BYD MPV ใหม่ ใช้ชื่อว่า “Zhou” ทดสอบแล้วในจีน

หลังจากที่มีภาพหลุดออกมาเมื่อช่วงประมาณ ต้นปีที่ผ่านมาล่าสุดรถ MPV รุ่นใหม่ ของ BYD ได้เริ่มทำการทดสอบวิ่งลงถนนใหม่อีกครั้ง โดยเบื้องต้นเชื่อกันว่า รุ่นนี้จะมาเป็นส่วนหนึ่งของ Dynasty และก่อนหน้านี้ คาดกันว่า จะใช้ชื่อ TANG MAX แต่ตอนนี้มันถูกเรียกว่า Zhou ตามสื่อรายงานจากต่างประเทศ

หลักจากที่ได้เห็นภาพดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยบล๊อกเกอร์ชาวจีน ก็ได้เห็นรูปแบบของรถ MPV ดูมีททรงขนาดใหญ่ ในรูปแบบรถ 7 ที่นั่ง ที่น่าจะมีความยาวราวๆ 5,000 มม. และระยะฐานล้อมากกว่า 3,000 มม.

และจากรายงานของสื่อข่าวต่างประเทศคาดการณ์ว่า MPV ดังกล่าว อาจจะแชร์แพลทฟอร์มกับ Denza D9 จึงถูกมองว่าเป็นเวอร์ชั่นที่คล้ายเหมือนกับคู้แฝดที่แตกต่างแค่แปะแบรนด์สินค้า BYD เท่านั้นโดยจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด DM-i ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ททำงานคู้กับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียว พร้อมเกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ Blade

ก่อนหน้านี้ทาง BYD ZHOU คาดการณ์กันว่าน่าจะเปิดตัวสู้ตลาดประเทศจีนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 และอย่างไรก็ตามรายงานล่าสุดเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะวางจำหน่าช่วงปลายปี

ส่วนสำหรับราคาจำหน่ายคาดว่าจะมีการวางราคาเริ่มต้นประมาณ 200,000 – 250,000 หยวน หรือประมาณ 1,000,000 – 1,260,000 บาทท ในราคาต่างประเทศ

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

รถยนต์ EV เตรียมวิกฤติ ซ่อมแพง เคลมหนัก มือสองราคาร่วง

ช่วงนี้เชื่อว่าใครหลายคนที่เตรียมจะซื้อรถยนต์คันแรกก็ต้องมองเป็นรถ EV Car ไปซะหมด เพราะเล็งถึงความต้องการที่จะใช้รถยนต์ในระยะยาวซึ่งหลายๆคนอาจจะต้องกลับมาทำการบ้านใหม่ เพราะตอนนี้
สมาคมประกันวินาศภัยเตรียมเตือนเตือนสงครามราคาประกัยรถ EV หวั่นเข้าขั้นวิกฤติ ธุรกิจประกันชี้ รถอีวีราคาปรับลงอย่างรวดเร็ว อัตราเคลมความเสียหายพุ่งทยาน 90-100% เสี่ยงบริษัทประกันกันจะขาดทุนจนไม่เหลือกำไร ต้นตอปัญหา ค่าซ่อมอะไหล่แพง ค่าซ่อม และอะไหล่ แพงว่ารถสันดาป 50-60%

เรียกว่าเป็นจริงเป็นจังกับการตั้งคณะกรรมการทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาในเรื่องของรถ EV และพยายามออกผลวิเคราะห์เตือนไปยังสมาชิกให้มีความระมัดระวังในเรื่องของการรับประกันจากข้อมูลในตอนนี้ สหรัฐอเมริกาก็เผชิญวิกฤติการณ์จ่ายค่าสินไหมทดแทนรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงมาก และขณะเดียวกันทั้งในจีนและยุโรปก็เจอวิกฤติในลักษณะนี้เช่นเดียวกันจึงทำให้ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความระมัดระวังการรับประกันภับรถอีวีเป็นอย่างมาก
ซึ่งสิ่งที่เห็นอย่างได้ชัดคือซากรถอีวีเก่าที่เกิดขึ้นจำนวนมากในประเทศจีนที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารถอีวีแทบจะไม่มีราคาที่จะมาเป็นมือสองเลยทีเดียวเพราะไม่มีความยืนยาวเหมือนกับรถสันดาปที่ใช้นานเป็น 10 ปี แต่ก็ยังเข้าสู่ราคาตลาดมือสองได้ เรียกว่าราคารถ EV อายุ 5-7 ปีมูลค่าแทบจะไม่เหลือราคา และจะกลายเป็น ระเบิดเวลา สำหรับธุกิจวินาศภัยในอนาคต หากไม่ระมัดระวังมากเพียงพอ

ทั้งนี้การปรับในเรื่องของเบี้ยประกันรถยนต์ EV ในปัจจุบันซึ่งมีราคาสูงเป็นทุนอยู่แล้ว ซึ่งได้จากการสนับสนุนของภาครัฐ ที่มีมาตราการสนับสนุนการซื้อรถยนต์ EV ราวๆ 70,000 – 150,000 บาท/คัน ทำให้รถยนต์นั้นจะถูกกว่าปกติ แต่จะไม่เกี่ยวกับในส่วนของประกันวินาศภัย

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

FAW HONGQI H9 ซีดานหรูร่างเงา Rolls-Royce

ถ้าพูดถึงรถที่มีความหรูหราและโดดเด่นในเรื่องของความ Luxury พร้อมด้วยกระจังหน้าเงาใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ ใครๆก็ต้องพูดถึง Rolls-Royce เป็นอันดับแรก แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกยานยนต์นี้อัตราลักษณ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่ได้มีเพียงแบรนด์ Rolls-Royce เพียงแบรนด์เดียวอีกต่อไป

สำหรับวันนี้เราจะมาแนะนำแบรนด์รถซีดานสุดหรูระดับชาติ อย่าง FAW HONGQI ซึ่งแบรนด์เดียวกับผู้นำสูงสุดของจีนใช้ให้เพื่อนๆได้ยลโฉมความหรูหราและพรีเมี่ยมผสมผสานการนำเอาเทคโนโลยีที่จะให้ผู้ครอบครองได้สะดวกและสบายอีกด้วย

FAW HONGQI H9 เป็นรถยนต์สัญชาติจีนที่ “สี จิ้นผิง” ใช้ในระกว่างการมาเยือนประเทศไทยในรอบ 11 ปี เมื่อเดือน เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งจุดเด่นของภายนอกที่ออกแบบให้มีลูกเล่นมากมายทั้งกระจังหน้าที่ใหญ่ล้อมด้วยไฟ LED เป็นเส้นยาวล้อมรอบจนไปถึงไฟหน้า แบบ Matrix LED และไฟต้อนกรับที่ด้านหน้ารถเหนืือฝากระโปรง และไฟรูปธงด้านข้าง Adaptive Drive Beam (ADB) เพิ่มความหรูหราด้านหน้าในทุกมิติเลยทีเดียว

โครงสร้างตัวถังแบบ 4 ประตู 4 ที่นั่ง ภายในของ Hongqi H9 มีสิ่งอำนวจความสะดวกมากมาย เริ่มตั้งแต่เบาะหลักแบบ Nappa ซึ่งเบาะคู่ด้านหลังมีโหมดการนวดทำให้คุณสามารถนวดได้ตลอดการเดินทาง แต่ไม่ใช้จำกัดแค่เพียงเบาะหลังเท่านั้น แต่เบาะหน้าด้านคนนั่งก็ยังใส่ฟังก์ชั่นการนวดมาให้เช่นกัน

ระบบปรับอากาศภายใน Hongqi H9 มีระบบอัตโนมัติที่พิเศษกว่ารถทั่วๆไป โดยสามารถปรับอากาศโดยใช้การวัดจากอากาศโดยรอบและแบ่งเป็นโซนเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้โดยสารแต่ละท่าน ภายในตกแต่ง ด้วยไฟส่องสว่างที่ด้านเท้าโดยมีโหมดการปรับสีถึง 253 เฉด รวมไปถึงไฟส่องสว่างด้านข้างประตู แผงแดชบอร์ดจอกลาง และแดชบอร์ดด้านหน้า ลำโพงจาก BOSE รอบทิศทาง 12 จุด และผสมผสานระหว่างเครื่องเสียงและไฟตกแต่งภายในทำให้การดูหนังหรือฟังเพลงเปรียบได้กับห้องดูหนังนั่งเล่นในบ้านเลยทีเดียว



เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 252 แรงม้า 48v Hybrid ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบคลัทช์คู่ แรงบิดสูงสุดที่ 380 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 ที่ 7.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองที่ 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

อ่านข่าวสารรถยนต์ได้ที่

DFM กระบะ Full Size ท้าชน Cyber Truck

Dongfeng เปิดตัวรถกระบะคอนเซ็ปต์ปี 2024ในงาน Beijing Auto show ดึงดูดสายตาลูกค้าและได้กระแสตอบรับเป็นจำนวนไม่น้อย เรียกว่ารถรุ่นนี้ทำออกมาให้ดูคล้ายกับ Tesla Cyber truck แต่มีลักษณะที่มีความกลมมนมากกว่าทำให้ดูมีลักษณะที่ดูแตกต่างกว่าและให้อารมณ์ที่ดูละมุนกว่าเล็กน้อย

รูปลักษณ์และหน้าตาของ Dongfeng จะดูเรียบง่าย และจะให้ความรู้สึกเหมือนอย่างกับว่ามันมาจากโลกอนาคต ซึ่งเมื่อสตาร์ทรถไฟฟ้าจะเห็นคำว่า “HELLO BEIJING” ซึ่งเป็นแนวคิดอัตราลักษณ์ของทางรถแบรนด์จากทางจีนที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว

การออกแบบที่ตัวถังด้านข้าง จะเห็นถึงเส้นมิติตัวถังจำนวนมาก และโดยส่วนใหญ่พื้นที่กว้างขวางด้วยการออกแบบเส้นเพื่อให้มีพื้นที่ดูกว้างขวางตามสิ่งที่มันควรจะเป็นและนอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า จึงเหลือพื้นที่ด้านฝากระโปรงหน้าสำหรับช่องเก็บสัมภาระเพิ่มเติมเก็บของได้สะดวกขึ้นและใช้งานได้จริง

การออกแบบด้านท้ายก็ยังมีความน่าสนใจด้วยไฟวิ่งและยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของไฟและลักษณะของแสง Dongfeng ยังติดตั้งไฟ Projector ที่ด้านหน้า และมีรายงานว่าคันนี้ได้ใช้พื้นฐานแพลททฟอร์ม Dongfeng skateboard EV และมีพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 1305 แรงม้า ซึ่งเรียกได้เต็มปากว่า แรงกว่า Cybertruck จาก Tesla ซะอีก

และแน่นอนว่าถ้าหากเห็นรูปทรงแล้วก็อดปฎิเสธไม่ได้ว่า Dongfeng จะต้องได้รับแรงบันดาลใจจาก Cybertruck แต่ก็จะแตกต่างในเรื่องของเหลี่ยมและมุมของตัวถังและจุดเด่นคือ Light Bar แบบ LED ที่แสดงผลเป็นรูปภาพหรือโลโก้เรืองแสงแต่มีจุดเก็บของด้านหน้าที่เล็กกว่า

ภายในล้ำสมัยดูจะมีความแตกต่างจาก Cybertruck เล็กน้อย พวงมาลัยทรง 4 เหลี่ยมและมีความสมัยด้วยการนำเอารุปทรงเลขาคณิตเข้ามาใช้ในส่วนต่างๆ ตั้งแต่ขาเบาะจนไปถึงด้ามจับและพนักพิงด้านหล้ง แผงแดชบอร์ดที่มีความใหญ่

สำหรับ Dongfeng Truck นั้นยังไม่มีแนวโน้มในการทำตลาดในโซนยุโรป แต่สำหรับประเทศจีนก้ยังพอมีสิทธิ์ลุ้น แต่กระบะในรูปแบบนี้ต้องยอมรับว่าประเทศจีนยเองก็ไม่นิยมซักเท่าไหร่นัก เพราะรูปทรงและลักษณะการใช้งานอาจจะเสี่ยงในเรื่องการผิดกฎหมายได้ง่ายๆ กระบะไฟฟ้าทรงนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าเท่าไหร่นัก

อ่านข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV เพิ่มเติม

Honda จะใช้เทคโนโลยี F1 ใน Honda 0 Series เพื่อให้รถมีน้ำหนักเบา

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของรถยนต์ไฟฟ้า Honda นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค์ต่างๆมากมาย แต่ระบบแผนการผลิตและกลยุทธ์ ก็ยังคงตั้งเป้าเพื่อดำเนินการผลิตต่อไปโดยจะเปิดตัวรถยนต์ 7 รุ่นทั่วโลกภายในทศวรรษนี้ ภายใต้โปรเจกต์ที่เรียกว่า Honda 0 Series โดยจีมีขนาดตั้งแต่ เล็กจนไปถึงขนาดใหญ่

แม่ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะอัพเดทเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตทุกสัปดาห์ แต่ในส่วนของความน่าสนใจคือการนำเอาเทคโนโลยีและประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้าน Formula 1 เพื่อทำให้ EV ในรุ่นต่อไปมีน้ำหนักที่เบาลงโดยเป้าหมายคือการลดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปโดยจะเพิ่มแบตเตอรี่เพื่อให้สามารถเดินทางได้ไกลมากยิ่งขึ้น

Honda 0 Series จะควบคุมในเรื่องของโครงสร้างและน้ำหนักที่เบาและมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบาลง ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่โดยใช้ยความชำนาญของวิศวกรรมจากทาง F1 โดยจะติดตั้งมอเตอรืและ แบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงศูนย์ถ่วงต่ำและอยู่ระหว่างกลางของตัวรถเพื่อเสริมในเรื่องของสมรรถนะ โดยเมื่อลดน้ำหนักแล้วจะสามารถเดินทางได้มากขึ้นถึง 300 ไมล์ตามมาตรฐาน EPA

โดย Honda ได้กล่าวว่า “การขับขี่ที่สนุกสนานและเพลิดเพลิน”นอกจากแนวทางและการตลาดของทาง Honda ที่น่าสนใจแล้วทาง Honda ก็ให้คำมั่นสัญญาว่า ในอนาคตทาง Honda จะมีรถสปอร์ตไฟฟ้าอีกด้วย เมื่อช่วงประมาณต้นปีที่ผ่านมา CEO ของบริษัท Toshihiro Mibe ได้กล่าวว่า EV ที่สร้างความสนุกสนานในการขับขี่นั้นยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา และจะมีแนวทางที่แตกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆที่ผ่านมา

ในอนาคตเราอาจจะได้เห็น Honda NSX ที่เป็นเวอร์ชั่นไฟฟ้า EV 100% แต่ก็แอบหวังว่า ทาง Honda จะมีรถยนต์ EV ที่มีราคาไม่สูงมากนักในกลุ่มตลาด แต่ดูจากแผน Lineup ของทาง Honda แล้วจะเห็นส่วนใหญ่จะเป็นรถประเภท SUV Crossover

Honda 0 Series เป็นยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของทาง Honda ที่เป็นอีกหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงด้วยแนวคิด “บาง เบา และชาญฉลาด” (Thin Light and Wise) ในการพัฒนา

  • บาง (Thin) เพิ่มศักยภาพในการออกแบบ รวมถึงออกแบบตัวรถให้ต่ำ การคำนึงถึงสมรรถนะตามหลักของอากาศพลศาสตร์ และน้ำหนักที่เบา ด้วยแพลทฟอร์ม EV “บาง” เพื่อทำให้ตัวรถมีศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง
  • เบา (Light) คำนึงถึงการขับขี่และความสปอร์ตและสมรรถนะของระบบขับขี่ด้วยไฟฟ้า ที่ท้าทายความเชื่อของผู้คนที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านเทคโนโลยีอันสร้างสรรค์ โดยสรรค์สร้างโดย Honda ที่เปรียบเสมือนย้อนกลับไปยังจุดเรื่มต้นในฐานะของผู้ผลิตรถยนต์
  • ชาญฉลาด (Wise) คำนึงถึงยนตกรรมที่ขับเคลื่อนควบคู่ไปพร้อมกับซอฟต์แวร์ของ Honda โดยผสานองค์ความรู้ที่ทาง Honda ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการพัฒนายนตกรรมให้ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยี ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น

และนอกจากนี้ยังลดข้อด้อยในเรื่องของระยะเวลาในการชาร์จ และ การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งของความท้าทายที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญ ยนต์กรรมจากทาง Honda 0 Sereis จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ และลดความเสื่อมสภาพตลอดการใช้งานอย่างต่อเนื่องหลายๆปี โดยยนตกรรมภายใต้ Honda 0 Series ที่จะเปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 2020 จะมาพร้อมกับฟังค์ชั่นการชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ 15%จนไปถึง 880 ด้วยเวลาการชาร์จประมาณ 10-15 นาีในขณะเดียวกัน Honda มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีการควบคุมแบตเตอรี่และความเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ให้น้อยกว่า 10% ในระยะเวลาการใช้งานไปแล้ว 10 ปี

เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทาง Honda ที่ได้รับมือกับความท้ายทายครั้งใหม่เสมือนการย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทาง Honda และฐานนะผู้ผลิตรถยนต์และสร้างสรรค์ยานยนต์ โดยจะสรรค์สร้างรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเปรียบเสมือนเริ่มต้นจาก “ศูนย์”

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

หยุดข่าวลือ.. Suzuki Motor Thailand เตรียมปิดกิจการในไทย

หยุดข่าวลือ.. Suzuki Motor Thailand เตรียมปิดกิจการในไทย

จากเมื่อวันที่ 17 พ.ุค. 2567 ได้มีข่าวลือตามโลกโซเชี่ยลต่างๆ ว่า Suzuki เตรียมหยุดดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งทางยืนยันธุรกิจในไทยยังยืนยันว่ายังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อ พร้อมแต่งตั้งนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม เพิ่มบทบาทดูแลด้านการวางแผนฝ่ายบริการและอะไหล่ เพิ่มประสิทธิภายการบริหารงานในองค์กร

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์ข่าวลือว่า “บริษัทรถยนต์รายใหญ่อย่าง ซูซูกิ มอเตอร์ ไทยแลนด์ จะถอนตัวธุรกิจจากประเทศไทย และให้ดิลเลอร์เคลียร์รถและอำไหล่ให้หมดภายใจสิ้นปีนี้”

ล่าสุด Suzuki Motor Thailand ได้ออกมาชี้แจงเบื้องต้นกับสื่อต่างๆกับ กรณีข่าวที่เกิดขึ้นในสื่อโซเชี่ยลมีเดี่ยตั้งแต่เมื่อวานนี้ทางบริษัทได้ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และบริษัทฯยังมีแผนการจำหน่ายและให้บริการหลังการขายสำหรับลูกค้าซูซูกิอยู่และขอให้ทุกท่านอย่างหลงเชื่อข้อมูลอันเป็นเท็จ กับแหล่งข่าวที่ไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ซูซูกิมอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้สประกาศการปรับเสริมศักยภาพโครงสร้างด้านการบริหารภายในองค์กร โดายทำการแต่งตั้ง นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม เพิ่มหน้าที่เป็นผู้ดูแลด้านการวางแผนบริหารงาน และฝ่ายบริการและอะไหล่บริษัท ซูซูกิมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

ทั้งนี้นายวัลลภจะรายงานการปฎิบัติงานโดยตรงต่อนายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ซูซูกิมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งในการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ถือเป็นการดำเนินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร รวมไปถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการขายให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจรถยนต์ ซูซูกิในอนาคต

ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าจาก Suzuki Motor Thailand ทางทีมงาน Kitsadagoodcar จะนำมารายงานเพิ่มเติมครับ

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

Elon Musk แจงสาเหตุที่ไล่ทีม Tasla Supercharger ออกทั้งทีม

หลังจากที่ชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของ Elon Musk นันได้ไล่ทีมงาน Tesla Supercharger ออกทั้งทีม ทั้งๆที่ Supercharger นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในอเมริกา และ เอเชียเรียกว่า ระบบ Charging Network มีความจำเป็นสำหรับปัจจุบันนี้และอนาคตเป็นอย่างมาก

โดยทาง Elon Musk ได้ออกมาเปิดเผยว่า Tesla นั้นยังคงมีแผนที่จะขยาย Supercharger Network ต่อไปแต่ความรวดเร็วนั้นมันยังไม่ได้ตามที่ Elon คาดหวังไว้ Elon ต้องการ 100% ของการทำงานของระบบ และ 100% ของการครอบคลุม หรือถ้าเข้าใจง่ายๆ คือต้องการให้ระบบนี้สามารถทำงานได้ตลอดเวลา และไม่มีวันล่ม และต้องขยายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

และในปัจจุบัน Tesla เปิดให้แบรนด์อื่นสามารถเข้ามาร่วมใช้ระบบ Supercharger กันได้แล้วไม่ว่าจะเป็น Rivian Ford รวมไปถึงบริษัทอื่นๆอีกกว่า 10 ค่ายและนอกจากนั้นรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาก็ยังใช้ NACS Connector Port ใช้กับรถทุกคันเป็นมาตรฐานในอนาคต

และในอนาคตหลายๆแบรนด์กำลังเปลี่ยนมาผลิตรถ EV ที่ต้องใช้หัวชาร์จแบบ Supercharger Network แทบจะทั้งหมดการขยายที่มีรวดเร็วและครอบคลุมพอมันจะทำให้โอกาสและภาพลักษณ์และโอกาสของ Tesla ต้องเกิดความเสียหาย

ถ้าหากเราวิเคราะด้วยเหตุผลการกระทำของ Elon Musk อย่างละเอียด การไล่ทีมงาน Supercharger ออกก็ดูเป็นสิ่งที่จะต้องทำเพื่อรักษาโอกาสและผลประโยชน์ขององค์กร และเพื่อเปิดโอกาสให้หาคนใหม่ๆเข้ามาสร้างไอเดียและ การขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายและเวลาที่จำกัดแม้ว่าทีมเก่าจะเคยมีผลงานที่ดีขนาดไหนก็ตาม

อ่านข่าวสารรถยนต์



Ford อาจจะยกเลิกแนวคิดการตลาดรถไฟฟ้าล้วน 100% ในปี 2030

เรียกว่ามุมมองทางการตลาดของ Ford นั้นเปลี่ยนไป ซึงก่อนหน้านี้ได้มีแผนที่ยกรถสันดาป์ แล้วหันไปลุยตลาด และ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทนเครื่องสันดาปล้วนแบบ 100% ให้ได้ภายในปี 2573 และในท้ายสุดความคิดนี้ก็ต้องพังทลายลงเมื่อเผชิญกับความต้องการในธุรกิจของรถไฟฟ้าเริ่มซบเซาลง

หลังจากทาง Ford ได้ตั้งเป้าว่าจะเปลี่ยนมาผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อเป็นข้อกำหนดในการทางด้านควบคุมการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปในปี 2030 หรือภายใน 5 ปี (หลังจากวันที่ได้ประกาศ) แต่ตอนนี้ทาง Ford ได้กล่าวว่าเขาจะกลับมาทำตลาดเครื่องยนต์สันดาปควบคู่ไปเช่นเดิมหากว่าโลกเรายังคงต้องการเทคโนโลยีในรูปแบบยนตกรรมอยู่

แม้ว่ายอดขาย EV จะมีการชลอตัวลงบ้าง แต่ทาง Ford กล่าวว่าไม่มีแผนที่จะยื้อเวลาของ Ford Focus Hatchback และทาง Sanders ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะยาวผมก็ยังคงเชื่อว่า รถไฟฟ้านั้นก็คืออนาคต และเราอาจจะได้เห็นรุ่นต่อๆไปมากขึ้นในเวลาอันสมควร”

“หากต้องการยนต์กรรมที่ดีที่สุดก็ขอเสนอเป็นรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ” Martin Sander หัวหน้าฝ่ายธุรกิจยานยนต์ของ Ford ในยุโรปได้กล่าวในงานประชุมสุดยอด Financial Time Future of the Car เรียกว่าทาง Sander ยอมรับว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันไม่ตรงกับความคาดหวัง Ford และทางบริษัทถือว่าเป็นความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง

และนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่สู้ดีในมุมมอง ผู้บริหารระดับสูงของทาง Ford ที่เตรียมที่จะใช้เงินจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์ในการเปลี่ยนแปลงโรงงานในเมือง Cologne ในประเทศ Germany ให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เดิมทีเลยเป็นโรงงานการประกอบ Ford Fiesta คาดว่าจะเริ่มสร้าง Ford Expiorer SUV ที่ใช้เทคโนโลยีแพลทฟอร์มจาก VW ID.4 และคาดว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 2 ภายใต้แพลทฟอร์ม VW MEB แบบเดียวกันในเดือนเดียวกัน Puma Crossover ไฟฟ้าขนาดเล็กจะเริ่มผลิตในประเทศ Romania กำหนดช่วงปลายปีนี้

Sanders ยังคงให้คำมั่นด้วยว่าฟอร์ดยังคงไม่ทิ้งรถยนต์ไฟฟ้าและอาจจะมีการปรับราคาไปตามกลไกของตลาดโดยรถไฟฟ้าจะคิดเป็นร้อยละ 22% ของยอดขายและผู้ผลิตรถยนต์โดยตัวเลขดังกล่าวก็ได้เพิ่มขึ้นในทุกๆปี ซึ่งมันดูสวนทางกับความต้องการและอุปทานของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

ข่าวสารรถยนต์

เลขทะเบียนกาลกีณีตามวันเกิดขัดโชคลาภด้วยพลังลบ

ความเชื่อในเรื่องของ ศาสตร์ตัวเลขนั้นมีอิทธิพลและความเป็นสิริมงคลให้กับยานพาหนะคู่ใจกับตัวของคุณมาอย่างยาวนาน และมีอำนาจในการพาคุณโลดแล่นไปสู่ความสำเร็จ และโชคลาภความมั่นคง มั่นคั่ง และมีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้ถือตัวเลข ถ้าหากตัวเลขนั้นมีความขัดแย้งต่อผู้ถือก็อาจจะขัดขวางในเรื่องของโอกาสและความเจริญก้าวหน้าด้วยพลังลบของตัวเลขกาลกีณี

ถ้าใส่ใจกับตัวเลขก็จะทำให้เปิดโอกาสในเรื่องของพลังหนุนนำในเรื่องความสำเร็จได้ไม่ยาก

เลขทะเบียนรถคือหนึ่งในตัวเลขที่กำหนดและสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของคุณได้ ซึ่งหลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไม่น่าจะเกี่ยวกับชีวิต แต่ในความเป็นจริงหากคุณลองสังเกตดูแล้วว่าคุณจะเห็นว่าตัวเลขทะเบียนก็สามารถเปลี่ยนทิศทางของชีวิตได้ไม่น้อย

บางครั้งเลขทะเบียนรถอาจจะมีผลต่อโชคชะตาในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องของ ความสุข การเงิน ลาภลอย เช่นถูกหวยบ่อย หรือการต่อรองเจรจางานก็ทำได้ง่ายๆ หรือบางคนอาจจะต้องการชีวิตที่สงบราบเรียบ และบางครั้งตัวเลขที่เป็นกาลกิณีก็อาจจะพาโชคร้ายหรือนำพาความบังเอิญในเรื่องของสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตของคุณได้

วิธีการเลือกทะเบียนรถที่เป็นมงคลจะช่วยปัดเป่า และความมงคลก็จะช่วยให้ห่างไกลเลขกาลกีณี

รถยนต์คันใหม่ถือว่าเป็นสิ่งของชิ้นใหญ่ที่เปลี่ยนทั้งวิถีชีวิตในหลายๆด้าน ทั้งสีสัน และรูปทรงต่างๆ ทั้งการเดินทาง ความเสี่ยง ความน่าเชื่อถือ และการเงินหนี้สินค่าใช้จ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต การกำหนดตัวเลขทะเบียนรถก็จะส่งผลทำให้สิ่งต่างๆรอบตัวนั้นเปลี่ยนจากสิ่งร้ายกลายเป็นดี และ เคราะห์ร้ายอาจจะเกิดขึ้นก็จะเป็นเบาทุเลาลงได้

1.ตัวเลขที่ขัดแย้งกับวันเกิด

วันเกิดแต่ละวันจะมีตัวเลขประจำที่เป็นกาลกีณีอยู่ วิธีง่ายๆ สำหรับการเลือกตัวเลขไม่มีอะไรซับซ้อนเพียงแค่กำหนดตัวเลขบางตัวอย่าให้มีอยู่ในทะเบียน ซึ่งอ้างอิงตามวันเกิดของคุณ ว่าไม่ควรมีตัวเลขอะไรลองมาดูกัน

  • คนเกิดวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้เลข 3 หรือ 6 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันจันทร์ ไม่ควรใช้เลข 1 หรือ 5 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันอังคาร ไม่ควรใช้เลข 1 หรือ 2 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันพุธ (กลางวัน) ไม่ควรใช้เลข 3 หรือ 8 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันพุธ (กลางคืน) ไม่ควรใช้เลข 3 หรือ 5 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้เลข 7 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันศุกร์ ไม่ควรใช้เลข 7 หรือ 8 อยู่บนป้ายทะเบียน
  • คนเกิดวันเสาร์ ไม่ควรใช้เลข 4 หรือ 6 อยู่บนป้ายทะเบียน

2. และไม่ควรเลือกป้ายที่มี “ผลลัพธ์” ตัวเลขระหว่างกลาง

เมื่อคุณรู้แล้วว่าตัวเลขใดคือตัวเลขใดที่ไม่ควรมีอยู่บนป้ายทะเบียนรถของคุณ ขั้นตอนต่อมาคือการหาเลขทะเบียนรถที่ถูกต้องตามหลักความเชื่อคือการนำตัวเลขแต่ละตัวที่อยู่บนทะเบียนมาบวกกันจนกว่าจะได้เลขเพียงหลักเดียว ตัวอย่างเช่น 2กฎ1234 ก็ทำเอา 2+1+2+3+4 ก็จะเท่ากับ 12 และนำผลลัพธ์สองหลัก คือ 12 มาบวกกันอีก 1+2 ก็จะเท่ากับ 3 ก็จะเท่ากับเลขผลลัพธ์ในข้อต่อไป

3. ผลลัพธ์ของเลขทะเบียน

อีกตำแหน่งที่สำคัญที่จะต้องนมาพิจารณาคือตัวเลข ผลลัพธ์ ของเลขทะเบียนรถที่ไม่ควรมีอยู่ในวันเกิดของแต่ละวันซึ่งจะส่งผลทำให้เป็นตัวเลขกาลกิณีของคุณ

  • คนที่เกิดวันอาทิตย์ เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 6
  • คนที่เกิดวันจันทร์ เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 1
  • คนที่เกิดวันอังคาร เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 2
  • คนที่เกิดวันพุธ (กลางวัน) เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 3
  • คนที่เกิดวันพุธ (กลางคืน) เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 3 และ 5
  • คนที่เกิดวันพฤหัสบดี เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 7
  • คนที่เกิดวันศุกร์ เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 8
  • คนที่เกิดวันเสาร์ เลขทะเบียนตัวสุดท้าย ไม่ควรเป็นเลข 4

ในส่วนของเลขทะเบียนมงคลนั้นถือว่าเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล และเป็นความเชื่อที่ทำไว้ก็ไม่เสียหายใดๆ เพราะศาสตร์ของตัวเลขถือว่าเป็นศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ทั้งยังได้ในเรื่องของโชคลาภ ความก้าวหน้า และ ความอุ่นใจเมื่อต้องใช้รถใช้ถนนและสร้างความมั่นใจเมื่อต้องขับขี่หรือเดินทางอีกด้วย

อ่านโหราศาสตร์เกี่ยวกับรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่

ทำไมต้อง “บีบแตร 3 ครั้งสั้นๆ” ใช้ถูกวิธีและทำความเข้าใจ

เดิมทีการให้เสียงสัญญานแตรนั้น เป็นการส่งสัญญาณ เพื่อคอยระวังซึ่งกันและกันทั้งระวังอุบัติเหตุจากการละสายตาของเพื่อนร่วมทางให้หันมาสนใจและยังสามารถลดอุบัติเหตุได้มากเลยทีเดียว
การบีบแตร 3 ครั้งสั้นๆ จะเป็นการทักทายหรือการให้ความเคารพสิ่งต่างๆ ตามความเชื่อ หรือ ขอความเป็นสิริมงคลกับสิงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ (เป็นความเชื่อเฉพาะในประเทศไทย) แล้วการบีบแตร 3 ครั้งนั้นควรใช้ตอนไหนกันแน่ วันนี้เราจะเอาประเด็นนี้มาเป็นคำตอบกันครับ

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมแตรรถยนต์ถึงมีจังหวะการใช้ที่แตกต่างกัน?

อันที่จริงแล้วการใช้สัญญาณเสียงแตรนั้นจุดประสงค์หลักๆ ก็คือการให้สัญญานเพิอความปลอดภัยตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่ปัจจุบันคนใช้รถใช้ถนนมีการเพิ่มการใช้จังหวะในการให้สัญญาณเพื่อสื่อสารให้หลากหลายกันมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นการใช้จังหวะกลับกลายเป็นภาษาสากลอย่างแพร่หลาย อาจจะทำให้หลายๆคนเกิดความเข้าใจผิดได้ฉะนั้นผู้ใช้ถนนก็คารเรียนรู้และทำความเข้าใจเอาไว้แม้ว่าจะใช้หรือไม่ก็ตาม

1.กดแตรเบาๆสั้นเพียง 1 ครั้ง

การกดแตรสั้นๆเพียง 1 เป็นการบอกให้ระวัง และเป็นการขอทางรวมไปถึงการเตือนว่าอาจจะมีสิ่งต่างๆอยู่ด้านหน้า ให้ระวังรวมไปถึงคนข้ามถนน สิ่งของ หรือ อันตรายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้

2.การกดแตรสั้นๆ 2 ครั้ง
การกดแตรสั้นๆ 2 ครั้ง เป็นการเตือน เพื่อให้เพื่อนร่วมทางหันมาสนใจว่ากำลังอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นและไม่ปลอดภัย ฉะนั้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญานแตรสั้น 2 ครั้งให้ระวังหรือสำรวจโดยรอบในทันทีมิฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดได้

3. บีบแตรดังยาว และบีบซ้ำอีกหลายๆครั้ง

เป็นการเตือนรุนแรงขึ้นอีกระดับ ว่าอันตรายมากซึ่งอาจจะเป็นจังหวะกระชั้นชิด รวมไปถึงจังหวะรีบของผู้ใช้สัญญาณนี้

4. บีบแตรยาวและดัง

ใช้เตือนในหลายๆจังหวะเช่นจอดรถขณะที่ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว การใช้สัญญาณนี้ก็จะต้องระมัดระวังการใช้อีกด้วยเพราะมักจะททำให้คนอื่นเข้าใจผิดและเกิดเรื่องได้อีกด้วย

การใช้สัญญาณแตรรถยนต์นั้น ถ้าหากใช้อย่างถูกวิธีและมีความเข้าใจก็จะลดปัญหาในเรื่องของการทะเลาะวิวาทไปได้ เพราะการเตือนด้วยสัญญาณแตรเป็นเพียงการเตือนให้คนรอบข้างเกิดความตระหนักรู้ และไม่ควรใช้เพื่อก่อกวน สร้างความรำคาณ เพื่อความปลอดภัยควรใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อลดอุบัติเหตุได้

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม