กำไรนิสสันร่วงหนัก 93% เตรียมปลดพนักงาน

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่ากำไรสุทธิของนิสสันในครึ่งปีแรกร่วงแรงถึง 93% ด้านนายมาโกโตะ อุชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) นิสสันได้เผยว่าผลที่ลดลงมาคือยอดขายจากตลาดทางอเมริกาเหนือที่ซบเซาลง

นิสสันจำเป็นจะต้องใช้มาตรการพิจารณาต้นทุนและจุดแข็งของแบรนด์เพื่อเตรียมการฟื้นฟูแบรนด์ใหม่ในอเมริกา อูชิดะ กล่าว

การเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายนีี้นิสสันต้องใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อพลิกประสิทธิภาพการทำธุรกิจให้มีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาด และเสริมว่า นิสสันจะลำกำลังการผลิตทั่วโลก 20% และลดแรงงานทั่วโลก 9,000 คน

และนอกจากนี้บริษัทอาจจะลดการถือหุ้นใน บริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์ส ด้วยการขายหุ้นคืนบริษัทและการถือหุ้นมิตซูบิชิมอเตอร์ส อาจจะลงสู้ระดับ 24% จาก 34%ในปัจจุบัน

เมื่อถามถึงชัยชนะของโดนัล ทรัมป์ ในการเลือกตั้งสหรัฐ อูชิดะบอกว่านิสสันได้ยินมาหลายเรื่องเช่นเรื่องภาษี แต่มองว่าไม่ได้มีแค่บริษัทเท่านั้นที่มีผลกระทบ

ทั้งนี้ทางนิสสันได้คาดว่า ยอดขายสุทธิอาจจะลดลงเหลืออยู่ที่ 12.7 ล้านล้านเยน หรือ (80,000 ล้านดอลลาร์) ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี่อย่างไรก็ตามนิสสันยังไม่ได้เผยการคาดการณ์กำไรสุทธิจากที่ปรับลดลงคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ค. เหลือ 300,000 ล้านเยน ขณะที่ในช่วง 6 เดือนถึงเดือน ก.ย. กำไรสุทธิอยู่ที่ 19,200 ล้านเยน

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

Suzuki e VITARA รถไฟฟ้า 100% คันแรกเตรียมเปิดปีหน้า

หลังจากที่ Suzuki ได้ประกาศการยุติการผลิตในประเทศไทยจนทำให้หลายๆคนเริ่มรู้สึกกังวลใจ แต่ทาง Suzuki ก็ยังยืนยันว่ายังเดินหน้าทำการตลาดในประเทศไทยต่ออย่างแน่นอน และล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ทาง Suzuki ได้ประกาศการนำเข้ารถรุ่นใหม่ Suzuki e VITARA รถไฟฟ้าคันแรกของค่ายในรูปแบบ Crossover B-SUV แบบ 5 ที่นั่ง 4WD

New Suzuki e VITARA เป็นรถไฟฟ้าแบบ 100% และถือว่าเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกของค่ายเป็นรถในรูปแบบ Crossover B-SUV แบบ 5 ที่นั่ง 4WD พร้อมทำตลาดในประเทศไทยในรูปแบบการนำเข้า

มิติของตัวถัง ยาวที่ 4275 มิลลิเมตร กว้าง 1800 สูง 1635 ระนะฐานของล้อ 2700 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นที่ 180 มิลลิเมตร และช่องเก็บสัมภาระด้านท้ายขนาด 306 ลิตร

ในรุ่นนี้ได้พละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว 144 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 189 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion LFP ขนาดความจุ 49 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front-Wheel Drive

Long Range 2WD

มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว พละกำลังสูงสุดที่ 173 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 189 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion LFP ขนาดความจุ 61 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front-Wheel Drive

Long Range 4WD
มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์ด้านหน้า 173 แรงม้า มอเตอร์ด้านหลัง 65 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุดถึง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion LFP ขนาดความจุ 61 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD

การชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC Fast Charge มากกว่า 150 kW ชาร์จ 15-70% ภายในเวลา 30 นาที ซึ่งเพียงพอต่อการจอดพักและยังสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 402 กิโลเมตร โดยประมาณ (ตามมาตรฐาน WLTP)

ระบบช่วงล่างแบบ All Grip-e พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ eAxils ด้านหน้าและด้านหลังพร้อมด้วยระบบ LSD Limited Slip Differential ด้วยโหมดการขับขี่แบบ Trail Mode ทำงานคู่กับล้ออัลลอยขนาด 18-19 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารจากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่านั่งโดยสารได้ทั้งหมด 5 ที่นั่ง และมีแผงแดชบอร์ดมากับหน้าขอขนาดใหญ่ที่วางแผนแบบลอยตัวที่จะประกอบไปด้วยหน้าจอมาตรวัด Full Digital ขนาด 10.25 นิ้ว และจอเอนเตอร์เทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาน คอนโซลกลางติดตั้งชุดอุปกรณ์ควบคุมแผงแบบปุ่มกด เกียร์ไฟฟ้าแบบมือหมุน Dial Shift เบาะด้านหน้าด้านหลังพับได้ เลือนได้ แยกแบบอิสระ 60:40

อ่านข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม

RIDDARA RD6 ปิ๊กอัพพลังงานไฟฟ้าราคาไม่เกินเอื้อม

RIDDARA RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ทำการเปิดตัวไปในเมื่อช่วงต้นพฤศิกายน ปี 2567 ที่ผ่านมาและเริ่มเปิดจองด้วยค่าตัวที่ถือว่าไม่สูงเกินเอื้อมเพราะเริ่มต้นที่ราวๆ 8.99 แสนบาท และโดยเฉพาะการนำเอาดีไซน์ที่คล้ายกับ SUV มาประกอบกับโครงสร้างตัวถังแบบ โมโนค๊อกเหมือนกับรถเก๋งจึงทำให้เป็นรถกระบะที่ดูขับสนุกแต่ก็ยังพอที่บรรทุกของไว้ที่กระบะท้ายได้บ้าง

RIDDARA RD6 เป็นรถกระบะไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมาเพื่อกลุ่มตลาดไลฟ์สไตล์เป็นหลัก โดยจะไม่ได้เน้นในเรื่องของการบรรทุกหนักเท่าไหร่ถ้าหากเมื่อเปรียบเทียบกับรถกระบะในท้องตลาดที่เรารู้จักนั้นถือว่า RIDDARA RD6 ยังไม่เข้าในกลุ่มของกระบะใช้งานหนัก เพราะสามารถรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 1,030 กิโลกรัมเลย ทีเดียว

อุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถจัดมาว่าครบครันและเพียงพอต่อการใช้งานออกแบบมาตามสไตล์ของยุคสมัยยานยนต์ไฟฟ้าทั้งชุดไฟ LED รอบคัน พร้อมไฟโลโก้ด้านหน้าRIDDARA ขนาดใหญ่เห็นได้ชัดทั้งกลางวันและกลางคืน

ทุกรุ่นย่อยจะได้ตัวถังที่มีรู้ทรงเหมือนกันทั้งหมด โดยจะเป็นรถกระบะแบบ 4 ประตูทุกรุ่นซึ่งแตกต่างที่ระบบขับเคลื่อน และขนาดแบตเตอรี่เท่านั้น

สัดส่วนของตัวถังรถสูงจากพื้นราวๆ 225 มม. และเรียกได้ว่าเพียงพอที่จะสามารถลุยผ่านอุปสรรค์ต่างๆในประเทศไทยได้อย่างสบายๆและยังรองรับการบรรทุกเพิ่มเติม

ไฟท้าย LED เต็มระบบส่วนฝาท้ายมีโช๊คอัพช่วยผ่อนแรงในการเปิดฝากระบะท้ายระบบนี้มีให้ในทุกรุ่นย่อย

ช่องชาร์จแบตเตอรี่จะอยู่ที่ตำแหน่งเหนือซุ้มล้อ แต่อยู่ในตำแหน่งแทบจะกลางลำตัวรถโดยจะสังเกตว่าระยะห่างจากท้ายช่องชาร์จแบตเตอรี่ถ้าหากจกต้องทำการชาร์ตตามช่องบริการก็จะต้องมีสายชาร์จยาวกว่า 1.5 เมตรเป็นอย่างน้อยซึ่งบางครั้งอาจจะเจอสายชาร์จ DC แบบสั้นๆก็ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการชาร์จได้

พื้นที่กระบะหลังมีความยาว 1.25 เมตร กว้าง 1.45 เใตร และสูง 540 มม. วัสดุที่ใช้ทำที่รองพื้นเป็นแบบคอมโพสิตที่มีความแข็งแรงสูงจาก STC สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,030 กิโลกรัม

ช่องจ่ายไฟด้านนอกอยู่ตำแหน่งหลังขวาของตัวรถแบ่งออกเป็นปลั๊ก 3 ตา จำนวน 4 ช่อง ตำแหน่งละ 16A รวมทั้งหมด 6kW

ฟังก์ชั่น RIDDARA RD6

  • ระบบ V2L สูงสุด 6 kW (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone
  • ระบบปรับอากาศสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบกรองอากาศ PM 2.5
  • เบาะปรับเอนแบบ One-touch
  • ระบบระบายอากาศเบาะนั่งด้านหน้าและด้านหลัง (ยกเว้นรุ่นมอเตอร์เดี่ยว)
  • แท่นชาร์จมือถือไร้สาย (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • Apple CarPlay
  • Carbit link
  • กุญแจสมาร์ทคีย์
  • ระบบ Keyless Entry (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • การควบคุมระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน

ระบบช่วยขับ RIDDARA RD6

ระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ RIDDARA RD6 ให้มาแบบจัดเต็มในทุกรุ่นย่อย ยกเว้นรุ่น 63 kWh ประกอบด้วย ดังนี้

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)
  • ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
  • ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA)
  • ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (FDA)

ระบบความปลอดภัย RIDDARA RD6

  • กล้องมองหลังขณะถอยจอดความละเอียดสูง (เฉพาะรุ่น 63 kWh)
  • กล้องมองภาพรอบคัน 540° พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)
  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB
  • ระบบ Auto Hold
  • ถุงลมนิรภัย 4 จุด เฉพาะรุ่น 63 kWH
  • ถุงลมนิรภัย 6 จุด ทุกรุ่นย่อย (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ISOFIX
  • ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS)

ราคา RIDDARA RD6

RIDDARA RD6 เปิดออกมาทั้งหมด 4 รุ่นย่อยด้วยกัน โดยเปิดราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้

  • RIDDARA RD6 รุ่นที่มีขนาดแบตเตอรี่ 63 kWh ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 899,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นที่มีขนาดแบตเตอรี่ 73 kWh ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 999,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นที่มีขนาดแบตเตอรี่ 73 kWh ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,149,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นที่มีขนาดแบตเตอรี่ 86 kWh ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,299,000 บาท

น้ำท่วมรถประกันรถยนต์จ่ายไหม ?

น้ำท่วมรถเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากรถต้องอยู่ในสภาพจมน้ำรอการระบาย กรณีแบบนี้สามารถเคลมประกันได้หรือไม่ วันนี้ทาง กฤษฎากู๊ดคาร์ มีคำตอบมาไขข้อสงสัยนี้กัน!!

ประกันภัยรถยนต์จะมีความคุ้มครองเรื่องภัยธรรมชาติรวมอยู่ทั้งประกันภัยชั้น 1, ประกันภัยชั้น2+ (บางแพ็กเกจ) และชั้น 3+ (บางแพ็กเกจ) ช่วงหน้าฝนมีพายุกระหน่ำ มีโอกาสที่จะเจอน้ำท่วมรถโดยไม่ทันตั้งตัว

รถเสียเพราะน้ำท่วม ประกันรถยนต์จ่ายไหม?

 ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองกรณีน้ำท่วมรถยนต์ ถ้ามีงบจำกัดอาจเลือกประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ 3+ ของบางบริษัท ที่สามารถเพิ่มความคุ้มครองเรื่องน้ำท่วมโดยเฉพาะ
กรณีที่ประกันรถยนต์จ่าย : ขับรถอยู่ท่ามกลางฝนตกหนัก แล้วน้ำค่อยๆ สูงขึ้น จนทำให้น้ำท่วมรถ หรือจอดรถไว้ที่บ้านพักแล้วฝนตกหนัก ทำให้รถยนต์จมน้ำท่วมได้รับความเสียหาย แบบนี้ส่งเรื่องเคลมได้
กรณีที่ประกันรถยนต์ไม่จ่าย : รถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ เช่น เห็นว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมหนักหรือมีการติดป้ายแจ้งเตือน แต่ยังขับรถลุยน้ำไปแล้วเกิดเครื่องดับกลางทาง กรณีนี้ประกันไม่จ่ายเพราะถือว่านำรถยนต์ไปในพื้นที่เสี่ยง

คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างไร ?

  • สูญเสียโดยสิ้นเชิง
    กรณีที่น้ำท่วมมิดคันหรือสูงเกินคอนโซลหน้ารถทำให้ห้องโดยสารเกิดความเสียหาย ประเมินแล้วพบว่าซ่อมไม่คุ้มแบบนี้บริษัทประกันจะจ่าย 70-80 % ของทุนประกันรถยนต์หรือมูลค่ารถยนต์
  • เสียหายบางส่วน
    ประเมินแล้วพบว่าสามารถซ่อมแซมบางส่วนเพื่อนำกลับมาใช้งานได้ บริษัทประกันรถยนต์จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ขั้นตอนส่งเคลมประกัน

1. ถ่ายรูปรถในขณะที่ถูกน้ำท่วม ให้ละเอียดและเห็นทะเบียนรถ
2. โทรสอบถามบริษัทประกันรถยนต์ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดการเคลมและแจ้งประสานงานเรื่องรถยกหรือรถลาก
3. นัดหมายกับบริษัทประกันรถยนต์ เพื่อตรวจสอบความเสียหาย
4. รอรับรถยนต์หลังจากที่ถูกนำไปซ่อมแซม

อย่าหาทำ 3 จุดในรถยนต์ ที่ไม่ควรตั้งมือถือ อาจจะเกิดอันตรายได้


เชื่อว่าในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่เวลาขับรถก็ต้องเปิด GPS ในเวลาที่จะต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆ เพราะนอกจากจะสะดวกแล้วยังสร้างความมั่นใจในการใช้เส้นทางเพราะลดโอกาสเสี่ยงรถติดบนเส้นทางที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถ้าหากมีสถานการณ์ต่างๆ เช่น อุบัติเหตุ หรือหากมีการซ่อมแซมถนน และแน่นอนว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดถึงระดับที่นำมือถือมาติดตั้งไว้ในรถเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ติดตั้งมือถือในตำแหน่งที่อันตราย วันนี้จะยกตัวอย่างทั้ง 3 จุดติดตั้งที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

1.ตำแหน่งพวงมาลัย
เป็นตำแหน่งที่หลายๆคนคิดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่สามารถดูจอโทรศัพท์ได้ง่ายๆโดยไม่ต้องละสายตามาก แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่า หยุด!! ถ้าหากใครกำลังหาอุปกรณ์ล๊อคโทรศัพท์มือถือไว้กับพวงมาลัย เพราะไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีอุปกรณ์ใดๆ มาขัดขวางการขับขี่เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง และขัดขวางการควบคุมพวงมาลัยเมื่อเกิดเหตุที่จะต้องควบคุมพวงมาลัยกระทันหันก็จะทำได้ยากอีกด้วย

2.ช่องวางแก้ว

ช่องวางแก้วนั้นเป็นจุดที่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำมากๆหรือรถยนต์บางรุ่นอาจจะอยู่ตรงช่องแอร์ก็ตามแต่แต่ก็อยู่ในตำแหน่งที่อาจจะต้องใช้เวลาในการละสายตานานพอสมควรซึ่งอาจจะทำให้คุณต้องใช้เวลาในการเพ่งพิจารณาเล็งมองสิ่งหาสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในจออาจจะทำให้เสียประสิทธิภาพในการควบคุมพวงมาลัยและการรับรู้เหตุการณ์ต่างๆโดยรอบในช่วงขณะ

3.กระจกข้างประตู

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักขาดูดกระจกสูญญากาศที่สามารถติดตั้งกับกระจกในส่วนไหนก็ได้ แต่ส่วนที่ไม่ควรติดตั้งอุปกรณ์เสริมนี้ก็คือ กระจกข้างประตูซึ่งมันส่งผลให้เกิดอันตรายหลายๆด้าน เช่นหากคุณเผลอเปิดกระจกทั้งๆที่ยังติดตั้งอุปกรณ์นี้อยู่ก็อาจจะทำให้เสียหายต่อกระจกและอุปกรณ์อื่นๆได้ และเป็นตำแหน่งที่ไม่ควรใช้ติดตั้งเพื่อดูเส้นทางต่างๆ เพราะมันเป็นตำแหน่งที่มีระยะห่างของสายตามากเกินไปอีกด้วย

หากคุณต้องการรถยนต์มือสองที่มีคุณภาพ และได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานมากกว่า 20 ปีต้อง กฤษฎากู๊ดคาร์ เพราะมีรถยนต์ให้คุณเลือกมากกว่า 800 คัน

น้ำท่วมรถประกันรถยนต์จ่ายไหม ?

น้ำท่วมรถเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากรถต้องอยู่ในสภาพจมน้ำรอการระบาย กรณีแบบนี้สามารถเคลมประกันได้หรือไม่ วันนี้ทาง กฤษฎากู๊ดคาร์ มีคำตอบมาไขข้อสงสัยนี้กัน!!

ประกันภัยรถยนต์จะมีความคุ้มครองเรื่องภัยธรรมชาติรวมอยู่ทั้งประกันภัยชั้น 1, ประกันภัยชั้น2+ (บางแพ็กเกจ) และชั้น 3+ (บางแพ็กเกจ) ช่วงหน้าฝนมีพายุกระหน่ำ มีโอกาสที่จะเจอน้ำท่วมรถโดยไม่ทันตั้งตัว

รถเสียเพราะน้ำท่วม ประกันรถยนต์จ่ายไหม?

 ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองกรณีน้ำท่วมรถยนต์ ถ้ามีงบจำกัดอาจเลือกประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ 3+ ของบางบริษัท ที่สามารถเพิ่มความคุ้มครองเรื่องน้ำท่วมโดยเฉพาะ
กรณีที่ประกันรถยนต์จ่าย : ขับรถอยู่ท่ามกลางฝนตกหนัก แล้วน้ำค่อยๆ สูงขึ้น จนทำให้น้ำท่วมรถ หรือจอดรถไว้ที่บ้านพักแล้วฝนตกหนัก ทำให้รถยนต์จมน้ำท่วมได้รับความเสียหาย แบบนี้ส่งเรื่องเคลมได้
กรณีที่ประกันรถยนต์ไม่จ่าย : รถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ เช่น เห็นว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมหนักหรือมีการติดป้ายแจ้งเตือน แต่ยังขับรถลุยน้ำไปแล้วเกิดเครื่องดับกลางทาง กรณีนี้ประกันไม่จ่ายเพราะถือว่านำรถยนต์ไปในพื้นที่เสี่ยง

คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างไร ?

  • สูญเสียโดยสิ้นเชิง
    กรณีที่น้ำท่วมมิดคันหรือสูงเกินคอนโซลหน้ารถทำให้ห้องโดยสารเกิดความเสียหาย ประเมินแล้วพบว่าซ่อมไม่คุ้มแบบนี้บริษัทประกันจะจ่าย 70-80 % ของทุนประกันรถยนต์หรือมูลค่ารถยนต์
  • เสียหายบางส่วน
    ประเมินแล้วพบว่าสามารถซ่อมแซมบางส่วนเพื่อนำกลับมาใช้งานได้ บริษัทประกันรถยนต์จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ขั้นตอนส่งเคลมประกัน

1. ถ่ายรูปรถในขณะที่ถูกน้ำท่วม ให้ละเอียดและเห็นทะเบียนรถ
2. โทรสอบถามบริษัทประกันรถยนต์ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดการเคลมและแจ้งประสานงานเรื่องรถยกหรือรถลาก
3. นัดหมายกับบริษัทประกันรถยนต์ เพื่อตรวจสอบความเสียหาย
4. รอรับรถยนต์หลังจากที่ถูกนำไปซ่อมแซม

มาช้าแต่ก็มานะ mazda EZ-6 เตรียมจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า EV Sedan รุ่นแรก ทั่วโลก

มาช้าแต่ก็มานะ Mazda EZ-6 เตรียมจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า EV Sedan รุ่นแรก ทั่วโลก

ล่าสุด Mazda EZ-6 EV Sadan ไฟฟ้า ของทาง Mazda รุ่นแรกได้เตรียมออกสายการผลิตหมาดๆเมื่อเดือนที่ผ่านมาและทาง mazda ก็ได้ยืนยันว่า EZ-6 จะเป็นรถยนต์ซีดานคันแรกที่จะถูกออกจำหน่ายไปทั่วโลกอย่างแน่นอน

Mazda เตรียมลงสนามรถไฟฟ้า EV

ถ้าพูดถึงรถ EV ของทาง Mazda ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะได้เห็นทาง Mazda ได้มีการวางจำหน่ายในบางรุ่นบ้างแล้ว เช่น MX-30 ที่ได้มีการจำหน่ายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกา แต่ผลการตอบรับก็ไม่ได้เป็นดั่งที่หวังไว้ ทั้งนี้ Mazda ก็ได้ผุดตลาดรถ EV อีกครั้งในรูปแบบรถ Sedan

ถ้าหากมองในของตลาดรถยนต์ถือว่า Mazda ก็กำลังเตรียมที่จะสู้ตลาดได้อย่างยากลำบากซึ่งรถไฟฟ้า EV นั่นกำลังเป็นเทรนของรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งถ้าหากจะตามให้ทันตลาดก็จะต้องเกาะกลุ่มตลาดรถกระแสไปด้วย

Mazda EZ-6 เตรียมวางจำหน่ายทั่วโลก

นายมาซาฮิโระ โมโระ CEO ของทาง Mazda ได้กล่าวไว้ว่า บริษัท Changan เพื่อพลิกพื้นธุรกิจให้ตลาดหันกลับมาให้ความสนใจด้วยการเปิดตัว Mazda EZ-6 ซึ่งมีหน้าตาที่คล้ายกันกับ Mazda 6 แต่อยู่ในรูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะขยายการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลกและได้มีการเตรียมลงนามทำสัญญาที่จะใช้บริษัทร่วมทุน Changan Mazda เพื่อเป็นฐานในการวิจัยและการพัฒนาร่วมกันอีกด้วย

Mazda EZ-6 จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ โดยจะเริ่มวางนำหน่ายในยุโรปและประเทศจีน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉรียะของทาง Changan โดยจะมีระบบการช่วยเหลือการขับขี่แบบอัตโนมัติ Level 2.5 ประมวลผลพร้อมกับชิป Qualcomm SA8155P ขนาด 7 นาโนเมตรพร้อมด้วยกล้องพาโนราม่าที่มีความละเอียดสูงทั้งหมด 4 ตัว รวมไปถึงเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ซึ่งสามารถวิ่งไปได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มใน 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC


สำหรับใครที่กำลังรอ Mazda EZ-6 อาจจะต้องคอยลุ้นว่าให้นำเข้ามาจำหน่ายเพราะ Mazda ในบ้านเราจะเน้นไปในกลุ่มรถครอบครัวซะมากกว่า คราวนี้นี้อาจจะต้องลุ้นกันซักหน่อยว่า mazda จะมีการเปลียนแปลงตลาดในบ้านเราบ้างหรือไม่

อ่านข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ที่

เปลี่ยนล้อแม็กซ์ ใส่ยางกว้างเกินสเป็ค อันตรายหรือไม่ ส่งผลเสียอะไรบ้าง?

เทรนการแต่งรถเรียกว่ามีหลากหลายสไตล์ ซึ่งการแต่งรถนั้นก็มีทั้งผลดีและผลเสียและสิ่งที่นิยมจนเป็นเรื่องพื้นฐานของการแต่งรถนั่นก็คือ การเปลี่ยนล้อเพื่อเพิ่มมิติและสไตล์ของรถตามความต้องการของแต่ละคนซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดแปลกแต่อย่างได

แต่การเปลี่ยนล้อแมกซ์ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพในการใช้งานเป็นหลัก เพราะถ้าเราเปลี่ยนล้อแม๊กซ์ที่ไม่เหมาะสมกับรถ ถึงจะมีความสวยงามแต่อาจจะไม่ทำได้เกิดประโยชน์ใดๆ และอาจจะเป็นอันตรายกับคุณและรถยนต์ของคุณอีกด้วย

สำหรับบทความนี้จะมาแชร์กันว่า การใส่ยางที่เกินสเป็คอันตรายหรือไม่ และมีผลดีหรือผลเสียอะไรบ้าง?

ก่อนจะกล่าวถึงข้อเสียเรามีดูข้อดีกันก่อนดีกว่าครับ

  1. การเปลี่ยนล้อที่มีหน้ายางกว้างมากยิงขึ้น ชจะส่งผลดีกับรถในเรื่องของการทรงตัวเมื่อเข้าทางโค้ง รวมไปถึงการเกาะถนนอันเกิดจากหน้าสัมผัสของหน้ายางกับถนนนั้นมีมากยิ้งขึ้นจึงทำให้เกิดแรงเสียดทานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. ความสวยงาม เรียกว่าเป็นปัจจัยอันดับรอง ที่กลายมาเป็นหัวใจหลักๆของการเปลี่ยนล้อแม็กซ์เลยก็ว่าได้เพราะนอกจากจะำทให้รถของคุณมีเสนห์แล้ว ก็ยังทำให้ดูมีสไตล์เข้ากับชุดแต่งที่คุณอาจจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต

ข้อเสียของการเปลี่ยนล้อแม็กซ์ ใส่ยางกว้างเกินสเป็ค คือ

  1. มีน้ำหนักมากกว่ามาตราฐาน

การที่มีน้ำหนักของล้อแม็กซ์ที่มากกว่ามาตรฐานนั้นทำให้เกิดข้อเสียในหลายๆด้าน ทั้งอัตราการสิ้นเปลืองมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำหนักของล้อจะไปเพิ่มการทำงานของเครื่องยนต์ เพราะจะต้องรับภาระในช่วง ออกตัวจนกว่าจะไปถึงช่วงลอยลำ

2. หน้ายางที่กว้างเกินซุ้ม

หน้ายางที่มีความยาวเกินซุ้มสามารถสร้างอันตรายได้มากกว่าที่คิด หน้ายางที่กว้างเกินซุ้มล้อนอกจากนะผิดกฎหมายแล้ว ยังสร้างความอันตรายให้กับเพื่อนร่วมทางและรถยนต์ของคุณได้ เมื่อหน้ายางมีความกว้างเกินซุ้มล้อจะทำให้เศษดินหรือเศษหินดีดขึ้นมาที่สีของรถคุณหรือบางครั้งอาจจะกระเด็นไปโดนรถที่ตามมาจากด้านหลัง หรือยิ่งไปกว่านั้นสามารถทำอันตรายให้กับรถจักรยานยนต์ที่ขับตามมาได้

3. ล้อไม่ได้มาตรฐานแฝงไปด้วยอันตราย

ล้อแม็กซ์ที่ดีควรมีมาตรฐานรับรองจากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งให้เป็นมาตรฐาน แต่ถ้าหากเป็นล้อแม็กซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นของเลียนแบบไม่ควรซื้อมาใช้เป็นอย่างยิ่งเพราะความแข็งแรงและคงทนนั้นไม่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะทำให้เกิดความเสียหายในส่วนอื่นๆเพิ่มเติมได้

การแต่งรถให้สวยงามนั้นเรียกว่าเป็นรสนิยมความชอบของแต่ละบุคคล แต่การแต่งรถก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งเพื่อนร่วมทางและตัวเองเสมออีกด้วย

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่

โตโยต้าพัฒนา เครื่องยนต์ไฮโดรเจนเหลวใน GR Corolla เข้าแข่งขันในรายการ “S-Tai Fuji 24 Hr”

ผู้อำนวยกสนโครงการ แผนกพัฒนารถ GR Toyota Motor Cop. นายนาโออะกิ อิโต (Naoaki Ito) ได้กล่าวถึงการส่งรถยนต์ หมายเลข #32 ORC Rookie GR Corolla H2 Concept หรือ โคโรลล่าเครื่องยนต์ ไฮโดรเจน ที่ใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิงเข้าร่วมการแข่งขัน Fuji SUPER TEC 24 ชั่วโมงสนามที่สองของซีรีส์ ENEOS Super Taikyu Series 2024 Empowered By BRIDGESTONE ตามที่ Toyota มุ่งมั่นที่จะพัฒนายานยนต์และคนขับผ่านสภาพแวดล้อมที่แสนจะยากลำบากในสนามแข่งมอเตอร์สปอร์ต และสร้างวิวัฒนาการเครื่องยนต์แบบ ไฮโครเจนเหลว

การพัฒนาปั้มป์ไฮโดรเจนเหลวให้มีความคงทนมากยิ่งขึ้น พัฒนา “ปั๊มป์” ที่จะอัดความดันไฮโดรเจนเหลวเพิ่มขึ้นเพื่อส่งใปให้เครื่องยนต์มีความทนทานมากขึ้นเป็นอย่างมาก และสามารถวิ่งได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ โดยจะต่างจากการแข่งขัน 24 ชั่วโมงของปีที่แล้ว ที่ต้องเปลี่ยนไป 2 ครั้ง

เครื่องยนต์ไฮโดรเจนส่งกำลังได่โดยการเผาไหม้ไฮโดรเจนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งจะถูกอัดเข้าห้องเครื่องยนต์โดยตรง โดยเครื่องยนต์ไฮโดรเจนของ Toyota จะอัดอากาศด้วยการให้แรงอัดแบบหมุนไปกลับของระบบลูกสูบ หรือระบบแรงอัดแบบหมุนไปกลับ ส่งไฮโดรเจนจากถังเก็บเชื้อเพลิงไปยังเครื่องยนต์ ปั๊มป์นี้ต้องรับกับช่วงแรงอัดมหาศาลที่เกิดจากแรงอัดแบบหมุนไปกลับของลูกสูบทำให้ตลับชิ้นส่วนที่ทำให้เหลาหมุนรับแรงมหาศาลรวมไปถึงเฟืองเกียร์ เป็นเหตุทำให้เกิดการสึกกร่อนและเสื่อมสภาพได้ง่าย

เพิ่มระยะเวลาวิ่งด้วยถังเชื้อเพลิงทรงจากเดิม ให้เป็นรูปทรงกระบอก เป็นทรงต่างๆ ทำให้ไฮโดรเจนเหลวที่สามารถเติมได้มากยิ่งขึ้นทำให้สามารถวิ่งได้ยาวนานกว่าเดิม

หากเป็นเชื้อเพลิงก๊าซไฮโดรเจนต้องเป็นถังแบบทรงกระบอกเพื่อการกระจายแรงดันมหาศาลในขณะที่ไฮโดรเจนเหลวมีแรงดันน้อยกว่าก๊าซไฮโดรเจน สามารถใช้ถังเชื้อเพลิงทรงต่างจากเดิมได้

จึงมีการออกแบบให้เป็นถังเชื้อเพลิงแบบทรงวงรี เพื่อใช้พื้นที่ในห้องโดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลปริมาตรของเชื้อเพลิงเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็น 1.5 เท่า ถ้าหากเทียบกับแรงดันถังเดิมที่ใช้ถังก๊าซไฮโดรเจนอัดที่ความดัน 70 เมกกะปาสคาล เมื่อลองทดสอบแล้วทำให้เชื้อเพลิงที่สามารถบรรจุได้ในถังวงรี เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

อุปกรณ์กู้คืนอ CO2 เปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยีการกู้คืน CO2 จะเป็นเทคโนโลยีที่จะกู้คืน CO2 แต่เดิมที่มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว และด้วยการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติซึ่งมีจุดเด่นคือการดูดอากาศได้จำนวนมาก และความร้อนที่เกิดจากการเผมไหม้ ที่มีในเครื่องยนต์สันดาป โดยการติดตั้งการกู้คือ CO2

คือมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับดูดซัก ก๊าซ CO2 เข้าที่ดูดอากาศของแอร์คลีนเนอร์ พร้อมด้วยการติดตั้งอุปกรณ์แยก CO2 ที่เกิดจากความร้อนของน้ำมันเครื่องเข้าที่ด้านข่้างของอุปกรณ์ดังกล่าว เพื่อกู้คืน CO2 ที่แยกตัวออกมาเก็บไว้ในถังขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำยาดูดซับ

เดิมทีได้ติดตั้งระบบสลับเปลี่ยนการดูดซับ CO2 ด้วยระบบแมนนวล แต่ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นระบบอัตโนมัติสำหรับการเปลี่ยนการประมวลผลการดูดซักและการแยกตัว โดยการหมุนฟิลเตอร์ดูดซับ CO2 อย่างช้าๆ ในระหว่างการขับเคลื่อน

เรียกว่าเป็นความพัฒนาครั้งสำคัญของระบบไฮโดรเจน และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกสู้สนามแข่ง โดยนายมาซิฮโกะ คอนโดะ ผู้จัดการทีมผู้มีประสบการแข่ง Super GT หรือซุปเหอร์ฟอร์มูล่า ของสนามแข่งและยังเป็นประธานของ JRP ผู้จัดแข่งขันฟอมูล่า พร้อมกับ ยาลิ-มาติ แรทบาลาตัวแทนทีม TGR-WRT จะเข้า จะเข้าร่วมเป็นนักแข่งสำหรับสนาม Fuji 24 ชั่วโมงเพื่อร่วมท้าทายครั้งยิ่งใหญ่กับ GR Corolla

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม



All-New Kia EV3 SUV ไฟฟ้าย่อขนาดมาจาก EV 9 ขับไกลสุดถึง 600 กม.

Kia EV3 2025 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยการชูจุดขายที่สามารถเดินทางวได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และเทคโนโลยี Kia AI Assaistant และดีไซน์ภายนอกที่เหมือนย่อมาจาก Kia EV9

Kia EV3 ถูกพัฒนาให้เป็นรถคอมแพ็กเอสยูวีที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ 100% ภายใต้แพลทฟอร์ม E-GMP (Electric Global Modular Platform) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนที่ล้อหน้าโดยเฉพาะโดยตัวถังจะมีความยาวที่ 4,300 มม. และมีความกว้างถึง 1,850 มม. ศูงที่ 1.56 เมตร และความยาวฐานล้อ 2680 มม. มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เจอเนอเรชั่นที่ 4 ของ Kia ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งขนาด 58.3 kWh และ 81.4 kWh

Kia EV3 Long Range มีระยะทางการขับขี่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 600 กม. ต่อการชาร์จในแต่ละครั้ง (WLTP) ส่วนหนึ่งก็เป็นผลของหลักอากาศพลศาสตร์ จากการที่มีแรงสเีดทานเพียงแค่ 0.263 และรองรับการขับขี่ทางไกไลได้อย่างสะดวกสบาย และจุดเด่นที่สามารถชาร์จไฟแบบด่วนจาก 10-80% ได้ในภายในเวลาราวๆ 31 นาที

Kia EV3 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสุด 204 แรงม้า (150 kW) แรงบิดสูงสุด 283 นิวตัน/เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 170 กม./ชม.

ภายในห้องโดยสารมีพืื้นทที่เก็บสัมภาระด้านท้ายได้ถึง 460 ลิตร และคอนโซลหน้าประกอบไปด้วยแผงแดชบอร์ดที่เป็นแบบยาวจนไปถึงช่วงกลาง ซึ่งมีขนาด 12.3 นิ้วโดยสามารถสั่งการด้วยระบบสัมผัส AVN พร้อมด้วยช่องประอากาศขนาด 5 นิ้ว สามารถควบคุมได้อย่างสะดวกสบาย

Kia EV3 ยังมาพร้อมด้วยระบบ Premium Streaming ภายใต้แพลทฟอร์ม Automotive Content Platform (ACP) ที่พัฒนา โดย LG ช่วยให้สามารถเล่นเกมได้อย่างสนุกสนานควบคู่กับระเบบเสียงชั้นนำอย่างลำโพง Harman-Kardon รวมไปถึงสามารถรับชอมคอนเทนท์ความบันเทิงต่างๆในขณะรถหยุดนิ่งได้

อ่านข่าวสารรถยนต์ EV เพิ่มเติม