รถติดแก๊ส ดูแลอย่างไร ให้ถูกวิธี ปลอดภัย ใช้ไปได้นานๆ

รถติดแก๊ส ดูแลอย่างไร ให้ถูกวิธี ปลอดภัย ใช้ไปได้นานๆ

ในปัจจุบัน พลังงานทางเลือกนั้นมีหลากหลาย แต่หลายๆคนกังวลมากที่สุดคือเชื้อเพลิงแบบแก๊สซึ่งจะต้องมีการดูแลบำรุงรักษามากกว่า เชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะหันมาใช้แก๊สก็คือความประหยัดของทุกเม็ดเงินที่เสียไป แต่ถ้าดูแลระบบเชื้อเพลิงประเภทนี้ให้ดีก็อาจจะทำให้คุณเสียเงินซื้อรถใหม่ได้

การดูแลรถยนต์ติดแก๊สเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด และ ไร้กังวลในเรื่องของความเสื่อมสภาพ หรือเกิดการระเบิดอย่างที่เคยพบเห็น สามารถทำได้ดังนี้

1.การตรวจเช็คระบบท่อแก๊ส และ การรั่วซึ่มของระบบ อย่างน้อยเดือนละ ครั้งโดยใช้น้ำผสมน้ำยาล้างจาน ตีให้เกิดฟองแล้วชะโลมให้ทั่วสายเพื่อสังเกตุการเกิดฟอง หากมีร้อยรั่ว จะพบว่า ฟองน้ำยาล้างจานมีการเคลื่อนขยายตัว

2.หมั่นตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ และระบบระบายความร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพราะการใช้ระบบเชื้อเพลิงทางเลือกจะมีความร้อนที่มากกว่า การใช้น้ำมัน ระบบแก๊ส จะต้องใช้ความร้อนของน้ำในหม้อน้ำเพื่อเป็นระบบลดความเย็นเมื่อแก๊สผ่านท่อส่งเข้าหัวฉีด จึงทำให้ ระบบหล่อเย็นมีความสำคัญกับแก๊สมากนั่นเอง

3.เลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะสม กับระบบ แก๊ส LPG หรือ NGV เรียกว่าในปัจจุบันผลิตภัทฑ์น้ำมันเครื่องมีหลายแบบหลายประเภทเพื่อให้เหมาะสมการใช้งาน น้ำมันเครื่องประเภทนี้จะพิเศษกว่าในเรื่องของอุณหภูมิ สามารถทนความร้อนได้สูงกว่าจุดเดือด 100-200 องศา โดยจะไม่เปลี่ยนสภาพ

4. ตรวจสอบหัวเทียนทุกๆ ระยะ 20,000 กิโลเมตร แน่นอนว่าการใช้แก๊ส จะไม่ใช่เพียงแค่มีความร้อนเท่านั้น แต่ยังจะเกิดคราบเขม่าติดที่ปลายหัวเทียนทำให้หัวเทียนทำงานไม่เต็มที่เต็มระบบ ฉะนั้น เมื่อครบ 20,000 กิโลเมตร ก็ควรนำออกมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาหรือ ขัดด้วยกระดาษทราย

5. ตรวจเช็คและตั้งบ่าวาล์วไอเสียทุกๆ 40,000-60,000 กิโลเมตร เพราะเชื้อเพลิงแก๊สนั้นจะทำให้เกิดความแห้งที่บ่าวาล์วไอเสียสำหรับคนที่แก๊สควรสลับเป็นระบบน้ำมันบ้างเพื่อเคลื่อบบ่าวาล์วเพิ่มอายุการใช้งานได้

6.ตรวจความสมบูรณ์ของหม้อต้มและการล้างหม้อต้มแก๊สทุกๆ 1-2 ปี เพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน และ ลดโอกาสการอุดตันของระบบแก๊ส

7. ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ การตาร์ทด้วยน้ำมันจะถนอมและยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์หลายๆส่วน เช่น การติดแก๊สจะทำให้ ไดรสตาร์ททำงานหนักเพราะแก๊สนั้นสตาร์ทติดยากกว่าน้ำมัน และยังเป็นการรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์อีกด้วย

ถ้าหากว่าคุณสามารถทำได้ตาม 7 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ก็สามารถยืดอายุของเครื่องยนต์ที่ใช้ แก๊ส LPG หรือ NGV ได้มากขึ้นแน่นอน และเชื่อว่า การดูแลถนอมเครื่องยนต์ จะคุ้มค่ากว่าการซ่อมครั้งใหญ่แน่นอน

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

วิธีรับมือเมื่อรถของคุณความร้อนขึ้นต้องทำอย่างไร

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าความร้อนเครื่องยนต์เป็นปัญหาสำหรับรถที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน แต่อันที่จริงแล้ว รถที่เกิดความร้อน หรือ Over Heat ของหม้อน้ำก็สามารถเกิดขึ้นกับรถใหม่ๆได้ เช่น หม้อน้ำแห้งหรือมีการรั่วซึมตามข้อต่อ จุกยางฝาหมดอายุ หรือปัญหาเรื่องแรงดันของระบบระบายความร้อน อะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ก็ต้องเอาตัวรอดไปให้ได้ครับ

แล้วถ้าหากเกิดความร้อนภายในเครื่องยนต์ขึ้น คุณจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?

หลายคนเมื่อเจอสถานการณ์เหล่านี้มักจะทำอะไรไม่ถูก แต่ลองทำตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆนี้เลยครับ

  1. ตั้งสติอย่าตกใจ เมื่อเห็นไฟความร้อนเครื่องยนต์โชว์ หรือสังเกตเห็นควันขึ้นฝากกระโปรงรถหรือมีไอเกาะร้อนกระจกรถ บางครั้งอาจจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์และลูกสูบทำงานผิดปกติเพราะความร้อนก็ให้ตั้งสติตบไฟเลี้ยวซ้ายแล้วหาที่จอดที่ปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก
  2. รีบดับเครื่องทันทีที่จอด และเปิดฝากระโปรงรถทันที (ระวังกระโปรงรถร้อน) “ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำเด็ดขาด” เพราะเมื่อในห้อมน้ำเดือดจะมีแรงดันสูงจะทำให้น้ำร้อนพุ่งใส่เราจะเป็นอันตรายได้
  3. ไม่ควรเติมน้ำเย็นในหม้อน้ำทันที เพราะอุณหภูมิของเครื่องที่สูงเมื่อโดนกับน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำจะทำให้อุปกรณ์ภายในเช่น ฝาสูบ แหวนสูบ เกิดการขยายตัวจนทำให้ผิดรูปและเสียหายได้
  4. สำรวจความเสียหายของเครื่องยนต์และหาสาเหตุของหม้อน้ำขาด เพราะนอกจากสาเหตุที่ไม่ได้หมั่นตรวจเช็คน้ำในหม้อน้ำหรือน้ำยาหล่อเย็นแล้ว ก็มีสาเหตุอื่นๆที่ทำให้น้ำให้หม้อน้ำแห้งอาจจะพบรอยรั่วหรืออุปกรณ์ต่างๆภายนอกเครื่องยนต์ แต่ถ้าหากไม่พบรอยรั่วก็อาจจะต้องเติมน้ำเพื่อประคองรถไปหาอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการตรวจเช็คอีกที
  5. รอให้เครื่องเย็นแล้ว เมื่ออุณหภูมิลดลง ให้หาน้ำเติมอาจจะเป็นน้ำดื่มสะอาดที่คุณได้จากการเติมน้ำมัน ที่สำคัญต้องเป็นน้ำเปล่าสะอาดเท่านั้นไม่ควรนำน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำหวาน หรือ น้ำวิตามินที่มีขายในปัจจุบัน เพราะอาจจะทำปฎิกริยากับเหล็กที่อยู่ภายในจนทำให้เกิดความเสียหายได้

ฉะนั้นถ้าหากคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็ควรดูแลรักษาระบบหม้อน้ำและเครื่องยนต์ให้อยู่ระดับที่เหมาะสมอย่างน้อยเดือนละ 3-4 ครั้ง หรือถ้าหากคุณมีงบก็ควรเปลี่ยนจากการเติมน้ำเปล่าในหม้อน้ำมาเป็นน้ำยาหล่อเย็น ก็จะทำให้เครื่องยนต์และระบบระบายความร้อนนั้นคงทนและดีขึ้น

หากต้องการอ่านสาระความรู้เพิ่มเติม

ป้ายทะเบียนสีจาง ขนส่งฯประกาศเคลือบใหม่ให้ฟรี

ป้ายทะเบียนรถใครที่อยู่ในหมวด 3กก-4กฆ กทม. และบางหมวด ของต่างจังหวัดที่มีสีจาง กรมขนส่งยินดีเคลื่อบใหม่ให้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธ.ค.64 ส่วนใครไม่ได้อยู่ในหมวดนี้ มีค่าบริการ 100 บาท

กรมการขนส่งทางบกเปิดให้ผู้ที่มีแผ่นป้ายทะเบียนรถสีซีดหรือจาง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดของรถยนต์ต่างจังหวัดโดยจะอยู่ในหมวดของต่างจังหวัดโดยเป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่กรมขนส่งออกให้ระหว่าง วันที่ 1 ส.ค. – 31 ธ.ค. 57 ซึ่งอาจจะเกิดจากสารที่เป็นส่วนผสมของสีที่ไม่เท่ากัน ทำให้มีอายุการใช้งานที่สั้นลงกว่าปกติ

โดยสามารถนำป้ายทะเบียนมาเข้ารับบริการเคลือบสีป้ายทะเบียนใหม่ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และผ่านการทำความสะอาดเบื้องต้นและป้ายสภาพก็ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่น บิด เบี้ยว โค้ง งอ ฉีก เจาะรู หรือหัก เป็นต้น พร้อมหลักฐานใบคู่มือการจดทะเบียนรถหรือสำเนา บัตรประชาชนของเจ้าของรถ กรณีเป็นนิติบุคคล ให้ใช้หนังสือการรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลไปด้วย ส่วนเจ้าของรถที่ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประชาชนผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ ติดต่อขอรับการเคลือบสีใหม่ได้ที่ แผนกงานแผ่นบ้ายทะเบียน อาการ 7 ของกรมขนส่งฯ ซึ่งสามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนได้ภายในวันที่ติดต่อทันที หรือสามารถยื่นที่สำนักงานขนส่งต่างจังหวัดเพื่อให้สำนักงานขนส่งต่างจังหวัดส่งป้ายทะเบียนมาเคลื่อบแล้วส่งกลับคืนไปยังขนส่งต่างจังหวัด ภายใน 7 วันทำการ

และส่วนกรณีที่แผ่นป้ายทะเบียนไม่ได้อยู่ในหมวด 3กก-4กฆ กรุงเทพมหานคร หรือป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ออกระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-31 ธ.ค. แต่เป็นสาเหตุสีหลุดลอกออกมาจากการใช้งานเจ้าของรถต้องเสียค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายแผ่นละ 100 บาท

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับสไตล์คุณ

ปัจจุบันยางรถยนต์มีหลายแบบหลายประเภทให้เราได้เลือกซื้อเลือกหา ซึ่งถ้าหากให้พูดกันตามตรงแล้ว คุณภาพนั้นจะแตกต่างกันตามเม็ดเงินของผู้ซื้อแต่คุณทราบหรือไม่ว่ายางแต่ละประเภทนั้นจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างอย่างไร และคุณสามารถจำแนกยางแต่ละประเภทได้อย่างไรบ้าง ลองมาทำความรู้จักกันคับว่าแต่ละแบบเขาเรียกว่าอย่างไร

1.ยางแบบ H/T หรือ Hightway Terrain

เป็นยางชนิดที่มีลักษณะของดอกยางขนาดเล็ก ลายดอกยางจะละเอียดซึ่งมีคุณสมบัติในการรีดน้ำได้ดี น้ำหนักเบาและสามารถเกาะถนน ซึ่งจะมีลักษณะของความนุ่มเงียบ เป็นยางที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานทั่วๆไปไม่ได้เน้นการบรรทักหนัก ออกแบบให้เหมาะสำหรับการใชงานบนถนนลาดยางปกติ แต่จะไม่เหมาะสำหรับเส้นทางขรุขระหรือเส้นทางที่มีดินโคลนเพราะจะทำให้ติดหล่มได้ง่าย

2.ยางแบบ A/T หรือ ALL Terrain

ยางแบบ AT จะเป็นยางขนาดใหญ่ และมีความหนาตัวร่องยางนั้นจะมีความห่างเล็กน้อย เป็นดอกยางที่เน้นการสัมผัสกับถนนได้มาก เน้นทุกสภาพถนน ทั้งถนนเรียบและถนนที่มีดินที่ไม่สมบักสมบันมากนัก โดยจะเห็นได้ในรถประเภท 4×4 และ 4×2 ข้อเสียคือเรื่องเสียงดังเมื่อใช้บนถนนหลวงหรือทางลาดยาง

3.ยางแบบ M/T หรือ Mud Terrain

ยางแบบ MT จะเป็นยางที่มีดอกบั้งลึก หนาและใหญ่ร่องยางจะลึกและหนากว่ายางทุกประเภท เหมาะสำหรับการตระกุยในพื้นที่ที่มีเส้นทางหินดินโคลน ปีนป่ายทุระกันดาร ซึงจะไม่เหมาะกับเส้นทางลาดยางหรือการใช้งานบนถนนเรียบ ซึ่งข้อเสียของยางประเภทนี้จะเป็นยางทีมีเสียงดังไม่ยึดเกาะเส้นทาง อีกทั้งยังมีน้ำหนักมาก

4.ยางแบบ LT หรือ Light Truck

ยางแบบ LT หรือ Light Truck เป็นยางที่ออกแบบมาเพื่อบรรทุกซึ่งแก้มของยางจะมีความหนาและแข็งแกร่งเป็นพิเศษสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่ายางทั่วไปยางประเภทนี้จะมีลายดอกยางที่น้อยกว่ายางแบบอื่นโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้คู่กับล้อกระทะที่มีขนาดตั้งแต่ 14-15 นิ้วเท่านั้น และสามารถรับน้ำหนักได้มาก เอดยางจะเป็นเส้นตรงลึก เพื่อความแข็งแรงของยางยางลักษณะนี้จะไม่เน้นในเรื่องของความยึดเกาะมากนัก

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

4 วิธีสังเกตุง่ายๆ เมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมหรือหมดไฟ

แบตเตอรี่รถยนต์ก็เป็นส่วนสำคัญของระบบเครื่องยนต์ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแบตรถยนต์เป็นอุปกรณ์ที่มีปัญหาน้อยที่สุดพังก็เปลี่ยนเพราะราคาไม่สูงมากจึงมองข้ามไปและไม่ดูแลเท่าที่ควร

คุณอาจจะยังไม่ทราบว่า แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานยาวนานที่แตกต่างกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการดูแลและบำรุงรักษาของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วมีดังนี้

1.เรื่มมีอาการสตาร์ทรถยนต์ไม่ติด

เนื่องจากประจุไฟฟ้าภายในแบตเตอรี่ที่ไม่เพียงพอนั้นเป็นสาเหตุหลักของอาการสตาร์ทรถติดยากหรืออาจจะไม่ติดเลย ซึ่งสามารถสังเกตุได้จากเสียงสตาร์ทที่ช้าลงแบบหนืดๆ หรือเสียงแก๊กๆที่หน้ากระโปรงรถซึ่งก็เป็นอาการที่สังเกตุได้ง่ายๆนั้นเอง

2.ไฟหน้ารถสว่างน้อยลง

การสังเกตที่ไฟหน้ารถยนต์ เมื่อกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ที่อ่อนลงจะทำให้ระบบไฟฟ้าต่างๆอ่อนลงไปด้วย โดยสามารถสังเกตุได้ง่ายที่สุดหรือระดับความส่วางของไฟหน้าที่อ่อนลงไปตามลำดับของกระแสไฟฟ้า

3.กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้างหรืออ่อนแรงลง

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถสังเกตุได้ง่ายๆ คือการทำงานของระบบกระจกไฟฟ้าซึ่งระบบนี้ใช้กระแสไฟฟ้าที่มากพอสมควร ฉะนั้นคุณสามารถสังเกตุได้จากการทำงานที่หน่วงและอ่อนกำลังลงของมอเตอร์กระจกไฟฟ้าได้ แต่ถ้าหากว่ารถคุณไม่มีระบบกระจกไฟฟ้า ก็สามารถสังเกตุได้จากวิธีต่อไปครับ

4.ระบบไฟฟ้าภายในรถเริ่มทำงานผิดปกติ

คุณสามารถสังเกตุได้จากอุปกรณ์การให้สัญญาณต่างๆเช่นไฟเลี้ยวหรือไฟหรี่หน้าปัดวัดความเร็ว หรือการทำงานจากวิทยุมีการติดๆดับๆ เสียงตึกๆตักๆที่ลำโพงก็เท่ากับว่าแบตเตอรี่ของคุณพร้อมที่จะลาโลกแล้วครับ

ประจุแบตเตอรี่นั้นสามารถคลายกระแสไฟฟ้าได้ตลอดเวลาหากเราไม่เติมกระแสไฟฟ้าเข้าไป และเมื่อกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่อ่อนหรือไม่มีกระแสไฟฟ้าในประจุก็จะทำให้เซลล์เก็บประจุไฟฟ้านั้นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการเติมกระแสไฟฟ้ากลับเข้าไปในแบตเตอรี่ จึงมีความจำเป็น

หากต้องการอ่านสาระความรู้การใช้รถยนต์เพิ่มเติม

รถ PPV คืออะไร แล้วต่างกับ SUV อย่างไร ทำไมต้องจำแนก

ในปัจจุบันรถยนต์มีรูปร่างหน้าตาหลายแบบหลายประเภท เพื่อที่จะเหมาะสมกับการใช้งานของตลาดและของคนหลายๆกลุ่มแต่ทั้ง ECO CAR, SEDAN, รวมไปถึง Luxury Car แต่รถประเภทที่มีการจำแนกและเป็นเจ้าปัญหาที่สุดคือ รถระหว่าง SUV และ PPV ซึ่งมีการถกเถียงกันอยู่มากในหมู่ของกลุ่มคนค้ารถยนต์ โดยถูกกำหนดขึ้นมาจากความเข้าใจของภาครัฐ

รถ PPV นั้นย่อมาจากคำว่า Pick-Up Passenger Vehicle หรือแปลกันง่ายๆก็คือ รถอเนคประสงค์ที่มีพื้นฐานโครงสร้างมาจากรถกระบะ หรือ “รถกระบะดัดแปลงเป็นรถยนต์อเนคประสงค์” และโดยส่วนใหญ่จะออกแบบให้เป็นรถยนต์ที่สามารถโดยสารได้ 7 ที่นั่ง

โดยรถประเภท PPV นั้น จะถูกใช้เรียกกันแค่ในประเทศไทยเท่านั้น

“รถคันแรกที่ใช้คำว่า PPV เปิดตัวออกสู้ตลาดคือ TOYOTA Sport Rider เมื่อ พ.ศ. 2541 โดยถูกผลิตจากพื้นฐานรถกระบะ TOYOTA Hilux Tiger”

Land Rover

แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์ SUV ก็ต้องยอมรับว่า รถประเภท PPV จะมีสมรรถนะที่ด้อยกว่า SUV เพราะ PPV จะแตกต่างทั้งโครงสร้างและช่วงล่าง จำมีความคล่องตัวที่น้อยกว่าในปัจจุบันรถประเภท PPV จะมีราคาที่ถูกกว่ารถประเภท ครอสโอเวอร์เล็กน้อยและได้นำเทคโนโลยีการขับเคลื่อน 4 ล้อมาใช้มากขึ้นจึงทำให้ในประเทศไทยเป็นที่นิยมมากกว่านั้นเอง

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

ถอดรหัสน้ำมันเครื่อง 0W-40 คืออะไร

วิธีเลือกซื้อน้ำมันเครื่องต้องดูอะไร?

การเลือกน้ำมันเครื่องที่ถูกต้อง คือการเลือกน้ำมันเครื่องให้ตรงกับสเปคของเครื่องยนต์ แล้วการเลือกน้ำมันเครื่องให้ตรงสเปคควรจะต้องดูอะไรบ้าง วันนี้ผมจะมาบอกอย่างละเอียด พร้อมถอดรหัสของน้ำมันเครื่องเพื่อทำคความเข้าใจว่าเจ้ารหัสที่เขาเรียกกันข้างแลลอนนั้นมีความหมายอย่างไรครับ

เริ่มต้นจากการทำความรู้จักประเภทของน้ำมันเครื่อง

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) เป็นน้ำมันเหล่อลื่นที่ผลิตจากการกลั่นน้ำมันปีโตรเลี่ยม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) เป็นน้ำมันหล่อลื่นธรรมดาที่ผสมกับน้ำมันสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกรรมวิธีสังเคราะห์จากน้ำมันปีโตรเลียมใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.

การอ่านค่าถอดรหัสน้ำมันเครื่องดูอย่างไร

SM นั้นคือค่ามาตรฐาน API (American Petroleum Institute Standard) ที่กำหนดโดยสถาบันอุสาหกรรมปิโตรเลี่ยม แห่งอะเมริกา เป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก

มาตราฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย S เช่น API SM หรือ API SL ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะขึ้นต้นด้วย C เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4

  • API SM ประการศใช้เมื่อ 2010
  • API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004
  • API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001

CK-4 มาตราฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อ 2017

  • CJ-4ประกาศใช้เมื่อ 2010
  • CI-4ประกาศใช้เมื่อ 2002
  • CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998


เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเคยเห็นรหัสเครื่องแต่ก็ยังมีข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับรหัสน้ำมันเครื่องข้างขวดที่เขียนว่า 0W-20 ,0W-30 ,0W-40 รหัสเหล่านี้มันมีความหมายว่าอะไร
โดยตัวเลขจะแบ่งเป็น2ชุด ตามภาพตัวอย่างรหัส 2ตัวด้านหน้า 0W ในภาพที่ด้านบนเป็นรหัสที่ใช้เรียกแทนควาทนทานความเป็นไขในสภาพอากาศเย็น ของน้ำมันเครื่องที่เป็นมาตราฐานวิศวกรรมจากอเมริกา (SAE)

โดยรหัสชุดหน้าจะแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ

W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

5W = สามารถคงความข้นไสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

10W = สามารถคงความข้นไสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

15W = สามารถคงความข้นไสไว้ได้ถึง -10องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

รหัสชุดหลังจะยอกค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขที่มีค่ามากจะมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยจะมีความหนืดน้ำตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มาก ความหนืดเหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 20-40

โดยอุณหภูมิอากาศในประเทศไทยเครื่องยนต์ใหม่ๆ ก็มักจะเพิ่มค่าความหนืดให้มากขึ้นเมื่อเครื่องยนต์มีอายุมากขึ้น เพื่อให้เครื่องฟิตยิ่งขึ้น โดยเราสามารถทราบความเหมาะสมของน้ำมันเครื่องได้จากคู่มือที่ให้มากับรถยนต์

และน้ำมันเครื่องสูตรพิเศษ

ปัจจุบันเครื่องการใช้เชื้อเพลิงไม่ได้มีเพียงแต่ ดีเซล และ แบนซินเท่านั้น เพราะมีพลังงานทางเลือกอย่าง LPG และ NGV น้ำมันเครื่องสูตรพิเศษ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานสูงสุดกับเครื่องยนต์บางประเภท

  • โดยสามารถสังเกตได้ที่ข้างขวด ระบุว่า
  • FOR NGV, LPG & Gasoline สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG

Heavy Duty ใช้ได้ดีสำหรับรถที่บรรทุกของหนัก

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

Grade Wall Motor ส่ง Haval H6 2021 วางตลาดเป็นรุ่นแรกของปี

เป็นกระแสฮือฮาพอสมควรกับแบรนด์นำเข้ารถค่ายใหญ่จากแดนมังกร Grade Wall Motor ที่จะส่งเอา Haval H6 2021 ลงรุ่นแรกในประเทศไทย ซึ่งโฉมนี้เป็น เจเนเรชั่น 3 ของรุ่นนี้แล้วและเคยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Cheandu Motor Show 2020 เมื่อเดือนมกราคาปีที่ผ่านมา มียอดจายสะสมตั้งแต่ เจเนเรชั่นแรกมากกว่า 3 ล้านคัน และวางจำหน่ายอยู่ใน 60 ประเทสทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย นี่เอง

Haval H6 จะวางจำหน่ายรุ่นเครื่องยนต์ถึง 2 ขนาด โดยจะเป็นเครื่องยนต์ 2 ทั้ง ขนาด 1.5 ลิตร GDIT EVO และเครื่องขนาด 2.0 ลิตร GDIT

Haval H6 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร GDIT EVO ให้กำลังสูงสุดถึง 168 แรงม้า (PS) ที่ 5,000-5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 285 นิวตันเมตรส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual-Clutch 7 สปีด มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 12.9 กม./ลิตร

ในส่วนอีกรุ่นจะเป็น เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร GDIT ให้กำลังสูงสุดที่ 210 แรงม้า (PS) ที่ 6000-6300 รอบต่อนาทีให้แรงบิดสูงสุด 325 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual-Clutch 7 สปีด เช่นกัน สามารถเลือกได้ทั้งรุ่น ขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ และ 4 ล้อ

ดีไซน์ภายนอก จะติดตั้งไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อมกระจังหน้าทรงตะแกรงเด่นชัดซึ่งเป็นเส้นสายเอกลักษณ์สวยหรูแบบสไตล์ SUV เส้นสายช่องระบายลม เชื่อกันตั้งแต่ด้านซ้ายจนไปถึงด้านขวา พร้อมเซนเซอร์หน้า 4 จุดเพิ่มความปลอดภัยในการกะระยะด้านหน้า

ระบบภายในห้องโดยนสารติดตั้งเป็นหน้าจอแบบ อินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมด้วยมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล เสริมด้วยหน้าจอ Head-up Display ขนาด 10 นิ้ว แสดงผลแบบสี และที่น่าสนใจคือ ระบบหัวเกียร์จะเป็นแบบหมุนเหมือนกับที่เราเห็นใน Rang Rover

ในรุ่นนี้เสริมด้วยระบบการถอยหลังอัตโนมัติ โดยสามารถย้อนกลับเส้นทางเดิมได้สูงสุด 50 เมตรเหมาะสำหรับการถอยหลังในพื้นที่แคบๆ และยังมีระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมของผู้ขับเลยแม้แต่น้อยโดยทุกรุ่นย่อยจะติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 ใบ มาให้เป็นอุปกรณ์มาตราฐานจากทางโรงงาน

อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

ปัญหาเรื่องเบรค สังเกตก่อนเกิดอันตรายถึงชีวิต

ระบบเบรคเป็นรถบบที่สำคัญอีกหนึ่งจุดที่ต้องใส่ใจและดูแล เพราะเป็นส่งสำคัญอันดับแรกๆ ในเรื่องของความปลอดภัย ในการเดินทาง ทั้งช่วยหยุดและชลอความเร็วของรถ ก่อนเกิดอุบัติเหตุและเป็นอุปกรณ์ที่มีชิ้นส่วนมากมายและจะต้องใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงของการขับขี่ในแต่ละครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงจราจรติดขัดหรือแม้กระทั่งลงทางลาดชัน ถ้าหากระบบเบรคมีปัญหาก็อาจจะทำให้ถึงชีวิตเลยก็เป็นได้ครับ

อาการเบรคสั่น

อาการเบรคสั่นจะรู้สึกได้ที่พวงมาลัยเมื่อมีการเหยียบเบรค บางครั้งอาจจะสั้นมากหรือสั้นน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วในการเบรคแต่ละครั้ง นั้นก็อาจมีสาเหตุมากจากจานเบรคคด บิดตัว หรือมีการโก่ง งอ หรือเอียง ซึ่งเกิดจากการเหยียบเบรคที่รุนแรงเป็นประจำ หรือสาเหตุเกิดจากการเหยียบเบรคจนความร้อนสูงและมาสัมผัสกับน้ำจึงเกิดการบิดตัวได้ง่าย ทำให้จานเบรคนั้นไม่สามารถสัมผัสกับจานเบรคได้อย่างเต็มหน้า แนะนำว่าเบื้องต้นควรเจียรจานเบรคให้หน้าเสมอกัน หรือเปลี่ยนจากเบรคไปเลยก็ดีครับ

เบรคมีเสียงดัง

เมื่อเหยียบเบรคในแต่ละครั้งแล้วได้ยินเหมือนมีการเสียดสีของเหล็กกับจานเบรคและเบรคไม่ค่อยอยู่อาจจะรู้สึกได้ถึงเหล็กที่เสียดสีกันก็หมายความว่าผ้าเบรคของคุณกำลังจะหมด หรือถ้าหากได้ยินเสียงแหลมหรือเสียงการบดวัตถุบางอย่างก็อาจจะเกิดจากเศษหินหรือเศษดิน หรือเศษฝุ่นแข็งๆ เข้าไปติดตรงหน้าผ้าเบรคหรือคาลิปเปอร์จนทำให้เกิดเสียง

ปลดเบรคมือแล้วแต่ยังมีไฟเตือน

โดยปกติแล้ว การปลดเบรคมือทุกครั้งสัญญาณไฟจะต้องดับลง แต่ถ้าหากพบว่าการดึกเบรคมือแล้วไฟยังติดอยู่ให้มั่นใจว่าคุณปลดเบรคมือลงหมดแล้ว แต่ถ้าหากไฟยังติดอยู่ให้ตรวจเช็คปัญหาเบื้อต้นอย่าง ระบบเบรค หรือน้ำมันเบรค เริ่มมีปัญหาหรือขาดพร่อง สามารถสังเกตได้จากการเหยียบเบรค ว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆหรือไม่ เพราะอาจจะเกิดจากผ้าเบรคสึกหรอ

เบรคแล้วรถทรงตัวไม่อยู่

ในกรณีที่ เบรคแล้วมีอาการทรงตัวไม่อยู่อาจจะเกิดจาก ระบบคาลิปเปอร์เบรคในาแต่ละล้อไม่เท่ากัน จึงทำให้รถเสียสมดุลและการทรงตัวหรือจากเบรคมีความลื่นไม่เท่ากันเนื่องจากอาจจะมีสารหล่อลื่นจากส่วนอื่นติดภายในจานเบรคจึงทำให้น้ำหนักของการเบรคเปลี่ยนไป โดยวิธีการเช็คคือ หากรถปัดไปทางซ้ายให้เช็คระบบเบรคทางขวานั้นเอง

เบรคไม่อยู่ หรือเรียกกันว่าเบรคแตก

อาการเบรคไม่อยู่หรือเรียกว่าเบรคแตก คือการเหยียบเบรคจนสุดแล้ว แต่รถก็ยังเคลื่อนที่อยู่ นั้นเกิดจากอาการน้ำมันเบรคขาดหรือ น้ำมันเบรครั่ว เกิดจากท่ออ่อนแตกหรือแม่ปั้มเบรคเสียหายจนน้ำมันเบรครั่วไหลจนหมด หรือชิ้นส่วนระบบเบรคหลวมหรือเสื่อมสภาพ หากรถเบรคแตกพยายามชลอรถด้วยแรงฉุดของเครื่องยนต์และค่อยๆเข้าสู่ที่ปลอดภัย ชะลอความเร็ว หากดึกเบรคมือแรงเด็ดขาดเพราะจะทำให้รถหมุนจนพลิกคว่ำได้

เบรคมีกลิ่นไหม

หากเบรคแล้วเกิดกลิ่นไหม้ นั้นเป็นเเพราะเกิดจากการเบรคอย่างรุนแรงหลายๆครั้งอย่างต่อเนื่องจนทำให้จานเบรคและคาลิปเปอร์ เกิดความร้อนสูง ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงลงทางชันหรือลงจากเขา จนทำให้ต้องเหยียบเบรคบ่อยๆ เป็นเหตุทำให้เกิดความร้อนสะสมกับชิ้นส่วนต่างๆ จนให้เกิดการไหม้น้ำมันเบรคร้อนจัดถึงจุดเดือดผ้าเบรคมีกลิ่นไหมทำให้เกิดอาการเบรคตายและไม่สามารถทำงานต่อไปได้ แนะนำว่าการขับลงเขาจะต้องอาศัยการใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้กำลังเครื่องฉุดลดการทำงานของเบรคครับ

อ่านสาระน่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่

อยากออกรถมือสองแบบฟรีดาวน์ ต้องทำยังไง?

ออกรถแบบ “ฟรีดาวน์” หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ เพราคำว่าซื้อรถมือสองแบบฟรีดาวน์ เป็นการโฆษณาที่จูงใจสำหรับคนต้องการอยากมีรถซะเหลือเกิน แล้วคุณทราบหรือไม่ครับว่า การออกรถแบบฟรีดาวน์ มันทำได้จริงแล้วทำอย่างไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง วันนี้ Kitsadagoodcar จะมาแนะนำให้ทราบกันครับ

การออกรถฟรีดาวน์นั้นคืออะไร

โดยปกติแล้วการออกรถคุณจะต้องจ่ายเงินวางดาวน์ส่วนหนึ่ง เพื่อเริ่มต้นในการจัดไฟแนนซ์ แต่การฟรีดาวน์นั้นคุณสามารถออกรถได้เลย โดยหลังจากการตรวจสอบเครดิตของคุณอยู่เกณฑ์ดี และก็ทำสัญญาการผ่อนกับไฟแนนซ์ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องวางเงินดาวน์แต่อย่างใดเพราะไฟแนนซ์ปล่อยให้กู้เต็มจำนวนวงเงินตัวอย่างเช่นต้องการออกรถที่ราคา 400,000 บาท แต่ยอดจัดไฟแนนซ์รถยนต์นั้นสามารถจัดได้เทียบเท่าราคา หรือมากกว่าราคารถก็เท่ากับฟรีดาวน์กันไปเลย และยังไม่จำเป็นจะต้องนำเงินก่อนไปออกในวันรับรถแม้แต่บาทเดียว

ทำอย่างไรถึงจะได้ออกรถแบบฟรีดาวน์?

ก่อนอื่นคุณต้องมีเครดิตที่ดีตามเงื่อนไขของไฟแนนซ์ก่อน

  • หารถยนต์ที่มีราคาถุก โดยปกติแล้ว รถยนต์ตลาดที่มีราคาถูกจะเป็นรถยนต์ที่ไฟแนนซ์กำหนด ซึ่งสามารถทราบได้โดยการสอบถามกับไฟแนนซ์โดยตรง ว่ารถที่คุณสนใจในแต่ละรุ่นนั้นมียอดจัดที่เท่ากันหรือเกินกับราคารถหรือไม่
  • หาไฟแนนซ์ที่ให้ยอดจัดสูงๆ ในปัจจุบันไฟแนนซ์มีให้เลือกใช้บริการอย่างมากมาย และสภาวะการแข่งขันไฟแนนซ์จะมีการให้ดอกเบี้ยต่ำ และ ยอดจัดสูงแต่ละไฟแนนซ์จะมียอดจัดในรถแต่ละรุ่นที่ต่างกัน ฉะนั้นแนะนำให้ศึกษาและพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ

แค่นี้ก็จะทำให้คุณสามารถออกรถฟรีดาวน์ได้ แต่ก็จะต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นแต่ก็ต้องยอมรับว่า การฟรีดาวน์นั้น จะต้องเจอกับราคาค่างวดที่สูงตามมาด้วย ฉะนั้น แนะนำให้คิดให้ดีๆก่อนนะครับว่า ในแต่ละงวดคุณไหวจริงๆหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เจอปัญหาอื่นๆตามมา

หากต้องการรถมือสองสภาพดี หรือต้องการที่ปรึกษาทางด้านการออกรถอย่างมืออาชีพ
สามารถติดต่อมาได้ที่เบอร์ 083-222-2203

หรือติดต่อแอดมินโดยตรงได้ที่ www.facebook.com/kitsadagoodcarKDG

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม