รถตู้ก็เทห์ได้ Nissan NV 350 Caravan สเปคพิเศษ Premium GX Black Gear

นิสสันมอเตอร์ (ญี่ปุ่น) ได้เปิดตัว รถ MPV ตัวพิเศษ Nissan NV Premium GX Black Gear พรีเมี่ยมหน้าตาดุดันเป็นรถสเปคพิเศษของ NV350 Caravan เปิดตัวราคาค่าตัวที่ 3,192,200 เยนถึง 4,111,800 หรือราวๆ 931,793 – 1,200,221 บาทไทยยังไม่รวมภาษีนำเข้า

คนทั่วๆไปอาจจะชินตากับรถตู้ขนาดเล็กที่เน้นในเรื่องของการขนของสัมภาระหน้าตาเชยๆ แต่มาคราวนี้ Nissan Caravan เปิดรุ่นพิเศษออกมาให้มีหน้าตาดูมีความไม่ใช่แค่เป็นรถบรรทุกขนาดเล็กแต่มีความสวยงามเทห์และดุดันเอาใจผู้ที่ชอบเดินทางเป็นงานอดิเรก และยังมีช่องเก็บสัมภาระยาว 3050 มม.

NV350 Caravan Premium GX BLACK GEAR เป็นรถสเปคพิเศษที่เน้นคุณสมบัติเหมือนกับรถตู้ทั่วไป แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูทันสมัยและไม่จืดชืดเหมือนเดิมภายนอกสีเทาเข้มและตกแต่งด้วยเส้นขอบสีดำยาวสลับกับแถบสีส้มดูมิติมากยิ่งขึ้นที่ประตูหลังและกระจกมองข้าง ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ทติดด้วยสติ๊กเกอร์ BlackGear ที่ข้างประตู

ภายในเน้นการตัดเส้นสายด้วยสีส้มอย่างลงตัว และสลับกับวัสดุ Piano Black ที่ก้านพวงมาลัยและกรอบแอร์เพิ่มมิติของความสปอร์ทได้อย่างสวยงาม โดยตัวพิเศษนี้ จะมี 3 สี ให้เลือกอย่าง Stealth Grey, Brilliant White Pearl และ Phantom Black

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดปลอดภัยขั้นสูงอย่าง Intelligent around view monitor (ฟังค์ชั่นจับวัตถุเคลื่อนที่) และ ถุงลมนิรภัย SRS (ที่นั่งผู้โดยสาร) และเข็มขัดนิรภัยแบบดึง เป็นอุปกรณ์มาตราฐานเพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม:

วิธีดูก่อนเลือกซื้อรถมือสอง อยากได้รถสภาพดีควรตรวจอะไรบ้าง

สิ่งที่ควรตรวจก่อนซื้อรถมือสอง หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันดี หากต้องการให้รถมือสองของคุณที่เพิ่งออกมาจากเต็นท์ สมบูรณ์ที่สุดก่อนจะนำไปใช้งาน
โดยมากแล้วเต็นท์รถมือสองขนาดใหญ่ก็จะมีบริการตรวจสภาพและเปลี่ยนถ่ายต่างๆก่อนที่ลูกค้าได้ออกรถไปแล้วจึงทำให้รถในเต็นท์ใหญ่ๆนั้นมีราคาสูงกว่าตลาดเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนนึงที่ต้องการประหยัดเม็ดเงินจึงเลือกซื้อรถมือสองในกลุ่มตลาดเล็กๆซึ่งไม่มีการดูแลหลังการขาย ฉะนั้นจึงมีคำถามว่า “แล้วเราควรจะเริ่มต้นจากการดูส่วนไหนก่อนดีหละ?” วันนี้แอดมินจะมาแนะนำครับว่าการจะซื้อรถมือสองให้ดีซักหนึ่งคันควรเริ่มดูจากอะไรก่อน

1.ศึกษาที่ตัวรถก่อนเลือกซื้อ

เริ่มต้นจากการหาเพลทของรถยนต์ก่อนเลย โดยมาเพลทรถยนต์จะอยู่ในโซนของกระโปรงหน้าฉะนั้นถ้าหากรถคันไหนไม่มีเพลทของรถให้สันนิษฐานว่า เคยเฉี่ยวชนไว้ก่อนเลยครับเพราะเพลทของรถนั้นไม่หลุดหายกันง่ายๆ หรือถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆจะเป็นสติ๊กเกอร์จะอยู่ที่ข้างประตู เพลทของรถยนต์นั้นปรียบเสมือนกับบัตรประชาชนของคนนั้นแหละครับถ้าหากว่ารถคันนั้นไม่มีเพลทก็เท่ากับว่าเป็นรถเถื่อนราคาตกนั่นแหละครับ

2.ดูสภาพของของเหลวต่างๆ


ว่าทางเต็นท์ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้หรือไม่ แนะนำว่าระยะตัวเลขของป้ายน้ำมันเครื่องจะต้องเปลี่ยนถ่ายให้ใกล้เคียงกับเลขไมล์รถมากที่สุดก็บ่งบอกว่าทางเต็นท์พึ่งจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้ แต่ถ้าหากว่าระยะของเลขไมล์นั้นห่างจากตัวเลขในป้ายน้ำมันเครื่องถึงจะยังไม่ถึงระยะเปลี่ยนก็แนะนำให้เปลี่ยนใหม่เลยจะดีกว่าครับ หรือจะสังเกตุจากสีน้ำมันเครื่องจากสายวัดถ้าหากเป็นสีเหลืองใสๆ ก็เท่ากับว่าทางเต็นท์เปลี่ยนมาให้ แต่ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มเพราะถึงแม้น้ำมันเครื่องยังไม่ถึงอายุแต่รถทีคุณซื้อมาอาจจะถูกจอดในเต็นท์มาเป็นระยะเวลานานๆทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได

3.ตรวจสภาพความเรียบร้อยภายในห้องเครื่อง

อุปกรณ์ต่างๆภายในห้องเครื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาวหากคุณไม่ตรวจภายภาคหน้าอาจจะเป็นปัญหาไม่รู้จบตามมา ฉะนั้นเริ่มจากการตรวจสอบสภาพของสายพานก่อนเลยครับ ว่ามีการยุ่ยหรือฉีกขาดหรือไม่ กรองน้ำมันเครื่องก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ ตรวจดูว่ามีสนิมที่กระปุกหรือมีการรั่วซึมที่เกลียวกระปุกหรือไม่ถ้าหากมีก็เปลี่ยนเลยครับ สังเกตุอาการของเครื่องว่ามีการเดินสะดุดหรือไม่ ถ้าหากมีอาการรอบตกหรือเครื่องสะดุด ให้เช็คระบบหัวเทียนหรือหัวฉีดเพราะระบบการเผาไหมไม่เต็มระบบก็จะทำให้เครื่องยนต์เสียกำลัง โดยปกติแล้วหัวฉีดหรือหัวเทียนจะมีระยะการใช้งานที่ 80,000 ถึง 100,000 กิโลเมตรครับ

4.ตรวจสภาพของช่วงล่าง

เป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือช่วงล่างของรถเพราะเป็นปัญหาที่ไม่รู้จบและมีราคาแพงสุดๆ อีกหนึ่งส่วนเลยก็ว่าได้ โดยพื้นฐาน

  • สังเกตุว่าช่วงล่างนั้นเป็นสนิมหรือไม่ถ้ามีก็แนะนำว่าให้นำรถเข้าพ่นกันสนิมเพื่อความสมบูรณ์ในระยะยาว แต่ถ้าหากมีสนิมกินถึงตัวถังด้านในสันนิษฐานเลยครับว่ารถน่าจะเคยแช่น้ำท่วมมาก่อน
  • สังเกตุว่าช่วงล่างของรถมีสภาพดีหรือไม่ก็จะต้องลองขับดูครับว่าเมื่อขับแล้วมีอาการร่อนของช่วงล่างมีอาการสั่นที่พวงมาลัยอันเกิดจากการไม่ได้ศูนย์ถ่วงของล้อหรือไม่
  • สังเกตุความสมบูรณ์ของดอกยางสังเกตุจากปียางเป็นอันดับแรก โดยสามารถดูได้จากขอบแก้มของยางจะมีตัวเลขบอก เช่น 4418 นั่นก็หมายความว่า สัปดาห์ที่ 44 ของ ปี 2018 นั่นเอง

5.ตรวจสภาพภายนอกรถ

การตรวจสภาพภายนอกรถหลายๆคนอาจจะมองว่ายากมากๆสำหรับการจับผิดของตัวรถ แต่ถ้าหากรู้หลักแล้วก็ไม่ยากอย่างที่คิดเริ่มต้นจากการนำรถเข้าร้านอัดฉีดแรงดันสูง ซึ่งในส่วนนี้จะบอกได้เป็นอย่างดีว่าซีนยางต่างๆของรถที่คุณจะซื้อมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าหากมีน้ำซึมหรือเข้าภายในห้องโดยสารก็ไม่ควรซื้อนะครับเพราะเป็นปัญหาที่แก้ไม่รู้จบแน่นอน ไฟหน้าและไฟท้ายก็มีความสำคัญเช่นกันถ้าหากไม่ติดก็แนะนำให้ทางเต็นท์เปลี่ยนใหม่ให้

6.ตรวจสภาพภายในห้องโดยสาร

ภายในห้องโดยสารก็เป็นอีกส่วนที่ต้องดูอย่างละเอียด ก่อนอื่นจะต้องเริ่มจากระบบไฟฟ้าภายในรถ แอร์เย็น วิทยุดังหรือไม่ รวมไปถึงกระจกไฟฟ้ายังใช้งานได้หรือไม่ กระจกข้างไฟฟ้าหละยังพร้อมใช้งานหรือเปล่า ถ้าหากส่วนไหนใช้งานไม่ได้ก็ต้องแจ้งทางเต็นท์นะครับเพราะเขามีหน้าที่เปลี่ยนหรือซ่อมอยู่แล้ว ระบบเกียร์ออโต้มีเสียงดังหรือมีการกระชากของการเปลี่ยนเกียร์หรือไม่เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาลูกนึงไม่ใช้ถูกๆนะครับ ฉะนั้นควรตรวจสอบสภาพการใช้งานให้ถี่ถ้วน

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม:

Subaru BRZ 2020 มาไวกว่าที่คิด เครื่อง Boxer 2.4 ลิตร 228 แรงม้า

ช่วงนี้กระแสรถพลังงานไฟฟ้ากำลังมาแรงแต่ก็ทำอะไรให้ค่ายสุดอินดี้อย่าง Subaru ไม่ได้ และมุ่งพัฒนาเครื่องยนต์ Boxer กันต่อไปและในที่สุดก็ได้เผย Subaru BRZ Generation 2 ออกมาแล้ว เรียกว่ามาคราวนี้เครื่อง Boxer จะไม่อืดอาดอีกต่อไป เครื่องยนต์ขนาด 2.4 แบบ Flat-Four Engine เรดไลน์ 7,000 รอบต่อนาที ด้วยพละกำลังที่ให้มา 228 แรงม้าแบบ N/A ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 184 นิวตันเมตร มากกว่าเดิมถึง 15%

Subaru เผยโฉม BRZ 2022

โครงสร้างเครื่องยนต์ บล๊อคใหม่ใน Subaru BRZ นี้ทำให้โครงสร้างช่วงกลางรถต่ำกว่าเดิม มีศูนย์ถ่วงที่ดีมากยิ่งขึ้น และพัฒนาในเรื่องของใหม่ด้วยทำงานควบคู่ของเกียร์ MT 6 สปีด ร่วมกับ Shifter แบบ Short-throw transmission 6 Speed Automatic ทำงานการทำงานของเกียร์นั้นมีการตอบสนองรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

แต่มาคราวนี้ Subzru BRZ มีน้ำหนักมากกว่าเดิมเล็กน้อย ที่ 1315 กิโลกรัม หรือหนักกว่าตัวเก่า แค่ 57 กิโลกรัม จึงเลือกใช้วัสดุในการทำตัวถังเป็นอะลูมีเนียมเป็นส่วนประกอบหลักของรุ่นนี้ และก็ได้ปรับปรุงในเรื่องของ แชสซี ด้วยการอัพเกรดระบบ Mounting System ทำให้ลดการบิดตัวของแชสซีมากขึ้น 50 %

ภายในห้องโดยสารของ BRZ 2022 เปลี่ยนการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด โดยออกแบบให้มีความโมเดิร์นขึ้น วางตำแหน่งไมล์วัดแบบจอดิจิทัล LCD ให้มีองศาการมองจอขนาด 7 นิ้ว ภายใต้หลังพวงมาลัย เพื่อให้คนขับโฟกัสได้ดียิ่งขึ้นภายในหน้าจอจะแสดงผลของ ไมล์วัดค่าต่างๆ เช่น digital speedmeter, apms, water temperature และ G-Meter

จอ Infotainment ตรงกลางคอนโซลจะเป็นจอทรัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ใช้ระบบ Subaru Starlink infotainment แบะยังรองรับ Apple Carplay Andriod Auto SiriusXM และมาคราวนี้ ยังเพิ่มระบบการขับขี่อย่าง EyeSight Driver Assist Technology ภายในตกแต่งด้วยวัสดุที่มีราคาสูงเหมือนเดิม

สำหรับ Subaru BRZ ในต่างประเทศก็ได้มีการทดสอบในการทดลองการขับขี่บางแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาการทดสอบได้จากแหล่งข่าวต่างๆในต่างประเทศแต่ในส่วนของประเทศไทยนั้นยังไม่มีกำหนดวางจำหน่าย ซึ่งอาจจะต้องคอยติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ สำหรับคนที่กำลังเล็งรถสมรรถนะดีคันนี้

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม :

ขายดาวน์อย่างไรให้ปลอดภัย ไร้ปัญหาที่จะตามมาภายหลัง

การขายดาวน์ หรือที่เราเข้าใจกันคือการขายรถยนต์ในขณะที่ยังติดไฟแนนซ์หรือการทำสัญญาให้ผู้อื่นผ่อนต่อในขณะยังติดไฟแนนซ์ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจว่าในระยะเวลาที่ผู้เช่าซื้อมีการผ่อนติดอยู่กับไฟแนนซ์นั้นกรรมสิทธิ์นั้นยังเป็นของทางธนาคารที่ให้จัดไฟแนนซ์อยู่ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถมือสองหรือรถมือหนึ่งนั้น ผู้กู้นั้นไม่จะสามารถกระทำใดๆหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาการเช่าซื้อนั้นได้จนกว่า รถจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กู้ก็ต่อเมื่อผู้กู้ได้ชำระเงินครบตามสัญญาเงินกู้แล้วเท่านั้น

สรุปง่ายๆคือ ถ้าหากยึดตามหลักของกฎหมายนั้นผู้กู้จะไม่สามารถนำรถไปขายได้นั้นเองตามอำเภอใจ เว้นแต่ผู้ขอกู้จะติดต่อกับทางไฟแนนซ์และทำสัญญาเพื่อเปลี่ยนผู้ผ่อน ฉะนั้นบนความนี้มาดูกันครับ ว่าการขายดาวน์ที่กล่าวข้างต้นมีวิธีอย่างไรเพื่อให้ถูกต้องปลอดภัยและไร้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง

ตัวอย่างเล่มหนังสือรถยนต์

แล้วถ้าแบบนี้เวลาที่ติดไฟแนนซ์แต่หากต้องการจะขายรถดาวน์ให้ถูกกฎหมายและเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลังจะต้องทำอย่างไรหละ ?

  • เริ่มต้นด้วยวิธีแรกคือการนำเงินสดของผู้ซื้อมาปิดไฟแนนซ์เพื่อให้รถเป็นของเราโดยสมบูรณ์ก่อนพอได้สมุดเล่มทะเบียนค่อยนำไปขาย

แต่ถ้าหากว่าวิธีแรกมันไม่ง่าย วิธีที่สองคือการ “ขายดาวน์” แต่วิธีนี้จะต้องทำอย่างรอบคอบเพราะอาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังได้

อันที่จริงมันคล้ายๆกับวิธีข้างต้นนั้นแหละครับแต่แค่เปลี่ยนจากการนำเงินของตัวเองไปปิดสัญญา ก็นำเงินของผู้ซื้อไปปิดสัญญาแทน ยกตัวอย่างง่ายๆคือ ตกลงซื้อขาย 500,000 แล้วยังติดไฟแนนซ์ที่ 300,000 และในวันที่ซื้อขายก็เดินทางไปที่ธนาคารที่กู้ด้วยกันเลยแล้วก็ทำตามนี้เลยครับ

แบบแรกคือการซื้อด้วยเงินสดครบเต็มจำนวน

1.ให้ผู้เช่าซื้อนำเงินที่เตรียมไปปิดบัญชีที่ 300,000 แล้วก็จ่ายเงินที่เหลือให้กับผู้ขายไปอีก 200,000 ก็ถือว่าผู้ขายนั้นได้เงินดาวน์ มาแล้ว 200,000 บาทนั่นเอง

2.ผู้ขายแจ้งให้ไฟแนนซ์โอนเงินข้ามเป็นชื่อของผู้ซื้อไปเลย ซึ่งการโอนข้ามไปเป็นชื่อผู้ซื้อเนี้ยไฟแนนซ์อาจจะดำเนินการให้แต่บางสถาบันก็ไม่ดำเนินการให้ ถ้าไฟแนนซ์ไม่ดำเนินการให้ผู้ขายก็จะต้องให้ไฟแนนซ์โอนเข้าชื่อผู้ขายก่อน แล้วผู้ขายก็ทำชุดโอนจากผู้ขายให้ผู้ซื้อเก็บไว้เพื่อที่จะให้ผู้ซื้อไปโอนต่ออีกที โดยผู้ขายจะต้องแจ้งกับทางไฟแนนซ์ว่าจะมอบอำนาจให้ผู้ซื้อมารับสมุดเล่มทะเบียนแทน

การดำเนินการเรื่องการชำระเงินจำเป็นจะต้องไปจ่ายด้วยกันทุกครั้งนะครับเพราะทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องเก็ยสำเนาบใบเสร็จการปิดปัญชีกับสัญญาซื้อขายไว้เป็นหลักฐานด้วย

แบบที่สองคือ ซื้อด้วยการจ่ายเงินมาบางส่วน แล้วในส่วนที่เหลือก็ขอผ่อนกับไฟแนนซ์ต่อในสัญญาเดิม

หรือวิธีการที่เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างคือ “การเปลี่ยนคู่สัญญา” นั้นเอง ขั้นตอนก็จะมีตามนี้ครับ

1.ให้ผู้ซื้อเตรียมเอกสารที่จะต้องใช้ในการขอสินเชื่อ หรือถ้าจะเอาให้ชัวร์คือต้องใช้เอกสารอะไรบ้างก็สามารถสอบถามกับไฟแนนซ์โดยตรงจะทดีที่สุดครับเพราะเอกสารที่ใช้นั้นต่างกันนิดหน่อย

2.ไปยื่นขอเปลี่ยนผู้เช่าซื้อกับทางไฟแนนซ์ โดยผู้ขายและผู้ซื้อจะต้องเดินทางไปด้วยกันอย่าลืมนำเอกสารที่ไฟแนนซ์จะต้องใช้ไปด้วยนะครับ ทางไฟแนนซ์จะเอาเอกสารไปพิจารณาว่าจะสามารถเปลี่ยน ผู้เช่าซื้อได้หรือไม่ เอาง่ายๆคล้ายกับไฟแนนซ์จะพิจาณาเครดิตของผู้ซื้อเพื่อที่จะดำเนินการจัดไฟแนนซ์ต่อนั่นแหละครับแต่ผู้ซื้อนั้นจะได้ประโยชน์คือได้ผ่อนงวดต่อจากสัญญาเดิมที่ผู้ขายผ่อนไปแล้วนั่นเองและในขั้นตอนนี้ผู้ขายยังต้องเก็บรถไว้ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งให้รถกับผู้ซื้อไปและอย่าเพิ่งเอาเงินดาวน์ของผู้ซื้อมานะครับเพราะจะต้องรอให้ไฟแนนซ์อนุมัติเปลี่ยนผู้เช่าซื้อให้เรียบร้อยก่อน

3.เมื่อเครดิตของผู้เช่าซื้อผ่าน ไฟแนนซ์อนุมัติว่าเปลี่ยนผู้เช่าซื้อได้ ผู้ซื้อและผู้ขายก็จะต้องเดินทางไปไฟแนนซ์ด้วยกันอีกทีเพื่อไปเซ็นสัญญาการเช่าซื้อตัวจริง และจ่ายค่าดำเนินการค่างวดล่วงหน้า ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราวๆ 8,000 บาท และจะต้องจ่ายค่างวดล่วงหน้า 2 งวด ซึ่ง 2 งวดนี้จะเอาไปหักกับค่างวดที่เหลือ 42 งวดก็จะเหลือ 40 งวดนั่นเองเมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้ครบแล้วผู้ขายก็รับเงินดาวน์ตามที่ตกลงกันไว้กับผู้ซื้อ แล้วจึงเอารถให้กับผู้ซื้อ

เพราะฉะนั้นการดำเนินการทำเอกสารให้ถูกต้องนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากคุณไม่ทำให้ถูกต้องปัญหาที่ตามมาคือผลกระทบทุกอย่างจะตกอยู่กับผู้ขายทั้งๆที่ยังเป็นหนี้อยู่แต่ก็ต้องผ่อนรถให้เขาถ้าหากนำเงินจากผู้ซื้อไม่ได้ ผู้ขายก็จำใจจะต้องผ่อนต่อไปแต่ถ้าไม่มีเงินไปผ่อนขาไฟแนนซ์ก็จะบอกเลิกสัญญาและตามไปยึดรถคืนแต่เมื่อเราได้ขายรถโดยไม่มีการดำเนินเอกสารใดๆไปแล้วไม่มีรถคืน ทางผู้ขายก็จะถูกดำเนินคดีทางแพ่ง และผู้ขายก็จะต้องใช้หนี้ไฟแนนซ์ตามกฎหมายทางแพ่งกันต่อไป

และในกรณีที่ผู้ขายนั้นไม่ยอมผ่อนต่อหรือไม่ยอมใช้หนี้ตามคดีทางแพ่ง เพราะถ้าหากว่าคิดว่าการมีสัญญาซื้อขายนั้นจะช่วยให้ปัดความผิดไปยังผู้ซื้อ และคิดว่าให้ไฟแนนซ์ไปตามเอารถที่ผู้ซื้อเอง บอกเลยว่าไม่เป็นผลนะครับเพราะทางสัญญาซื้อขายจะเป็นหลักฐานมัดตัวผู้ขายด้วยซ้ำ เพราะต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่ารถไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก เราเป็นเพียงผู้ครอบครองเท่านั้น เราไม่สามารถนำรถของเขาไปขายได้ เพราะรถเป็นทรัพย์สินในสัญญาเงินกู้ถ้าไฟแนนซ์ทราบว่าเรานำรถเขาไปขายก่อนจะที่จะปิดสัญญา ทางไฟแนนซ์มีสิทธิ์ที่จะฟ้องดำเนินคดีได้ทางแพ่งและอาญา เพราะทางเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้องว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ได้เลยนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม :

แต่งไฟซิ่งไฟสี ไฟจ้า รบกวนสายตา คนแจ้งรับส่วนแบ่ง 50% ของค่าปรับ

ทางด้านกรมขนส่งทางบก ได้ให้ประชาชนช่วยเหลือในการแจ้งเบาะแสรถดัดแปลงไฟหน้าและไฟท้าย โดยคนที่แจ้งจะได้รับส่วนแบ่ง ถึง 50% จากค่าปรับ

จากที่ผ่านมาทางด้านของกรมขนส่งทางบก ได้ย้ำเตือนในเรื่องของการดัดแปลงไฟหน้าและไฟท้ายรถผิดปกติไปจากเดิม รวมไปถึงไฟสว่างเกินกำหนดเป็นเหตุทำให้ผู้ขับขี่อื่นได้รับความเดือดร้อนและอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่เพราะแสงที่สว่างเกินไปได้

โดยกรมการขนส่งทางบกได้เผยช่องทางการรับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกรับส่วนแบ่งค่าปรับ 50% หลังหักเงินนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อร่วมกันสร้างวินัยและความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป

โดยทางด้านของกรมขนส่างทางบกได้ประกาศว่าหากประชาชนทั่วไปพบเจอรถที่ทำไฟหน้าหรือไฟท้ายเหมือนที่ดังกล่าวมาข้างต้นสามารถถ่ายภาพส่งมาที่ LINE @1584DLT

โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดปรับไม่เกิน 2,000 – 50,000 บาทและผู้ใดที่ได้แจ้งเบาะแสโดยทำตามเงื่อนไขจะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าปรับ 50% ของค่าปรับจริง

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่:

คอยล์จุดระเบิดเสียรอบตกเครื่องกระตุกแบบฉับพลันเช็คให้ดีก่อนถึงมือช่าง

อาการรอบตกเครื่องกระตุดส่วนมากจะเกิดขึ้นในรถยนต์ที่มีระยะการใช้งานตั้งแต่ 80,000-150,000 กิโลเมตร อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับผู้ใช้รถอย่างเราๆ เพราะเมื่อเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นไม่ต้องตกใจเพราะยังสามารถขับไปถึงที่หมายได้ต่อ แต่จะมีเพียงปัญหารอบเครื่องและกำลังเครื่องถดถอยลงไป วันนี้ลองมาดูสาเหตุที่ทำให้รอบเครื่องตก เครื่องกระตุกแบบฉับพลันนี้กันครับ

โดยสาเหตุหลักของรอบเครื่องตก และกระตุกแบบฉับพลันนั้น มักจะเกิดจากปัญหาของระบบการจุดระเบิดที่ไม่เต็มระบบไม่ครบสูบ

ในกรณีที่คอยล์จุดระเบิดมีการเสียหาย สามารถเช็คได้ดังนี้
วิธีเช็คขั้นแรกแนะนำให้ตรวจสอบระบบคอยล์จุดระเบิดเป็นอันดับแรกเพราะสามารถตรวจสอบได้ง่ายที่สุด โดยการสตาร์ทเครื่องและค่อยๆดึงปลั๊กคอยล์จุดระเบิดทีละตัวสลับกันไป หากพบว่ารอบเครื่องยังสะดุดเหมือนเดิมก็แสดงว่าตัวนั้นเสีย แต่ถ้าหากรอบเครื่องสะดุดมากขึ้นก็คือปกตินั่นเอง

คอยล์จุดระเบิด (ignition Coil) นั้นทำหน้าที่สร้างกระแสไฟแรงสูง โดยจะให้หลักการเดียวกันกับหม้อแปลง โดยจะเพิ่มแรงเคลื่อนของกระแสไฟฟ้าที่ 12 โวลต์ให้เป็นไฟแรงสูงถึง 18,000 – 40,000 โวลต์ซึ่งแตกต่างกันในเครื่องยนต์เบนซินแต่ละรุ่นแต่ละขนาดจะไม่เท่ากัน วัตถุประสงค์เพื่อให้การกระโดดของกระแสไฟที่ปลายเขี้ยวหัวเทียนเป็นองค์ประกอบในการจุดระเบิดการเผาไหม้

focus to Ignition coil of car engine

ส่วนประกอบภายในคอยล์จุดระเบิด ประกอบด้วย ขดลวดแบบ ปฐมภูมิ และขดลวดแบบ ทุติยภูมิ พันอยู่บนแกนเหล็กอ่อนเดียวกัน โดยขดลวดปธมภูมิจะเป็นลวดทองแดงขนาดใหญ่พันรอบแกนประมาณ 150-300 รอบ รับไฟฟ้าแรงดันต่ำที่จ่ายมาจากแบตเตอรี่ ขณะที่ขดลวดแบบทุติยภูมิเป็นขดลวดไฟฟ้าแรงดันสูงเพื่อจ่ายให้กับหัวเทียนพันด้วยลวดทองแดงขนาดเล็ก ประมาณ 20,000 รอบ

โดยสามารถสังเกตคอยล์เสื่อมสภาพ มีได้ 2 อย่างคือ

1.เนื้อพลาสติกที่ห่อหุ้มภายนอกหมดอายุ-เสื่อมสภาพ เบื้องต้นให้สังเกตว่าคอยล์มีรอบแตกหรือรอยร้าวหรือไม่ จากนั้นให้ลองใช้เทปพันสายไฟพันที่ก้านของคอยล์แล้วขับทดสอบถ้าอาการดีขึ้นมีอาการสะดุดน้อยลง ก็เท่ากับว่าคอยล์รั่วนั้นเอง

2.หากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในเสื่อม – เสียหาย ทั้งนี้การเสื่อมสภาพดังกล่าวส่วนใหญ่มากจากความร้อนของเครื่องยนต์สามารถทดสอบได้จากระยะการกระโดดของกระแสไฟที่จะสั้นกว่าปกติหรือรถในบางรุ่นก่อง ECU สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของการทำงานได้โดยจะโชว์ Engine light ที่หน้าปัดรถยนต์

ไอน้ำเข้าโคมไฟรถ ปัญหาสุดหนักใจ แถมโคมไฟเก่าไวกว่าเดิม

ปัญหา ไอน้ำเข้าโคมไฟรถ ปัญหาสุดหนักใจ ที่หลายๆสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ๆ ก็มีสิทธิ์ ที่จะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ฉะนั้นลองมาดูกันครับว่าถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้วเราจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

เราจะต้องทราบสาเหตุหลักๆ ของมันก่อนซึ่งสาเหตุหลักๆของไอน้ำที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะไฟหน้ารถทุกคันจะมีการซีนกันน้ำด้วยซิลิโคนยาง ทั้งตัวโคมและขาหลอดไฟ และส่วนนั้นอาจจะเกิดการเสื่อมสภาพหรือรอยรั่วต่างๆ จึงทำให้หยดน้ำสามารถซึมเข้าไปได้ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะมักจะเกิดขึ้นในช่วงฝนตกหนักๆ ลุยน้ำท่วม หรือการล้างรถด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จนทำให้น้ำซึมเข้าไปที่รอบรั่วหรือซีนยางต่างๆได้นั่นเอง ฉะนั้นต้องคอยสังเกตุให้ดีครับ

ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ก็มีอยู่หลายวิธี ดังนี้

1.ควรถอดโคมไฟหน้ารถออกมาจากเบ้าด้วยความระมัดระวังแล้วค่อยๆเช็ดให้แห้งและใช้ไดรเป่าผมเป่าให้แห้งสนิท จากนั้นตรวจสอบว่าโคมไฟหน้ารถของคุณนั้นมีการเสื่อมสภาพด้วยสาเหตุใด เช่น ซีนยางเสื่อมสภาพ หรือไฟหน้ามีร้อยร้าว หรือแตกในจุดไหนบ้าง

2.เมื่อพบว่าเจอรอยร้าวที่บริเวณโคมไฟหน้ารถ ให้นำกระดาษทรายน้ำขัดทำความสะอาดบริเวณรอยแตก และนำเอาซิลิโคนยางนิ่มแบบกันน้ำได้ป้ายเพื่ออุดรอยร้าวและรอยรั่วให้สนิทปาดให้เสมอเพื่อไม่ให้มีช่องสำหรับน้ำเข้า และในส่วนของขอบแป้นยางไฟให้นำเอาออกมาเช็ดทำความสะอาดและค่อยใส่กลับไปเข้าดังเดิม

3.ในกรณีที่พบว่าโคมมีไอน้ำให้นำขั้วไฟออกและจอดตากแดดเพื่อไล่ไอน้ำออกจาโคมให้หมด และควรตรวจว่า ยางหลอดไฟมีสภาพที่เสื่อมหรือไม่เพราะส่วนใหญ่ยางหลอดไฟเสื่อมสภาพจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำเข้าได้บ่อย

4.ในกรณีที่เป็นหลอดใส้แบบฮาโลเจน สามารถเปิดทิ้งไว้ 60 นาทีเพื่อใช้ความร้อนจากหลอดไฟไล่ความชื้น แต่ถ้าเป็นหลอด LED อาจจะมีความร้อนที่ยังไม่เพียงพอ

ไม่ควรปล่อยให้ไอน้ำเกาะในโคมไฟนานๆ เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โคมไฟดูเก่าเร็วแล้ว อาจจมีการซึมไปถึงขั้วหลอดไฟและสามารถทำให้เกิดการเสียหายของระบบไฟฟ้าได้

สายจอดต้องรู้ รถจอดนิ่ง ไม่สตาร์ทนานๆ ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน

ปัญหาหลากหลายที่ผู้ใช้รถอาจจะไม่คาดคิดหรือทราบมาก่อนว่าถ้าหากเราไม่สตาร์ทเครื่องยนต์เป็นระยะเวลานานๆ จะเกิดปัญหาอะไรกับเครื่องยนต์บ้าง แล้วเมื่อเราจำเป็นจะต้องใช้รถหลักจากที่ไม่ได้ใช้มาเป็นระยะเวลาๆนานๆควรทำอย่างไร ลองอ่านและศึกษาตามคำแนะนำบทความนี้ดูนะครับ

ใช้รถบ้างเป็นบางครั้งจำเป็นจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไหม?

อันที่จริงแล้วไม่ว่าคุณจะใช้งานมากหรือน้อย เมื่อถึงระยะการใช้งานเพราะเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆความร้อนของน้ำมันเครื่องก็สามารถทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพได้ และเศษชิ้นส่วนที่เกิดจากการเสียดสีของอุปกรณ์ภายในหรือผงเขม่าจากการเผาไหม้จะปนเปื้อนในน้ำมัน ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะทำให้อุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์เสียหายได้

เครื่องยนต์ที่ไม่ได้ถูกใช้งานเป็นระยะเวลานานๆจำเป็นต้องถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่?

เมื่อเครื่องยนต์จอดนิ่งสนิทนานๆ อาจจะเกิดสนิมในรถบบต่างๆของเครื่องยนต์ได้เพราะการจอดนิ่งๆจะมีความชื้นต่างๆที่จะเข้าไปในระบบแล้วเกิดการสึกหรอได้ และความชื้นจะเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เกิดเขม่าต่างๆภายในเครื่องยนต์ฉะนั้นก่อนจะใช้หรือสตาร์ทจำเป็นจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่ก่อนนะครับแล้วจึงสตาร์ททิ้งไว้ซักพัก

ถ้าหากยังไม่ครบกำหนดระยำเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหละ ควรเปลี่ยนหรือไม่?

อันที่จริงแล้วเพื่อนๆสามารถสังเกตุได้จากการความรู้สึกในการใช้รถยนต์ว่าถ้าหากสังเกตุว่ารถยนต์ที่คุณใช้มีอัตราสิ้นเปลืองมากขึ้นจากเดิม หรือเครื่องยนต์หนืดเร่งไม่ออก เครื่องสะดุดเดินไม่ราบเรียบก็สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนกำหนดได้เลยครับ

การดูแลและการถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ สำหรับเครื่องยนต์ เพราะถ้าเมื่อคุณขาดการดูแลเครื่องยนต์จะทำให้เครื่องยนต์ของคุณสึกหรอและอาจจะทำให้เกิดปัญหาความเสียหายอย่างมาก และเมื่อถ่ายน้ำมันสิ่งที่จำเป็นอย่างมากคือการเลือกใช้ความข้นหนืดหรือเบอร์น้ำมันให้ถูกต้องกับเครื่องยนต์ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อใช้ไม่เหมือนกันฉะนั้นเพื่อนๆใช้รถรุ่นไหนก็ควรศึกษาให้ดีๆนะครับ

อ่านสาระน่ารู้พิ่มเติม:

KIA พร้อมเปลี่ยนโลกเพื่อก้าวเข้าสู่ยุครถไฟฟ้าอย่างเต็มตัว

KIA กำลังมีความพยายามที่จะขยายแนวติดการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดได้มีการประกาศเข้าสู่ Project Plan S อย่างเป็นทางการ ทาง KIA จะใช้แผนกลยุทธระยะยาวเพื่อเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์สันดาปกลายมาเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

โครงการ Plan S ที่ทาง KIA ได้ประกาศออกมา ส่วนหนึ่งของเป้าหมายคือการพัฒนารถระบบไฟฟ้าโดยเฉพาะในปี 2021 ทางผู้บริหารของ KIA กล่าวว่ารถ IMAGINE จะเริ่มถูกผลิตให้เห็นเป็นรูปร่างในปี 2021 โดยจะใช้แพลทฟอร์มสำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ

และในปี 2021 อาจจะยังเป็นเพียงแค่ใบเบิกทางสำหรับเส้นทางการผลิต เพราะทาง KIA ได้เผยว่าที่จะนำเสนอรถอีก 11 รุ่นภายในปี 2025 ซึ่งทาง KIA เชื่อมั่นว่ารถไฟฟ้าเหล่านี้จะทำให้ทาง KIA ได้ส่วนแบ่งในตลาดรถไฟฟ้าทั่วโลกไม่รวมตลาดจีน ได้ถึง 6.6 % และเนื่องจากรถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและสามารถขายได้ถึง 500,000 ต่อปี นี่คือสิ่งที่ KIA คาดการณ์ไว้

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ :

บังคับใช้แล้วขี่มอไซด์ 400 cc.ขึ้นไป ต้องมีใบอนุญาตขับขี่บิ๊กไบค์

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศบังคับใช้สำหรับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ขนาดเครื่องยนต์ 400 cc. ขึ้นไปจะต้องมีใบอณุญาตขับขี่สำหรับบิ๊กไบค์โดยเฉพาะ แน่นอนว่าผู้ที่จะัขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีขนาดเครื่อง 400 cc. ขึ้นไปจะต้องมีการทำสอบการศักยภาพและการขับขี่จักรยานยนต์ขนาด 400 cc. ขึ้นไปใหม่

ในกฎกระทรวงที่ระบุว่า รถที่มีกำลังตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ หรือ 400 cc. ขึ้นไปแสดงว่าอยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องทำใบขับขี่บิ๊กไบค์ใหม่

การคำนวนดังนี้
1 kw = 1.34 hp
35 kw = 46.9 hp นั่นเอง

ลิงค์หนังสือกฎกระทรวง

ซึ่งในกฎกระทรวงนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ฉะนั้นเมื่อทราบแล้วรีบจองคิวกันตั้งแต่แน่เนิ่นๆเลยนะครับ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา

สามารถอ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ :