เปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อ ผิดกฎหมายหรือไม่ มาทำความรู้จักไฟตัดหมอกกัน

เปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อ ผิดกฎหมายหรือไม่ มาทำความรู้จักไฟตัดหมอกกัน

ไฟตัดหมอกถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่รถยนต์ในปัจจุบันควรจะต้องมี เรียกว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานโรงงานผลิตและเป็นอุปกรณ์สุดจะจำเป็นอันที่จริงแล้วไฟตัดหมอกนั้นถือกำเนิดขึ้นในผู้ใช้รถยนต์ในภูมิประเทศที่มีภูเขาสูง อากาศหนาว รวมถึงประเทศที่มีสภาพอากาศแปรปวนฝนตกหนักอยู่บ่อยครั้ง โดยปัจจุบันการท่องแที่ยวตามแนวธรรมชาติจะเป็นทางเลือกการพักผ่อนสำหรับคนเมือง ไฟตัดหมอกนั้นจึงมีความสำคัญ ฉะนั้นลองมาทำความรู้จักชนิดของไฟตัดหมอกรวมไปถึงกฎข้อบังคับของการใช้ไฟตัดหมอกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นดีกว่าครับ

คุณสมบัติของไฟตัดหมอก

อันที่จริงแล้วในปัจจุบันนี้ไฟตัดหมอกจะมี 3 ลักษณะ เป็นแบบใช้ในเมือง ป่าเขาหรือ รวมไปถึงพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแปรปวน ดังนี้

ฟอก แลมพ์ส (FOG Lamps) ไฟตัดหมอกประเภทสังเกตได้จากเส้นหน้าโคมแบบทำมุมเอียงกับถนนเป็นสปอร์ทไลท์ที่ส่องได้ไกลไม่เกิน 10-15 เมตร และรัศมีของไฟจะกระจายแบบ 90 องศาของหน้าโคมและมีคุณสมบัติในการหักเหของแสงดีมาก นิยมติดตั้งกับรถเก๋งวิ่งในเมืองทั่วๆไปหรือไฟตัดหมอกที่ติดตั้งมาจากโรงงานผลิต ซึ่งมีต้นทุกและราคาที่ไม่สูงมากโดยส่วนใหญ่แล้ว ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่หลอดฮาโลเจนเท่านั้น ในรถเมืองหรูๆบางรุ่นจะเป็น LED ซึ่งจะให้ความสว่างที่ชัดเจนกว่า

ไดวิง แลมพ์ส (Driving Lamps) ไฟตัดหมอกแบบระนาบกับพื้นถนนสามารถส่องได้ไกลตั้งแต่ระยะ 30-80 เมตร คนทั่วไปนิยมหาซื้อติดตั้งและดัดแปลงเอง หรือในรถ SUV หรูๆบางรุ่นก็ติดตั้งจากโรงงานมาให้ที่กันชนหน้า ซึ่งต่อชุดจะมีราคาที่สูงและมักจะใช้ในรถสายลุดอ๊อฟโรด ติดตั้งบนหลังคา ประสิทธิภาพในการส่องสว่างจะชัดเจนให้ความทะลุทะลวงได้ดีพอสมควรอยู่ที่ 10-25 องศา เหมาะกับการเดินทางเส้นทางที่ไม่มีไฟในป่าเขา หรือจำเป็นต้องเดินทางกลางคืนบ่อยๆ

เพนซิล บีม แลมพ์ส (Pencil Beam Lamps) สามารถสังเกตได้จากลักษณะของหน้าโคมจะไม่มีเส้นหักเหแสง และสำแสงจะพุ่งตรงเป็นจุดๆ แต่จะมีความกว้างองศาของแสงน้อยกว่าแบบอื่น เพียงแค่ 5-15 องศาเท่านั้น และประโยชน์ของไฟประเภทนี้สามารถทะลุทะลวงไปได้ไกล และมักจะใช้ในการแข่งขันรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ หากใช้บนถนนก็จะแยงตาผู้ที่ขับขี่สวนทางเอามากๆ

การเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่?

อันที่จริงแล้วการเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อนั้นมีความผิดหากเราใช้ในสถานการณ์อันไม่พอเหมาะพอควร อาจโดนปรับได้เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็น โดยตามกฎหมายมีการระบุไว้อย่างชัดเจนตาม พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ไฟตัดหมอกสามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย อย่างเช่น หมอก ควัน ฝุ่นละออง ฝนตกหนัก รวมถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการในการเดินทาง หรือรถที่สวนมาในระยะของแสง ไฟ 150 เมตร หากคุณเป็นคนที่ชอบเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรืออยู่บ่อยๆ อาจจะต้องทำความเจ้าใจกันใหม่นะครับเพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม :

น้ำยาหล่อเย็นดีกว่าน้ำเปล่าอย่างไร

หากย้อนกลับไปในอดีตการใช้น้ำเปล่าเติมหม้อน้ำเพื่อเป็นของเหลวในระบบหล่อเย็นอันที่จริงแล้วไม่ควรเติมด้วยน้ำเปล่าแต่วิวัฒนาการเทคโนโลยีสมัยนั้นยังไม่สูงจึงยังไม่มีน้ำยาหล่อเย็นครับ แต่ในปัจจุบันน้ำยาหล่อเย็นเข้ามาแทนที่น้ำเปล่า มาดูข้อดีของการใช้น้ำยาหล่อเย็นกันครับ ว่ามันดีกว่าน้ำเปล่าแบบเดิมๆ ยังไงแล้วประโยชน์ของน้ำยาหล่อเย็นนั้นมีอะไรบ้าง

น้ำยาหล่อเย็นดีกว่าน้ำเปล่าอย่างไร

น้ำยาหล่อเย็นมีส่วนผสมของแอทธิลีน ไกคอล ซึ่งคุณสมบัติหลักๆ ช่วยให้น้ำเดือดช้าลงเมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัดๆ โดยปกติแล้วน้ำเปล่าจะมีจุดเดือดที่ 100 องศา เมื่อใช้เครื่องยนต์ในรอบสูงๆ แล้วน้ำเปล่าก็จะค่อยๆระเหยไปในช่วงจุดเดือด แต่คุณสมบัติของน้ำยาหล่อเย็นนั้นมีจุดเดือดที่สูงกว่าน้ำเปล่าคือ 120-125 องศาเซลเซียส ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ชิ้นส่วนต่างๆนั้นมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวขึ้นและยังช่วยป้องกันสนิม หม้อน้ำรั่วน้ำยาหล่อเย็นยังมีส่วนผสมของหัวเชื้อป้องกันสนิม ตระกรัน และตะกอนซึ่งจะสดความเสี่ยงในเรื่องของการอุดตันและทำให้อุปกรณ์ภายในเสียหาย ไม่ทำให้สนิมกัดกร่อนซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบหม้อน้ำรั่ว

ในปัจจุบันผลิตภันฑ์น้ำยาหล่อเย็นมี 2 แบบ ทั้งเป็นหัวเชื้อน้ำยาหล่อเย็นขนาด 1000 ml และน้ำยาหล่อเย็นแบบแกลอน 4 ลิตร ซึ่งวิธีการเติมก็จะต่างกัน

วิธีการผสมและการเติมน้ำยาหล่อเย็น

โดยหัวเชื้อน้ำยาหล่อเย็นแต่ละขวดจะอยู่ที่ 1000 ml และจะต้องผสมน้ำก่อนใช้ในอัตราส่วน 50:50 คือ โดยให้ผสมที่แกลอนหรือถังน้ำในอัตราส่วน น้ำยาหล่อเย็น 1000 ml น้ำเปล่า 1000 ml ก็จะได้ 2000 ml ก็คือ 2 ลิตร แต่โดยส่วนใหญ่ หม้อน้ำรำยนต์จะต้องเติมประมาณ 3.7 ลิตร ฉะนั้นจะต้องซื้อมา 2 ขวด แต่ถ้าเป็นน้ำยาหล่อเย็นแบบ แกลอน 4 ลิตรจากศุนย์ก็สามารถเติมได้ทันที

โดยส่วนใหญ่แล้วน้ำยาหล่อเย็นจะมีสีสะท้อนแสงเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบการรั่วซึมจุดรอบรั่วต่างๆของระบบ การรั่วซึมของระบบมักจะเกิดจากปัญหาการใช้น้ำเปล่ามาเป็นระยะเวลานานแล้วค่อยเปลี่ยนมาใช้น้ำยาหล่อเย็นฉะนั้น พยายามใช้น้ำยาหล่อเย็นดีกว่านะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม:

4เทคนิคการขับรถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน

หลายๆคนคงเข้าใจผิดกันมาตลอดว่า การใช้รอบต่ำตลอดเวลานั้นจะทำให้ประหยัดน้ำมันที่สุด แต่อันที่จริงแล้วเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการใช้รอบต่ำๆนั้น จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังที่น้อยและความเร็วจะค่อยๆตก จึงทำให้่คุณต้องลดเกียร์แล้วเร่งขึ้นมาใหม่ หรือต้องเติมคันเร่งมากกว่าเดิม

ฉะนั้นบทความนี้จะมาบอก 4 เทคนิคกันครับว่าการขับขี่ให้ประหยัดน้ำมันจริงๆ นั้นทำอย่างไร ไม่ยากเลย

1.ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม และ สม่ำเสมอ

เรียกว่าเป็นหลักพื้นฐานที่หลายคนก็ทราบกันดีว่าการขับรถที่ความเร็ว 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นทำให้ประหยัดน้ำมัน แต่มันก็ไม่จริงเสมอไปถ้าหากว่าคุณควบคุมความเร็วไม่สม่ำเสมอ เพราะว่าการเหยียบเติมคันเร่งในแต่ละครั้งจะใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นเพราะภาระของเครื่องยนต์นั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของตัวรถ

2.ค่อยๆออกตัวค่อยๆเติมคันเร่ง

การออกตัวกระชากหรือออกตัวแรงนั้นเป็นการผลาญเชื้อเพลิงอย่างมาก เพราะการออกตัวจะเป็นช่วงจังหวะที่เครื่องยนต์รับภาระของน้ำหนักรถมากที่สุด จึงควรค่อยๆออกตัวอย่างเบาๆและค่อยๆเติมคันเร่งขึ้นไปเรื่อยๆดีกว่าครับ

3.ใช้การชลอมากกว่าการเบรค

เป็นการประเมิณสถานการณ์ล่วงหน้าเช่นเจอไฟแดง แล้วกำลังจะไฟเขียวก็ค่อยๆปล่อยรถให้ค่อยๆไหลและไปต่อ เพื่อหลียกเลี่ยงการออกตัวใหม่อีกครั้งก็จะทำประหยัดน้ำมันได้เหมือนกัน

4.การปล่อยรถให้ไหลไปเรื่อยๆและค่อยเติมคันเร่งเบาๆ

เทคนิคนี้เป็นเทคนิกที่สามารถใช้ได้ในทุกๆวัน สำหรับเกียร์ออโต้ คือการขับด้วยเกรียร์ “D” ปกติ แต่มีการยกคันเร่งให้รถค่อยๆไหลไปเรื่อยๆเมื่อความเร็วกำลังลดลงก็ค่อยๆแตะรักษาความเร็วให้คงที่เบาๆ สำหรับเกียร์ธรรมดาก็คือการเหยียบคลัชแล้วปล่อยให้รถไหลเมื่อความเร็วกำลังลดก็ค่อยๆเติมเบาๆคล้ายเกียร์ออโต้ครับ

เรียกว่าเป็น 4 เทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันง่ายๆ ที่อาจจะต้องใช้ความเคยชินประกอบกับความใจเย็น เพียงแค่คุณไม่ขับรถเร็วหรือแข่งบนถนนก็จะทำให้คุณทั้งปลอดภัยและประหยัดเงินกับการเสียค่าเชื้อเพลิงที่น้อยลงนะครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม :

ซีลน้ำมันส่วนไหนกำลังรั่วซึม สังเกตุที่สีของน้ำมัน

อาการน้ำมันรั่วซึมโดยส่วนใหญ่เป็นอาการของรถที่ผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลาหลายๆ ปี ก็จะมีโอกาสการสึกหรอของซีลยางหรือแหวนยางโอริง สาเหตุอาจจะเกิดจากความร้อน การเกิดอุบัติเหตุ การชนหรือกระแทก ก็สามารถทำให้ยางซิลน้ำมันนั้นมีการรั่วซึมได้เช่นเดียวกัน

วิธีสังเกตุสามารถดูได้จากสีและตำแหน่งของน้ำมัน

ตำแหน่งของน้ำมัน

  • รอยหยดที่อยู่ด้านซ้ายของตัวรถ อาจจะเป็นการรั่วซึมของน้ำมันเกียร์ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจาก ซีลเพลาขับเสื่อมสภาพและฉีกขาด เนื้อยางแข็งไม่สามารถเก็บน้ำมันได้ หรืออาจจะเกิดการรั่วซึ่มของอ่างน้ำมันเกียร์หรืออาจจะรั่วซึมจากการหลวมของน้ำมันเกียร์
  • รอยหยดอยู่ด้านขวาของตัวรถ อาจจะเป็นการรั่ว อาจจะเป็นน้ำมันเครื่องรั่ว สาเหตุหลักอาจจะเกิดจากจากซิลอ่างน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพยางแข็งหรือฉีกขาด หรืออาจจะเป็นกรองน้ำมันเครื่องหลวมหรือไม่ไม่เข้าตำแหน่ง

สังเกตุจากสีของน้ำมัน

สีของน้ำมันเครื่อง จะเป็นสีเหลืองอำพัน น้ำตาล หรือสีดำ ถ้าหากเป็นสีเหลืองอำพันใสก็อาจจะเกิดจากการรั่วของซิลกรองน้ำมันหลังจากที่พึ่งเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน

สีแดงและมันลื่น เป็นสีของน้ำมันเกียร์และจะใสกว่าน้ำมันเครื่อง ถ้าหากว่าคุณสงสัยว่าน้ำมันเกียร์ขาดหรือไม่สามารถดูได้จากคู่มือการวัดระดับน้ำมันเกียร์

สีแดงเข้มอมน้ำตาลคล้ายข้องสีน้ำกระเจี๊ยบ ซึ่งอันที่จริงแล้วในรถยนต์หลายๆยี่ห้อ ก็ใช้น้ำมันพาวเวอร์ตัวเดียวกันกับน้ำมันเกียร์แหละครับ(แต่แนะนำให้ศึกษาก่อนเพราะบางยี่ห้อนั้นไม่สามารถใช้ได้) ถ้าหากเห็นว่าเป็นสีแดงเข้มว่าคุณให้สันนิสฐานว่าเป็นน้ำมันพาวเวอร์ ไว้ก่อนเลยครับ

สีชมพู เขียว เหลือง น้ำเงินเข้มหรือสีอื่นๆ

ให้สันนิษฐานว่าเป็นระบบหล่อเย็น หม้อน้ำแนะนำว่าให้ตรวจสอบถังระบายน้ำว่ามีอะไรอยู่ในระบบหรือระดับน้ำจากถังพักน้ำลดลงหรือไม่ อันที่จริงแล้วน้ำหล่อเย็นมีการระเหยจากความร้อนน้อยกว่าน้ำธรรมดามากแต่การที่น้ำพร้องมากๆ ก็อาจจะเกิดจากการรั่วซึมได้

สีน้ำตาลอ่อน อาจจะเป็นน้ำมันเบรค หากถ้ายังใหม่ๆจะเป็นสีใสๆแต่เมื่อใช้ไปนานๆก็จะเป็นน้ำตาลขุ่นๆเข้มๆ และน้ำมันเบรคจะมีลักษณะที่ลื่นควรตรวจเช็คระดับน้ำที่ข้างกระบอกว่าต่ำกว่าขีดมากหรือไม่

หากทราบว่าน้ำมันเบรคมีอาการรั่วไม่ควรใช้งานต่อหรือปล่อยทิ้งไว้เพราะเมื่อน้ำมันเบรคพร่องมากลงเรื่อยอาจจะเป็นอันตรายจากสาเหตุเบรคไม่อยู่ได้

ค่าซีเทน (Cetane) คืออะไร คนใช้ดีเซลควรรู้

ค่าซีเทนนั้นคืออะไรหลายๆ คนอาจจะได้ยินในบทความนี้เป็นครั้งแรกว่า (Cetane Number) เป็นหน่วยวัดของคุณภาพของน้ำมันดีเซลซึ่งจะคล้ายๆกันกับค่าออกเทน ซึ่งในส่วนของคะแนนค่าซีเทนนั้นควรจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่า 45 ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์นั้นทำงานได้ราบรื่นและสตาร์ทเครื่องยนต์ ได้ง่ายไม่เกิดการน๊อคและการเขกของเครื่องยนต์ อีกทั้งการทำงานที่ราบรื่นจะช่วยให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิงอีกด้วย

เลขออกเทน (Octane number)ค่าตัวเลขที่แสดงเป็นร้อยละโดยมวลของไอโซออกเทนในของผสมระหว่างไอโซออกเทนและเฮปเทน ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้
เลขออกเทนเป็นตัวเลขที่ใช้บอกคุณภาพของน้ำมันเบนซินในรถยนต์

ค่าซีเทน คือค่าตัวเลขที่แสดงเป็นร้อยละโดยมวลของซีเทนในของผสมระหว่างซีเทน (C16H34) และแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน (C11H10) ซึ่งเกิดการเผาไหม้หมดจด บ่งบอกคุณภาพการจุดระเบิดเผาไหมข้องน้ำมันดีเซล และค่าซีเทนนั้นจะเป็นตัวชี้วัดมาตราฐานของประสิทธิภาพการจุดระเบิดของเชื้อเพลิงและการบีบอัด ทั้งแบบดีเซลและไบโอดีเซล

ซึ่งไฮโดรคาร์บอนหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดจะถูกวัดที่ตัวเลข 100 คือ น้ำมันดีเซลที่มีสมบัติการเผาไหม้เช่นเดียวกับซีเทน 100% โดยมวลน้ำมันดีเซลที่มีเลขซีเทน 0 คือ น้ำมันดีเซลที่มีสมบัติการเผาไหม้เช่นเดียวกับแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน 100% โดยมวล
น้ำมันดีเซลที่มีเลขซีเทน 80 คือ น้ำมันดีเซลที่มีสมบัติการเผาไหม้เช่นเดียวกับซีเทนร้อยละ 80 โดยมวล ในการผสมระหว่างซีเทน และแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน

ค่าซีเทนในดีเซล และค่าออกเทนในเบนซินนั้นมีความคล้ายกันคือ การกำหนดคุณภาพการเผาใหม้ของน้ำมัน หมายถึงความสามารถในการต้านทานการจุดระเบิดแบบอัตโนมัติ (เรียกว่าจุดระเบิดก่อนเครื่องเขก) ค่าซีเทนจะเป็นตัวชี้วัดความล่าช้าของการเผาไหม้ที่รวดเร็วและสมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นนั่นเอง

การหาค่าซีเทนและออกเทนมีความสำคัญมากสำหรับการทำงานของน้ำมันเชื้อเพลิง วัดด้วยเครื่องยนต์มาตราฐานแบบสูบเดียวที่สามารถปรับอัตราส่วนตัวอัดไว้ เรียกเครื่องยนต์นั้นว่า CFR (Cooperative Fuels Research) ในกระบวนการ ตามวิธี ASTM D 2699 และการวัดค่าเหล่านี้ยังมีอีกหลายวิธีแล้วแต่จุดประสงค์และประเภทของน้ำมันอีกด้วย ซึ่งมีชื่อเรียกดังต่อไปนี้

Research Octane Number (RON) หรือ F-1 สำหรับเบนซินรถยนต์
Motor Octane Number (MON) หรือ F-2 สำหรับเบนซินรถยนต์
Aviation (High Speed) หรือ F-3 สำหรับเบนซินอากาศยาน
Supercharge หรือ F-4 สำหรับเบนซินอากาศยาน

ซึ่งน้ำมันดีเซลแต่ละชนิดที่เราใช้ก็มีการคะแนนซีเทนชี้วัดแต่ละชนิดได้ดังนี้

  • ดีเซลทั่วไปจะอยู่ที่ – 48
  • ดีเซลพรีเมี่ยม – 55
  • ไบโอดีเซล (B100) -55
  • ไบโอดีเซล (B20) – 50

จึงไม่แปลกว่า ทำไมในปัจจุบันประเทศไทยจึงได้พยายามผลักดันน้ำมันในกลุ่ม B10 นั้นมาเป็นดีเซลหลักซึ่งนอกจากจะลดปัญหาในเรื่องของฝุ่นจากการเผาไหม้ที่ไม่หมดจดแล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการจุดระเบิดที่ดีกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไปอีกด้วย

อ่านสาระน่าู้เพิ่มเติมได้ที่ :

Vinfast President 2021 รถยนต์ SUV สัญชาติเวียดนาม จ่อบุกตลาดรถหรู

Vinfast President 2021 รถยนต์ SUVสัญชาติเวียดนาม จ่อบุกตลาดรถหรู

Vinfast รถยนต์สัญชาติเวียดนาม ภายใต้ในเครือ VinGroup ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นบริษัทในเครืออสังหาริมทรัพย์ สุขภาพการศึกษา เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในเวียดนาม

และได้จ่อบุกตลาดรถยนต์หรูโดยการการส่ง SUV ที่ใช้พื้นฐานของ Vinfast LUX SA2.0 รถยนต์อเนคประสงค์ที่วินฟาสท์ผลิตขึ้นบนแพลทฟอร์มของ BMW X5 ก่อนตัว F15 และมีความยาวขนาดตัวที่ 5,146 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุขนาด 6.2 ลิตร ผลิตโดยบริษัท GM (General Motors) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF ทำให้ VinFast President มีกำลังสูงสุดถึง 420 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 63.5 กก./เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

ในด้านการตกแต่งภายใน ถือว่าไม่เป็นสองรองแบรนด์ตลาดอย่าง BMW เพราะโดดเด่นด้วยการใช้วัสดุคุณภาพในหลายๆจุด คอนโซลหน้าเป็นหนังตัดเส้นสายด้วยอลูมีเนียมทั้งแผงและสลับลายไม้วีเนียร์หรูหราลงตัว พร้อมด้วยจอแสดงผลภาพแบบระบบ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว

VinFast President เปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 3,800 ล้านดง หรือราวๆ 5.2 ล้านบาท นับว่าเป็นรถ SUV ในกลุ่ม luxury ที่มีราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

อ่านข่าวสารอื่นๆได้ที่:

Suzuki Swace 2021 ร่างโคลนนิ่ง Toyota Corolla Touring Sports ยิ่งกว่าแฝด

Suzuki Swace 2021 ร่างโคลนนิ่ง Toyota Corolla Touring Sports ยิ่งกว่าแฝด

ทางค่าย Suzuki ได้ประกาศเตรียมเปิดตัว New Swace ในช่วงปี 2021 ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งเป็นรถในกลุ่มตลาด Wagon 5 ประตูเน้นความคล่องตัว ซึ่งหลายๆคนเมื่อได้เห็นครั้งแรกจะนึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เพราะว่ามันช่างคล้ายกันกับ TOYOTA Corolla Touring อย่างกับฝาแฝด

ไม่แปลกที่จะเหมือนเพราะ New Suzuki Swace นั้นเป็นอีกหนึ่ง Project ที่ทาง SUZUKI ได้ทำร่วมกับ TOYOTA นั่นเอง ซึงพื้นฐานของตัวรถนั้นก็มาจาก TOYOTA Corolla Touring Sports ทั้งภายในและภายนอกทั้งไฟหน้าและไฟท้าย แต่เปลี่ยนลวดลายของเส้นสายกันชนหน้าเล็กน้อย

New Suzuki Swace มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด ให้แรงม้าสูงสุดที่ 122 Ps ส่งกำลังได้ทั้งทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปล้วน หรือ ไฟฟ้าล้วนแบบ (EV) และยังสามารถขับเคลื่อนโดยใช้เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าไปพร้อมกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการขับขี่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังที่อยู่ 53 กิโลวัตต์ และความสำคัญคือมีการปล่อยค่า CO2 ที่ต่ำสุดถึง 99 กรัมซึ่งตรงนี้เป็ณมิตรกับสิ่งแวกล้อมเป็นอย่างมาก

ในส่วนของ New Suzuki Swace คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับรุ่น New Suzuki Across เป็น SUV อีกรุ่นที่ถือว่าเป็นร่างโคลนนิ่งของ TOYOTA Cross มีแผนการเปิดตัวที่ฝั่งยุโรปในช่วงกลางปีเป็นที่แรกต้องคอยติดตามครับว่าจะวางตลาดที่ประเทศไหนบ้าง

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

ตอกย้ำให้ชัดขึ้น Nissan Z Proto (400Z) พร้อมราคาและเวลาวางจำหน่าย

ตอกย้ำให้ชัดขึ้น Nissan Z Proto (400Z) พร้อมราคาและเวลาวางจำหน่าย

Nissan Z Proto (400Z) ถือว่าเป็นรถที่ทิ้งระยะห่างของรุ่นก่อนเป็นระยะเวลาที่มากพอสมควร ซึ่งก่อนหน้ามีข้อถกเถียงกันว่า จะใช้ชื่อ 400Z หรือไม่ แต่แล้วสุดท้ายก็ได้ความชัดเจนแล้วว่าจะใช้เป็น Z Proto ซึ่งหมายถึง “ต้นแบบ” แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็ยังคงเรียกติดปากว่า 400Z อยู่ดี

เส้นสายของการออกแบบและรายละเอียดต่างๆยังคงความคลาสสิกเหมือนกับรุ่นแรกๆ คาดว่ามาคราวนี้ใช้ V6 เทอร์โบชาร์จคู่ เครื่องยนต์เดียวกันกับ Infinity 370Z ตรงนี้ชัดเจนแน่นอนตามที่เคยรายงานไว้ และมีพละกำลังคาดว่าจะสูงถึง 400 แรงม้า (298 กิโลวัตต์) เลยทีเดียว

เรียกว่ากลับมาคราวนี้สามารถเทียบเคียงพละกำลังไม่เพียงแค่ 332 แรงม้า (248 กิโลวัตต์) เหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้ใน 370Z แต่มาครั้งนี้หลายค่ายก็หวั่นๆเหมือนกัน เพราะสามารถเทียบได้กับ TOYOTA Supra ที่ให้พละกำลัง 382 แรงม้า (285 กิโลวัตต์) และยังเรียกว่าสูงกว่า Ford Mustang และ Chaverolet Camaro SS ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

V6 เทอร์โบคู่ใหม่ของ Z Proto จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดขับเคลื่อนลงที่ล้อหลังและในส่วนเกียร์อัตโนมัติกำลังอยู่ในขึ้นพัฒนาต้องติดตามกันต่อนะครับ

ตัวถังภายนอกออกแบบให้มีเส้นสายของความสปอร์มผสมผสานความคลาสสิกด้วยลายเส้นเรโทรแบบยุกต์เก่าผสมผสานเทคโนโลยียุกต์ใหม่ได้ลงตัว และยังคงเส้นความเป็นหน้ายาวหลังคาเตี้ยเหมือนกับรุ่น 240Z ใช้ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว และท่อคู่
มิติตัวถัง ขนาด Nissan Z Proto นั้นใหญ่กว่า 370Z ปัจจุบันเล็กน้อยโดยเฉพาะความยาว Z ใหม่มีความยาว 172.5 นิ้วกว้าง 72.8 นิ้วและสูง 51.6 นิ้ว แต่ในขณะที่ 370Z นั้นมีความยาวเพียง 167.5 นิ้วกว้าง 72.6 นิ้วและสูง 51.8 นิ้ว ซึ่งก็ยังต่างกันเล็กๆน้อยๆ

ภายในไม่ได้ย้อนยุกต์เหมือนกับภายนอกแต่มีการวางรูปแบบที่ดูแล้วสะอาดตา และมาพร้อมกัยหน้าจอที่เป็นหัวใจหลักของห้องโดยสาร แต่ที่โดดเด่นสุดจะเป็นพวงมาลัยแบบสามด้านทรงสปอร์ทที่มองผ่านๆจะนึกถึง BMW M Sport ทันที แต่มีโลโก Z บ่งบอกถึงสายเลือกได้อย่างชัดเจน

เทคโนโลยีที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัย คือแผงหน้าปัดแบบ Digital ขนาด 12.3 นิ้ว ไม่ใช่เข็มอานาล๊อคแบบเดิมๆเรียกว่าคราวนี้ Nissan จะไม่ปล่อยให้แบรนด์อื่นแซงหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไปแล้ว

Motor1

ในส่วนของราคาและการวางจำหน่าย Nissan Z Proto คาดว่าจะถูกวางในตลาดช่วงปี 2022 และคาดว่าจะมีราคาวางจำหน่ายทเริ่มต้นที่ 40,000 ดอลล่า หรือราวๆ (1,280,000 บาท) เรียกว่าตัดราคาของคู่แข่งแบบหน้าตาเฉยเลยทีเดียว

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม:

SakunC รถบัสไฟฟ้าฝีมือคนไทย วิ่งฉิว ไร้เสียง ไม่แพ้ชาติใดในโลก

SakunC รถบัสไฟฟ้าฝีมือคนไทย วิ่งฉิว ไร้เสียง ไม่แพ้ชาติใดในโลก

มาแล้ว รถบัสพลังงานไฟฟ้า 100% ฝีมือคนไทย ของค่าย SakunC ผลิตโดย บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด ได้มีการทดลองวิ่งครั้งแรก จากโรงงานที่สุพรรณบุรีจนไปถึงรังสิต ทำความเร็วได้ถึง 60 – 80 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีสำหรับรถไฟฟ้าขนาดความยาว 12 เมตรคันนี้

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2563 คุณบานชื่น สกุลฎ์โชคนำชัย นายหญิงแห่งโชคนำชัย ออกงานต้อนรับด้วยตนเอง นำโดย ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการ #กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ที่ #อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (สวทช. รังสิต) ใชรถบัสพลังงานไฟฟ้าคันนี้ในการ รับ-ส่ง คณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสวทช. ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล และคณะผู้บริหาร เพื่อติดตามดูผลและประสิทธิภาพการทำงานของรถบัสไฟฟ้าต้นแบบสัญชาติไทยคันนี้อีกด้วย

รูปโฉมหน้าตาดูทันสมัย และยังใช้ตัวถังเป็นวัสดุอลูมีเนียม เบาะนั่งสบายแอร์เย็น ที่น่าประทับใจที่สุดคือ เสียงเงียบและไม่มีมลพิษ และในอนาคตจะมีการปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้หลากหลายมีการปรับให้คานเตี้ยลงเพื่อให้เหมาะสมสำหรับประเทศไทยและสามารถใช้กับคนพิการได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม :

ขับช้าแช่ขวามีค่าปรับ รู้แล้วจะอึ่ง อันตรายผิดวินัยจราจร

ขับช้าแช่ขวามีค่าปรับ รู้แล้วจะอึ่ง อันตรายผิดวินัยจราจร

ขับรถแช่ขวาอันตราย

เส้นทางที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอันที่จริงก็มีกฎหมายบังคับในเรื่องของการใช้ความเร็วในแต่ละเลนส์รวมไปถึงลักษณะการใช้ในแต่ละเลนส์ก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การขับรถแช่ขวาโดยใช้ความเร็วต่ำกว่ากำหนดนั้นมีความผิดเช่นกัน

ตามกฎหมายแล้ว เลนขวามีไว้สำหรับแซงเท่านั้น เมื่อแซงในระยะที่ปลอดภัยแล้ว ผู้ขีบขี่จะต้องตีรถกลับเข้าเลนส์ซ้ายไม่แช่ขวาเพราะเลนขวามีไว้สำหรับรถวิ่งด้วยความเร็วสูง

การขับรถช้าแช่ขวา เป็นการเสียมารยาทหรือวินัยจราจร เพราะช่องทางเดินรถในแต่ละช่องจะต้องใช้ความเร็วที่ไม่เท่ากันเพื่อลดการกีดขวางการจราจรและอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าหากว่าเราสังเกตดีๆ การเกิดอุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นจากการแซงซ้าย (ซึ่งผิดกฎจราจร) อยู่บ่อยครั้ง เพราะการแช่ขวาของคนกลุ่มหนึ่งนั่นเอง

พ.ร.บ. จราจรฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 33, 34, 35 บทกำหนดโทษมาตรา 151, 157 หากผู้ใดขับรถแช่ขวา อาจมีโทษปรับสูงสุด 1,000 บาท

หลายคนคงจะทราบกันดีว่า การขับรถบนทางหลวงนั้นมีกฎจราจรที่ควรปฎิบัติหลายข้อ ทุกข้อล้วนแล้วแต่มีนัยสำคัญและเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งสิ้น

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม: