแลรักษาและตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญตามอายุที่ฉลากได้กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยลดปัญหาการเกิดไฟลุดหรือระเบิดตามที่เราเห็นกันในข้าวอยู่บ่อยๆนะครับ

อ่านสาระเพิ่มเติมได้ที่ : 5 อาการพังของแอร์รถยนต์ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

MAZDA MX-30 เวอร์ชั่น e SKYACTIV G จับคู่ HYBRID ประตูแบบ ตู้กับข้าว

MAZDA MX-30 เวอร์ชั่น e SKYACTIV G จับคู่ HYBRID ประตูแบบ ตู้กับข้าว


ก่อนหน้านี้ ทาง Mazda ได้เร่งผลิต รุ่น MX-30 รถพลังงานไฟฟ้า 100% ของทาง Mazda เพื่อส่งจำหน่ายในตลาดของทางยุโรป ก็เรียกเสียงฮือฮาและความต้องการของทางเอเชียไม่ใช่น้อยเป็นด้วย Crossover ที่โดดเด่นทั้งประตูแบบ FREE STYLE CAB ไฟหน้า Matrix LED Light System รวมไปถึงจอขนาด 8.8 นิ้วที่เชื่อมต่อความบันเทิงแบบครบครัน โดยจะยึดหลักการดีไซน์ในแบบฉบับ KODO อันเป็นเอกลักษณ์ของทาง Mazda

ล่าสุด ทาง Mazda ได้เปิดตัวเครื่องยนต์ HYBRID ในขุมพลังใหม่ล่าสุดอย่าง e-SKYACTIV G และมีแผนที่จะวางจำหน่ายแล้ว มาในคราวนี้ต้องบอกว่าเหมือนการยกเอาเทคโนโลยีใหม่มาจับคู่ในและยัดใส่ใน MX-30 จากเวอร์ชั่นไฟฟ้า ได้กลายมาเป็นเครื่องยนต์คู่กับระบบ HYBRID แต่ยังคงตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการและมีการระบุไว้ว่า ครั้งนี้ใช้ระหว่างเครื่องยนต์ SKYACTIV G 2.0 ลิตร กับระบบ HYBRID แต่จุดเด่นจะเป็นในเรื่องความเงียบและความประหยัดเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์


เครื่องยนต์ SKYACTIV 2.0 เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ มีพละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า ซึ่งคาดไว้ว่า ในเวอร์ชั่น HYBRID อาจจะมีพละกำลังมากว่านี้

อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : ฟื้นคืนชีพแล้ว Ford Bronco 2021 ถึงเวลาลุยตลาด SUV 4×4 ขนานแท้

ถือใบขับขี่ตลอดชีพเตรียมตัว กรมขนส่งทางบก Recall เรียกทดสอบความพร้อมร่างกายใหม่

ตามที่นาย จิรุฒม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เผยว่า จากกรณีที่มีผู้สูงอายุขับขี่รถยนต์ และมีใบอนุญาตขับขี่แบบตลอดชีพ เป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ กรมการขนส่งทางบกได้มีแนวคิดที่จะมีการเรียกผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพกลับมาทดสอบสมรรถนะในการขับขี่ใหม่อีกครั้งเนื่องจากมองว่าแม้จะได้ใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ แต่เมื่ออายุมากขึ้นแต่สภาพร่างกาย การมองเห็นและการได้ยินอาจจะไม่สมบูรณ์เหมือนเก่าซึ่งก่อนให้เกิดอุบัติเหตุได้

โดยในช่วงสัปดาห์หน้า ทางอธิบดีกรมขนส่งทางบกจะหารือร่วมกับ นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายปฏิบัติการ กรมการขนส่งทางบก ให้จัดทำโครงการเรียกผู้ขับขี่รถ และมีใบอนุญาตแบบตลอดชีพกลับมาทดสอบสมรรถนะการขับรถใหม่อีกครั้งกับขนส่งทางบก หรือเรียกว่า “recall” เพื่อให้ผู้ถือใบอนุญาตขับขี่แบบตลอดชีพ โดยยืนยันว่า หากสมรรถภาพผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพท่านไหนยังปกติดี ก็สามารถถือบัตรต่อไปได้

แต่หากผู้ถือใบอนุญาตรายใด สภาพร่างกายไม่สามารถขับรถได้แล้ว และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่บนท้องถนน ก่อให้เกิดอันตรายทั้งกับตัวเองและผู้ใช้รถคนอื่น ก็จะพิจารณาว่า จะต้องมีการยกเลิกใบอนุญาตของบุคคลนั้นหรือไม่ต่อไป ทั้งนี้ ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะกระทบสิทธิ์ของผู้ใช้รถที่ถือใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพบ้าง แต่ก็เป็นไปเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถส่วนรวม

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม : ฟื้นคืนชีพแล้ว Ford Bronco 2021 ถึงเวลาลุยตลาด SUV 4×4 ขนานแท้

.

5 อาการพังของแอร์รถยนต์ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

5 อาการพังของแอร์รถยนต์ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
เรียกว่าช่วงนี้เลี่ยงไม่ได้แล้วหละครับสำหรับประเทศไทยเพราะไม่ว่าจะฤดูอะไรหรือเดือนไหน ก็ยังร้อนได้คงเส้นคงวาตลอดท้งปี คงจะทรมานไม่ใช่น้อยถ้าหากว่าคุณเป็นคนนึงที่ต้องใช้รถทุกวันแล้วเกิดสถานการณ์แอร์ไม่เย็นรวมไปถึงเมื่อเกิดอยู่ในสภาวะรถติดก็เหมือนว่ากำลังจะซ้อมตกนรกกันกันไปพลางๆ แอร์รถยนต์จึงจำเป็นมากสำหรับผู้โดยสารฉะนั้นลองสำรวจกันดูครับว่ารถคุณตรงกับปัญหาแบบไหน เรียกว่าจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

1.ตู้แอร์ตันรวมไปถึงกรองแอร์ตันลมไม่ออก

อาการนี้จะพบเห็นได้บ่อยและมักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆสำหรับรถยนต์ใช้งานมาแล้วหลายๆปีขาดการดูแล สาเหตุหลักคือการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ปรับอากาศแบบเจล หรือรถที่ใช้งานในพื้นที่ ที่มีฝุ่นลูกรังหรือดินฟุ้งกระจายแล้วดูดเข้าไปในระบบแอร์ เพราะสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสิ่งเหล่านี้ล้วนๆจนทำให้แอร์เต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกติดแน่นที่คอล์ยรังผึ้ง พัดลม หรือแค่อาจจะตันที่กรองแอร์เท่านั้นเอง

ลักษณะของอาการ คือเมื่อคุณเปิดแอร์เบอร์สูงแต่กลับมีแต่เสียงลมอู้ตลอดเวลา หรือรู้สึกว่า ลมออกมาไม่แรงเท่าที่ควร และเมื่อเปิดนานๆจะมีน้ำเย็นๆไหลออกมาหยดซึมที่แผ่นรองเท้าภายในรถนั่นก็หมายความว่าระบบแอร์ของคุณกำลังตัน

วิธีแก้ ไม่ควรรื้อหรืองัดแงะเองถ้าหากว่าไม่มีประสบการ์และความรู้แนะนำให้ส่งร้านแอร์รถยนต์เพื่อล้างระบบแอร์จะดีกว่าครับ

2.มอเตอร์พัดลมระบายความร้อนเสีย

อันที่จริงแล้วอาการจะมีอยู่หลายแบบอย่าเพิ่งด่วนสรุปนะครับอาจจะเป็นอาการอื่น เช่น ลูกปืนมอเตอร์แตก ลักษณะของอาการคือ มีอาการเสียงดังและเมื่อแอร์ทำงานจะเกิดอาการสั่นเมื่อพัดลมหมุนทำงานพัดลมหมุนช้าลงหรือขัดๆ โดยมากแล้วจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ยากแต่ก็มักจะมองข้ามไปเพราะด้วยความที่ตัวอุปกรณ์นั้นอยู่ในพื้นที่บริเวณใต้ฝากระโปรงติดกระจังหน้า จึงไม่ค่อยมีใครสังเกตุ

วิธีแก้เบื้องต้นคือ เปลี่ยนมอเตอร์พัดลม โดยสำหรับสามารถสั่งได้ด้วยตัวเองที่ศูนย์บริการ หรือตามร้านอะไหล่ยนต์ทั่วไปโดยอ้างอิงจากรุ่นและปีรถยนต์ แต่ถ้าหากพัดลมระบายกระจังหน้ามีอาการฝืดเพราะสิ่งสกปรกอาจจะลองใช้น้ำมันหล่อลื่นหยอดที่แกนของมอเตอร์เพื่อให้ฝุ่นละลายออกไปแต่ก็ยืดอายุการใช้งานได้พอสมควร ดังนั้นถ้าหากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แนะนำให้เปลี่ยนไปเลยดีกว่าครับเพื่อที่จะได้ไม่ส่งผลต่อปัญหาอื่นๆของระบบระบายความร้อนตามมา

3.น้ำยารั่ว หรือน้ำยาขาด

ปัญหาน้ำยาขาด อาจจะเป็นปัญหาเล็กๆที่สามารถแก้ไขได้ง่ายก็แค่ให้ช่างเติมน้ำยาเข้าไปให้อยู่ในระดับ ปอนด์ที่กำหนดในรถแต่ละยี่ห้อ อาการนี้สามารถสังเกตุได้จากการทำงานของความเย็นนั้นเบาบางกว่าปกติ แต่ปัญหาอันน่ากุมขมับของช่างผู้ชำนาญทั้งหลายแหล่จริงๆแล้วคือระบบท่อแอร์รั่วซึม จนต้องไล่ระบบท่อน้ำยาเพื่อเชื่อมอุดรอยรั่วโดยช่างจะต้องหาต้นตอของรูรั่วของน้ำยาก่อน โดยอาการที่เกิดขึ้นเมื่อในระบบไม่มีน้ำยาแอร์อยู่เลยคือคอมแอร์ทำงานหนักตลอดเวลา ไม่มีความเย็น และสามารถสังเกตได้จากท่อส่งน้ำยาภายในเครื่องยนต์ไม่มีไอน้ำหรือความเย็นใดๆ

วิธีแก้เบื้องต้น อย่างง่ายคือ ปิดระบบความเย็นทั้งหมดแล้วขับรถไปให้ช่างผู้ชำนาญไล่หาจุดรั่วของระบบทำความเย็นจะเป็นการดีที่สุดครับ

4.คลัชคอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อม

คลัชหน้าคอมแอร์มีหน้าที่รับคำสั่งของเซนเซอร์แอร์ และจะสั่งให้แม่เหล็กหน้าคลัชคอมเพรสเซอร์ดูดจับลูกรอกพูเลย์เพื่อให้สามารถหมุนทำงานไปพร้อมๆกับสายพานเครื่องยนต์ เพื่อที่ฉีดอัดน้ำยาไปสู่ระบบทำความเย็น
เมื่ออุปกรณ์นี้ได้เริ่มเสื่อมสภาพตามการใช้งาน จะสังเกตได้ว่า อาการแอร์ไม่เย็นจะเกิดในช่วงที่รถติดไฟแดงในช่วง ฤดูร้อน หรือรถยนต์ที่ไม่ได้มีการเคลื่อนตัวไปไหน นั่นก็หมายความว่าเมื่อห้องเครื่องมีความร้อนจะส่งผลทำให้แม่เหล็กที่เสื่อมสภาพนั้นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร

วิธีแก้เบื้องต้น คือการปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ทิ้งไว้ซักครู่ เพื่อให้หน้าคลัชลดความร้อนลง เมื่อรถเคลื่อนตัวจึงเปิดระบบแอร์ขึ้นมาตามปกติ อันที่จริงแล้วไม่ควรปล่อยไว้ เพราะลูกลอกหน้าคลัชคอมเพรสเซอร์อาจจะไหม้และละลายจนทำให้คอมเพลสเซอร์เสียตามไปด้วย

5.คอมเพรสเซอร์เสีย

เรียกว่าเป็นปัญหาหนักที่มองเห็นเป็นลำกับสุดท้ายและเสียเงินมากมายเลยทีเดียว เพราะคอมเพรสเซอร์ มีราคาที่ค่อนข้างสูงและรถยนต์แต่ละยี่ห้อก็มีต้นทุนในเรื่องราคาอะไหล่และค่าแรงที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่ในแต่ละความยากง่ายของแต่ละยี่ห้อ หากเมื่อทราบแล้วว่าคอมเพรสเซอร์เสียไม่ควรเปิดแอร์เพราะนอกจากแอร์จะไม่เย็นแล้วยังฉุดให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้นอีกด้วย สำหรับอาการนี้ไม่มีวิธีแก้เบื้องต้นแล้วครับ ส่งให้ช่างผู้ชำนาญหรือศูนย์บริการอย่างเดียวเลยครับ

สำหรับใครที่เคยเจอเหตุการณ์เรื่องแอร์รถยนต์ที่นอกเหนือจากนี้ มาร่วมกันแชร์ประสปกาณ์ดีๆได้เลยนะครับเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆผู้ใช้รถครับ

สาระน่ารู้อื่นๆ : 5.สัญลักษณ์อันตรายบนหน้าปัดรถยนต์ มีความหมาย รู้ไว้ก่อนเดินทางไกล

5.สัญลักษณ์อันตรายบนหน้าปัดรถยนต์ มีความหมาย รู้ไว้ก่อนเดินทางไกล

5.สัญลักษณ์อันตรายบนหน้าปัดรถยนต์ มีความหมาย รู้ไว้ก่อนเดินทางไกล
รู้หรือไม่ว่า หัวใจหลักของการทำงานของรถยนต์นั้นคือ ECU ซึ่งเป็นสมองกล ที่จะควบคุมการทำงานผ่านเซนเซอร์ของระบบต่างๆมากมายภายในรถยนต์เมื่อเกิดการทำงานผิดพลาด เจ้าเซนเซอร์นี่แหละจะเป็นตัวทำหน้าที่สั่งการให้ระบบต่างๆ ทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบกพร่องน้อยที่สุด แต่ถ้าการทำงานเกิดการผิดพลาดเจ้าตัวเซนเซอร์นี่แหละจะทำหน้าที่สั่งงานไปยังหน้าปัดรถยนต์เพื่อส่งไฟสัญลักษณ์ ให้เราทราบว่า เครื่องยนต์ หรือระบบการทำงานอะไรที่กำลังมีปัญหา ฉะนั้นสิ่งที่คนใช้รถควรรู้ก็คือ สัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงว่าแต่ละแบบบ่งบอกถึงอะไรบ้างก่อนที่เครื่องยนต์ของคุณจะแน่นิ่งจนต้องกินข้าวลิงข้างทาง

1.ไฟเตือนเครื่องยนต์
ไฟเครื่องยนต์นั้นเกิดจากทำงานผิดพลาดหลายๆสาเหตุ เช่นการทำงานของหัวเทียนผิดพลาด การทำงานของหัวฉีด อัตราส่วนผสมของน้ำมัน รวมไปถึงการทำงานของระบบดักไอเสีย (แคทาไลติคคอนเวอร์เตอร์) ผิดพลาด หรือเซนเซอร์ต่างๆตรวจจับถึงความผิดพลาดในบางจุด ก็สามารถทำให้ไฟรูปเครื่องโชว์ได้ เช่นกัน

2.ไฟน้ำมันเครื่องโชว์
เรียกว่าเป็นสัญญานอันตรายของของเครื่องยนต์เกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเครื่องที่หายไป สำหรับสัญลักษณ์นี้เนื่องเป็นปัญหาของน้ำมันเครื่องที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ในระบบ หรืออาจจะมีการรั่วซึมของอ่างน้ำมันเครื่อง หรือ ซึนต่างๆของเครื่องยนต์มีการไหลซึม
ฉะนั้นเมื่อไฟน้ำมันเครื่องโชว์ขึ้นมา แนะนำให้พยายามหาที่จอดควบคู่ไปกับการดูมาตรวัดความร้อนของเครื่องยนต์ เมื่อได้ที่จอดแล้วควรดับเครื่องทันที เพื่อยังคงสภาพชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ให้สึกหรอน้อยที่สุด ขันตอนต่อไปคือการรอ 5-10 นาทีเพื่อ ให้น้ำมันเครื่องไหลลงอ่างก่อนแล้วจึงตรวจเช็คระดับน้ำมันผ่านสายวัดน้ำมันเครื่องว่ายังหลงเหลือน้ำมันอยู่ระดับไหน กรณีที่ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่หรืออยู่ในระดับต่ำ แนะนำให้ใช้ลากไปอู่ หรือศูนย์บริการ จะดีกว่า

3.สัญลักษณ์แบตเตอรี่อ่อน
กระแสไฟในแบตเตอร์รี่อ่อน ในส่วนนี้อาจจะเกิดจากอายุการใช้งานของแบ๊ตเตอรี่รถยนต์ หรือการลืมปิดไฟ หรือ จอดทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆโดยไม่มีการสตาร์ทเพื่อปั่นกระแสไฟกลับก็จะทำให้กระแสไฟหมดจนรูปไฟแบ๊ตเตอรี่โชว์ก็เป็นได้
ในส่วนของไดรชาร์ตเสื่อม หรือสาพานไดรชาร์ตหย่อนก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กระแสไฟฟ้าชาร์ตไม่เข้าได้เหมือนกัน ฉะนั้นก่อนที่จะเดินทางทุกครั้งควรหมั่นคอยสอดส่องตรวจดูว่าไฟเต็มหรือไม่

ตาแมวแบตเตอร์รี่รถยนต์ บอกสถานะด้วยสี

4.ไฟมาตรวัดความร้อน อุณหภูมิเครื่องยนต์
เป็นสัญลักษณ์สุดอันตรายที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด มันคือเครื่องหมายบางบอกว่า เครื่องยนต์มีการทำงานบกพร่อง สึกหรอ จึงเครื่องยนต์มีความร้อนสูงเกินกำหนดอาจจะทำให้ภายในเครื่องยนต์ของคุณพังเสียหายยับเยินทั้งฝาสูบโก่ง แหวนสูบฉีกรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆภายในก็เสียหายไปด้วย ด้วยอุณหภูมิที่สูงมากๆ อาจจะทำให้อุปกรณ์อื่นๆละเสียหายไปด้วย ฉะนั้นเมื่อเกิดสัญลักษณ์นี้ขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำควรหาที่จอดอย่างปลอดภัยและดับเครื่อง เพื่อที่จะให้เครื่องยนต์ เย็นลง เพื่อที่จะตรวจเล็ตหม้อน้ำ (ห้ามเติมน้ำเย็นในขณะที่เครื่องกำลังมีความร้อนสูง ควรพักให้เครื่องเย็นลงก่อน) แล้วจึงค่อยๆขับไปตรวจเช็คที่อู่หรือศูนย์บริการ

5.ไฟเบรคมือ และ ABS
ไฟเตือนสัญลักษณ์ ระบบเบรค ABS ไฟสัญลักษณ์นี้จะสว่างขึ้นเมื่อ เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และเมื่อคุณเบรคกระทันหันไฟ ABS จะกระพริบหรือสว่างขึ้นเป็นจังหวะนั่นคือการทำงานปกติของระบบ ABS มีการทำงาน และอาจจะเรียกว่าพบได้บ่อยๆ หลังจากที่มีการล้างห้องเครื่องยนต์ ในส่วนนี้อาจจะเกิดจากความชื้นของเซนเซอร์ ABS สามารถแก้ไขเบื้อต้นโดยใช้ไดร์เป่าผมเป่าที่เซนเซอร์ให้แห้ง หากทำแล้วไฟยังไม่ดับก็เป็นที่เซนเซอร์ ABS ตำแหน่งของล้อรถ ซึ่งในส่วนนี้อาจจะต้องปรึกษาช่างผู้ชำนาญแล้วหละครับ

อันที่จริงแล้ว ไฟสัญญาน หน้าปัดรถยนต์อื่นๆก็มีความหมายแตกต่างกันออกไปเพื่อเตือนให้ผู้ใช้ได้รับทราบถึงปัญหารถของคุณที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉะนั้นควรสังเหตุอยู่เป็นประจำ ศึกษาและไม่ควรมองข้าม เพื่อรถยนต์ของคุณจะได้อยู่คู่กายไปนานๆนะนะครับ ด้วยความหวังดีจากทีมงาน Kitsadagoodcar นะครับ

ข่าวสารสาระน่ารู้เพิ่มเติม : ใบขับขี่หาย หรือชำรุด ต้องทำยังไง? ไม่จำเป็นต้องแจ้งความ

ใบขับขี่หาย หรือชำรุด ต้องทำยังไง? ไม่จำเป็นต้องแจ้งความ

เนื่องจากในปัจจุบัน ทางกรมขนส่งทางบกได้มี Application DLT QR LICENCE สแกน QR Code ใบขับขี่ เพื่ออำนวยความสะดวกและไม่จำเป็นต้องพกใบขับขี่ตัวจริง แต่เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ใบอนุญาติขับขี่ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อเป็นหลักฐานในดำเนินการทางกฎหมายต่างๆ อยู่ดี ฉะนั้นเมื่อขับขี่รถยนต์ก็ขอแนะนำให้พกติดตัวไว้จะดีกว่าครับ
เมื่อ ใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากยิ่งขึ้น จนบางคนลืมใช้บัตรตัวจริงแล้วทำหายไป จะต้องดำเนินการอย่างไร

1.ในกรณีที่ใบขับขี่ “สูญหาย” โดยใบขับขี่เดิมนั้นยังไม่ถึงวันหมดอายุ สามารถไปติดต่อที่กรมขนส่งได้ทุกพื้นโดยนำหลักฐานประกอบใช้ ดังนี้


1.1 บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง หรือหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ กรณีที่เปลี่ยนชื่อ คำนำหน้า วัน เดือน ปีเกิด ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ ( ในกรณีที่แก้ไขรายละเอียดในใบขับขี่ ) เพื่อยื่นกับเจ้าหน้าที่
1.2 เอกสารบันทึกถ้อยคำ / ใบแจ้งความ ( สามารถขอเอกสารจากเจ้าหน้าที่ขนส่งได้ ) โดยไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความที่สำนักงานตำรวจหรือจะมีใบแจ้งความก็ได้ เพื่อยื่นทำใบขับขี่แทนใบเดิม
1.3 ในกรณีใบอุญาตขับรถสาธารณะ (กรณีขับรถ Taxi) บัตรประจำตัวผู้ขนส่งสาธารณะ (บัตรเหลือง) จะต้องแนบรูปถ่ายขนาด 3 นิ้ว จำนวน 3 รูป

2.ในกรณีที่ใบขับขี่ “ชำรุด” จำเป็นจะต้องใช้หลักฐานคือ

1.1 บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง หรือหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ กรณีที่เปลี่ยนชื่อ คำนำหน้า วัน เดือน ปีเกิด ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ ( ในกรณีที่แก้ไขรายละเอียดในใบขับขี่
2.2 ใบขอนุญาตขับขี่ใบเดิม หรือใบแทน พร้อมด้วยบัตรประชาชนตัวจริงเพื่อยื่นขอทำใบอนุญาตขับขี่แทนใบเดิม
2.3 ในกรณีใบอุญาตขับรถสาธารณะ (กรณีขับรถ Taxi) บัตรประจำตัวผู้ขนส่งสาธารณะ (บัตรเหลือง) จะต้องแนบรูปถ่ายขนาด 3 นิ้ว จำนวน 3 รูป

โดยทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการจัดทำต้นขั้วใบขับขี่ ถ่ายรูป และ เก็บค่าธรรมเนียม โดยมีค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี อยู่ที่ 105 บาท และใบอุนญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 2 ปี อยู่ที่ 55 บาท และทางเจ้าหน้าที่จะปิดรับชำระเงินในช่วงเวลา 15.30 น.

อ่านสาระเพิ่มเติม : 5 ข้อควรระวังสาเหตุที่ทำให้รถไฟไหม้ รู้ไว้ไม่เสียใจภายหลัง

5 ข้อควรระวังสาเหตุที่ทำให้รถไฟไหม้ รู้ไว้ไม่เสียใจภายหลัง

ช่วงนี้ ประเทศไทยเราสภาพอากาศแปรปวนอยู่เสมอ ทำให้ในบางพื้นที่นั้นมีอากาศที่ร้อนเหลือเกินรวมไปถึงแสงแดดที่รุนแรงจึงเป็นสาเหตุหลักของการเกิดเพลิงไหมรถยนต์อยู่บ่อยครั้ง หลายๆท่านคงสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า เอ๊… จอดรถเฉยๆนั้นไฟจะไหม้ได้อย่างไร ในบทความนี้ผมจะมาบอกหลายๆสาเหตุให้ทราบกันครับ

1.การรั่วซึมของระบบเชื้อเพลิ่ง ซึ่งจะเกิดและพบเจอได้บ่อยในรถเก่าๆ และมักจะพบเจอในรถที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกอย่าง แก๊ส LPG รวมไปถึงรถที่ขาดการดูแลบำรุงรักษา หรือรถที่ดัดแปลงปรับแต่งอยู่บ่อยครั้ง โดยสาเหตุหลักๆนั้นคือการรั่วไหลของเชื้อเพลิงต่างๆและสามารถกำเนิดประกายไฟได้
ฉะนั้นปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณหมั่นดูแลระบบเชื้อเพลิงและตรวจเช็ค

2.ระบบไฟฟ้าต่างๆในรถยนต์ขัดข้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สามารถเกิดได้กับรถทุกประเภทโดยเฉพาะรถที่มีการดัดแปลงสภาพเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้าของรถยนต์ หรือสายไฟของรถยนต์เสื่อมสภาพ จนทำให้เกิดการลัดวงจรและเกิดความร้อนจากสายไฟ ฉะนั้นควรหมั่นตรวจสอบระบบ สายไฟและระบบฟิวส์ตัดไฟอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยของรถคุณ

3.เครื่องยนต์ร้อนจัด (OVERHEATING Engine) ความร้อนของเครื่องยนต์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ในปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่จะหันมาให้ความสำคัญกับการเติมด้วยน้ำยา Coolant เป็นอย่างมาก เพราะประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์จึงทำให้หลายคนวางใจ แต่รู้หรือไม่ว่าถึงคุณจะเติมน้ำยา Coolant ก็สามารถพร่องได้เหมือนกัน จึงเป็นเหตุทำให้เกิดความร้อนของเครื่องยนต์ จนทำให้เกิดเพลิงไหมได้เช่นกัน ฉะนั้นควรหมั่นครวจรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอนะครับ

4.อย่านำวัตถุอันตรายที่สามารถระเบิดได้ทิ้งไว้ในรถ เช่นไฟแช๊ค Powerbank แบ๊ตเตอรี่มือถือ กล้องติดหน้ารถ รวมไปถึง กระป๋องสเปรย์ต่างๆ ไม่ควรทิ้งหรือวางไว้ในรถแม้จะใช้งานจนหมดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงหลงเหลือแก๊สไว้ภายในกระป๋องอยู่เพียงเล็กน้อยก็สามารถเกิดการขยายตัวและระเบิดจนเกิดประกายไฟได้

5.ขวดน้ำพลาสติกใสที่มีน้ำอยู่ภายใน งงกันหละสิ..? ว่าแค่ขวดน้ำนั้นจะเกิดเพลิงไหม้รถยนต์ของคุณขึ้นได้อย่างไร แท้จริงแล้ว มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครับ หลักการเดี่ยวกันกับแว่นขยายคือเมื่อแสงแดดกระทบที่ขวดน้ำจึงทำให้เกิดการรวมแสงในจุดใดจุดหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เกิดเพลิงไหมในที่สุดโดยเฉพาะแดดประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะครับที่จะเกิดเพลิงไหม้ได้

และนี่ก็เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆที่ทำให้รถคุณปลอดภัยจากอันตรายของการเกิดเพลิงไหม้โดยไม่รู้ตัว สำหรับใครที่มีข้อควรระวังอื่นๆก็สามารถคอมเมนต์แนะนำกันได้นะครับ

อ่านข่าวสาระรถเพิ่มเติม: ควรรู้ อุปกรณ์ภายในรถที่มีอายุการใช้งานหากไม่เปลี่ยนเครื่องพังชัวร์

ฟื้นคืนชีพแล้ว Ford Bronco 2021 ถึงเวลาลุยตลาด SUV 4×4 ขนานแท้

สำหรับคนที่ตั้งตารามาอย่างยาวนาน วันนี้ถึงเวลาขุดโปรเจกต์กลับมาฟื้นคืนชีพซักทีครับ กับรถสายลุยตำนานที่เป็นโปรเจกต์สุดค้างคามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 1995 จนมาถึงปัจจุบัน 2021 เป็นเว้นห่างมาเป็นระยะเวลา 26 ปี มาวันนี้โปรเจกต์ตัวนี้ได้ออกมาเป็นรูปร่างตอบโจทย์สายลุยทั้งการออกแบบและอุปกรณ์ที่อยู่ภายในที่น่าสนใจเป็นมาก โดนใจลูกค้าในกลุ่ม Off Road สายลุยที่ไม่เน้นความสบายแต่หนักไปในเรื่องของความสะดวกซะมากกว่า ซึงบอกเลยว่า Option เพียบแน่นอนครับ

โดยหลักๆแล้ว จะมีเครื่องยนต์ 2 รูปแบบทั้งตัว 2 ประตูและ 4 ประตู คือ V6 2.7 ลิตร และ และ 2.3 ลิตร
ซึ่งในตัว 2 ประตูจะใส่เป็นเครื่องยนต์แบบ V6 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 270 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 7 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด ขับเคลื่อน 4×4 สนราคา 29,995 เหรียญ หรือตีเป็นเงินไทย ราวๆ 959,840 บาท ยังไม่รวมภาษีเข้าไทย

และในรุ่น 4 ประตู จะใช้เป็นเครื่องยนต์ V6 2.7 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 310 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 542 นิวตันเมตร มาพร้อมกับเกียร์ อัตโนมัติ 10 สปีด ขับเคลื่อนแบบ 4×4 สนนราคา เปิดตัวที่ 34,695 บาท 1,075,545 บาท ยังไม่รวมภาษีเข้าไทย

Ford Bronco ในรุ่นนี้ได้ถูกสร้างบนพื้นฐาน T6 เหมือนกับ Ford โดยทางตัวบอดี้ได้สร้างบนพื้นฐาน Body-on-frame ที่ในอดีตนิยมใช้สร้างเป็นกระบะอ๊อฟโรด

ช่วงล่างแบบ เป็นรถ ที่มีระยะความสูงจากพื้น 294 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นรถที่ถือว่าสูงที่สุดของรถในกลุ่มเดียวกัน โดยทาง Ford ได้เคลมว่าสามารถลงน้ำได้ลึกสุดถึง 851 มิลลิเมตร

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม : ข่าวลือ Honda Civic Type R จะมีรุ่น AWD แรงที่สุดในรุ่น (SPY Photo)

ควรรู้ อุปกรณ์ภายในรถที่มีอายุการใช้งานหากไม่เปลี่ยนเครื่องพังชัวร์

ควรรู้ อุปกรณ์ภายในรถที่มีอายุการใช้งานหากไม่เปลี่ยนเครื่องพังชัวร์

1.หัวฉีด หัวฉีดเครื่องยนต์ที่มาจากโรงงานจะมีอายุการใช้งานประมาณ 70,000 – 100,000 กิโลเมตร ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่มีวินัยในการดูแลรักษาเปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะทำให้อายุการใช้งานนั้นยาวนานมากยิ่งขึ้น

ข้อสังเกต เมื่อเริ่มมีอาการของหัวฉีดเสียหรือตัน คือ เครื่องยนต์จะมีอาการสะดุดเครื่องสั่นเร่งไม่ขึ้นเนื่องจาก อัตราส่วนผสมระหว่างน้ำมันและอากาศไม่ลงตัวทำให้เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ หรือที่แย่ไปกว่านั้น ถ้ามีอาการเครื่องสะดุดรอบเครื่องยนต์ตกอาจสังเกตุได้จากเสียงเครื่องยนต์ที่เดินหอบ ก็ให้สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะหัวฉีดเสียหรือตันนั่นเองครับ

2.หัวเทียน ในส่วนของหัวเทียนโดยทั่วไปแล้วจีมีอายุการใช้งานราวๆ 80,000 – 100,000 กิโลเมตร ตามลักษณะการดูแลรักษา ถ้าหากว่าคุณใช้เชื้อเพลิงทางเลือกหรือติดแก๊สมาก็อาจจะทำให้อายุของหัวเทียนสั้นลงไปอีก วิธีแก้เบื้องต้นสำหรับผู้ที่พอจะมีความรู้ทางด้านเครื่องยนต์

ข้อสังเกต ในกรณีที่หัวเทียนที่เริ่มเสื่อมนั้นอาการเครื่องยนต์จะคล้ายกับหัวฉีดมีปัญหาจะเริ่มมีอาการรอบตก เครื่องยนต์มีอาการสั่นเพราะการทำงานการจุดระเบิดไหม้นั้นไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์จึงทำให้เกิดแรงฉุดมากกว่าที่จะเป็นการส่งกำลังจึงทำให้เครื่องยนต์นั้นเสียระบบความสมดุลไป หากคุณไม่เปลี่ยนหรือซ่อมแซม เครื่องยนต์ก็จะทำงานหนักมากเมื่อกระบอกสูบไม่มีการจุดระเบิดแต่ยังมีแรงเหวี่ยงของกระบอกสูบอื่นจะทำให้ลูกสูบเสียสีมากยิ่งขึ้นจนเกิดความร้อนสูง จึงทำให้แหวนสูบและฝาสูบโก่งได้

3.น้ำมันเครื่อง สำหรับเรื่องของน้ำมันเครื่องคนใช้รถส่วนใหญ่จะรู้ดีอยู่แล้วว่ามีระยะการใช้งานควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อไหร่ เรียกว่าเป็นพื้นฐานสำหรับคนใช้รถเลยก็ว่าได้แต่ถ้าคุณละเลยที่จะเปลี่ยนเมื่อน้ำมันเครื่องถึงระยะอันควรแล้ว อาจจะทำให้เครื่องยนต์ของคุณเสียดสีจนเกิดความสึกหรอ รวมไปถึงความร้อนจะนอาจจะทำให้อุปกรณ์ภายในนั้นเสียหายอย่างหนักหน่วง ในส่วนของน้ำมันเครื่องที่เราใช้กันอยู่นั้น จะถูกจำแนกออกเป็น 3 ประเภท

3.1 น้ำมันเครื่องธรรมดา (MineralOil) เป็นน้ำมันที่ได้จกการกลั่นน้ำมันดิบหรือน้ำมันที่ได้จากธรรมดาชาติ 100% สามารถใช้ได้ประมาณ 5000-7000 กิโลเมตรเท่านั้น

3.2 น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) เป็นการใช้น้ำมันเครื่องธรรมดาผสมกับน้ำมันสังเคราะห์แท้ เพื่อให้ได้คุณสมบัติของน้ำมันที่ดีกว่าน้ำมันธรรมดาทั่วๆไปซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันสังเคราะห์แท้ แต่ถูกกว่าน้ำมันสังเคราะห์ อัตราส่วนผสมจะแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อโดยจะสามารถใช้ได้ในระยะตั้งแต่ 7000 – 10000 กิโลเมตร เท่านั้น

3.3 น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Full Synthetic) เป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี โดยผ่านการคิดค้นและวิจัย ผ่านขึ้นตอนและกระบวนการกลั่นจนได้ความบริสุทธิ์และมีคุณภาพสูงในการปกป้องและหล่อลื่นเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้ในระยะ 10,000 – 15,000 กิโลเมตร

4.สายพานไทม์มิ่ง เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์หลักที่ควรหมั่นตรวจสอบและตรวจเช็คการทำงานอยู่เป็นประจำ เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาไม่สูงมาก และระยะที่ควรเปลี่ยนสายพานนั้นอยู่ประมาณ 80,000 ถึง 100,000 กิโลเมตร
สายพาน ในกรณีสายพานไทม์มิ่งเกิดชำรุดเสียหายอาจฟาดไปโดนหม้อน้ำหรืออุปกรณ์ภายในเสียหายได้


ในกรณีที่สายพานเกิดมีเสียงดัง “เอี๊ยดอ๊าด” สาเหุตเกิดจาก เมื่อใช้รถยนต์เป็นระยะเวลานาน อุณหภูมิในห้องเครื่องจะทำให้สาย วิธีแก้ไขเบื้องต้น โดยการใช้จารบีป้ายที่สายพานเพื่อลดการเสียดสีของ รอกพูเลย์ แต่ควรให้ช่างผู้ชำนาญ ตั้งความหย่อนตึงของสายพาน

อ่านสารถเพิ่มเติม : รู้หรือไม่บทลงโทษผู้ที่เจตนาขัดขวางรถพยาบาล หากผู้ป่วยเสียชีวิตมีโทษหนัก