5 วิธีปรับตัวในช่วงน้ำมันแพง และ ลดความเสี่ยงในสถานการณ์ Covid-19 “โอมิครอน”

5 วิธีปรับตัวในช่วงน้ำมันแพง และ ลดความเสี่ยงในสถานการณ์ Covid-19 “โอมิครอน”

เรียกว่าเป็น Hot Topic ไปแล้วนะครับ กับเรื่องของราคาน้ำมันในปัจจุบันที่สูงเอาเป็นประวัติการณ์ แถมยังมีการระบาดของโรคไวรัส Covid-19 อีก จนทำให้ในปัจจุบันน้ำมันดิบราคาพุ่งทะยานไปกว่า 130 ดอลล่าต่อบาร์เรล์ และเชื่อว่าจะปรับตัวสูงขึ้นฉะนั้นหากหากเราไม่สามารถควบคุมในเรื่องของราคาน้ำมันได้ เราลองมาดูกันครับ ว่าเราเองจะปรับตัวในช่วงวิกฤติน้ำมันแพง และ Covid-19 นี้ อย่างไร

1.ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน

ทางเดียวกันไปด้วยกัน ถือว่า ยังเป็นวิธีประหยัดน้ำมันในช่วงนี้ที่ยังใช้ได้ โดยเฉพาะยุคนี้ทที่อาจจะต้องปรับตัวเรื่องความปลอดภัยเรื่องของโรคระบาดซักหน่อย โดยการสวมหน้ากากอนามัยก่อนขึ้นรถ จากที่ใช้รถคนละคัน หากไปทางเดียวกันหรือทางผ่านก็ให้เดินทางไปด้วยกันซะเลย จะได้ช่วยหารค่าน้ำมันเอาเป็นว่าอย่าทะเลาะกันเรื่องเงินค่าน้ำมันก็พอนะครับ

2.ใช้ GPS วางแผน ดูเส้นทาง การเดินทางในแต่ละวัน

การใช้ GPS ดูเส้นทางการเดินทางในแต่ละวันก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเดี่ยวนี้ GPS Google Map หรือ App ต่างๆ บนมือถือ ก็สามารถตรวจเช็คเส้นทางหรือการจราจรติดขัดได้ เรียกว่าทั้งประหยัดเวลาในการเดินทาง และ ประหยัดค่าน้ำมันไปในตัวฉะนั้น การใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถทำให้ชีวิตประหยัดและสะดวกขึ้นนะครับ

3.ใช่บริการไรเดอร์ให้มากขึ้น

ใช้บริการไรเดอร์ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้คุณประหยัดน้ำมัน เมื่อคุณต้องการซื้อสินค้า หรือ สั่งอาหาร บางครั้งการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นสิ้นเปลืองน้ำมันทั้งขาไปและขากลับ ฉะนั้น การใช้บริการไรเดอร์ก็ถือว่าคุ้มพอสมควรเลยทีเดียว อีกทั้งก็ไม่ต้องไปเลี่ยงในเรื่องของโรคระบาดอีกด้วย และถ้าหากยิ่งมีโปรโมชั่นของทางไรเดอร์หละก็ ประหยัดไปได้แบบสุดๆเลยครับ

4.เดินทางใกล้ๆ ใช้จักรยาน

แต่ถ้าหากในข้อ 3. ที่กล่าวมานั้นยังไม่ตอบโจทย์ หากเดินทางใกล้ๆ ใช้ ขี่จักรยานหรือจักรยานไฟฟ้า พกถุงผ้าสะพายกระเป๋าเป้ดีกว่าครับ รับรองได้ทั้งประหยัด และได้ทั้งสุขภาพ แถมยังช่วยในเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้มด้วยนะครับ

5.ใช้พลังงานทางเลือก LPG หรือ NGV

ข้อนี้อาจจะเล่นใหญ่ไปซักหน่อย แต่ถ้าคิดจะลงทุนก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้มนะครับ เพราะถ้าหากคำนวนแล้ว คำนวนความประหยัด จะตกระยะทาง กิโลเมตรไม่ถึง 1 บาท เชื่อว่าหลายคนค่อนข้างมองว่าการใช้ระบบแก๊สนั้นอันตรายและบั่นทอนเครื่องยนต์ นั่นก็ไม่ผิดครับแต่จะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาซะมากกว่า ถ้าหากว่าติดตั้งกับระบบของรถบางยี่ห้อแต่ถ้าหากว่าคุณศึกษารถยี่ห้อที่คุณใช้นั้นไร้ปัญหา ก็เริ่มลงทุนกับระบบทางเลือกนี้ได้เลยครับรับรองคุ้มแน่นอน

นี่ก็เป็น 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันและ ลดการเสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัสในสถานกาณ์ได้มากยิ่งขึ้น หากคุณต้องการดูรถราคาประหยัดผ่อนสบาย ได้รถสภาพดี ไว้ใจให้เราแนะนำ กับกฤษฎากู๊ดคาร์ โชว์รูมรถยนต์มือสองโชว์รูมที่คุณไว้ใจได้ที่สุด

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

แอบส่อง รถยนต์ประจำตำแหน่งท่านนายก “ลุงตู่” กับเบนซ์กันกระสุน ราคา 19.5 ล้าน

วันนี้แอดมินขอกล่าวถึงรถประจำตำแหน่งท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือที่ทุกท่านเรียกท่านอย่างติดปากว่า ลุงตู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงวันที่ 7 มีนาคม ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่กำลังพุ่งสูงงขึ้น โดยได้ระบุว่า “ขอให้ทุกคนช่วยกันประหยัดพลังงานให้ได้มากที่สุด โดยฉพาะเรื่องการใช้รถเท่าที่จำเป็น เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลได้ถึงเมื่อไหร่ หากสถานการณ์ยืดยาวจะต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง” จากข้อความดังกล่าวนั้น จึงทำให้หลายๆคนอยากจะทราบว่า แล้วรถระดับผู้นำนั้น เป็นรถยี่ห้ออะไร

ในปี  2559 ทางผู้สื่อข่าว เคยได้รายงาน ว่า ทางรัฐบาลได้ มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นจำนวนวงเงิน 78 ล้านบาท เป็นจำนวนทั้งหมด 4 คัน คันละ  19.5 ล้านบาท โดย 2คันจะเป็นรถเพื่อใช้ในการรับรองแขก  VIP ส่วนอีก  2 คัน เป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

รถประจำตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เป็นรถ ยี่ห้อ Mercedes-Benz S600 Guard Sedan Long เป็นโฉมปี 2017 เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.0 ลิตร เทอร์โบ เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แรงม้าสูงถึง 530 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น   มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 6.8 กิโลเมตร/ลิตร ซึงเมื่อเทียบกับรถยนต์ ECO Car ก็เท่ากับว่า รถยนต์ของท่านนายก 1 คัน เท่ากับ อัตราการสิ้นเปลืองนั้น เป็น 4 เท่าของรถยนต์คนเมืองเลยทีเดียว และเมื่อขับในเมืองตัวเลขสิ้นเปลืองก็จะขยับเล็กน้อย ที่ 5.5 กิโลเมตร/ลิตร แต่ถ้าหากขับระยะเส้นทางยาวๆนอกเมืองก็จะอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตร/ลิตร ตัวเลขนี่ยืนยันตามมาตรฐานการทดสอบของ EPA และรุ่นพิเศษสำหรับรุ่นที่เป็น ฐานล้อยาว และรถของทานนายกนั้นก็ได้เพิ่มน้ำหนักของระบบความปลอดภัยรวมทั้งหุ้มเกราะกันกระสุน อัตราการกินน้ำมันก็จะสูงขึ้นไปอีก ซึ่งหากถ้านำมาขายในประเทศไทยก็จะกินน้ำมันมากว่ารถทั่วไป ถึง 2-3 เท่าเลยทีเดียว
แต่ถ้าหากเมื่อเทียบกับอัตราการกินน้ำมันของรถยนต์แต่ละรุ่น แอดมินจะนำเอารถแต่ละรุ่นมาเทียบกันนะครับ

TOYOTA Camry 2.5 Premium และ 2.5 Sport เครื่องแบบ 4  สูบ จะมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 15.6 กิโลเมตร/ลิตร

Honda Accord เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองราวๆ 22.4 กิโลเมตรต่อลิตร

Nissan Teana ปี 2014 เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเครื่องขนาด 2.5 ลิตร เรียกว่าเป็นตำนานที่กล่าวถึงข้อเสียในเรื่องของการซดน้ำมัน ก็ยังมีอัตราสิ้นเปลืองถึง 16 ลิโลเมตรต่อลิตร

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่นำเอามาให้เพื่อนๆได้ทราบกัน และ เชื่อว่าทางท่านนายกเองก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์น้ำมันแพงได้ ฉะนั้นการประหยัดน้ำมันเป็นเรื่องที่ดี นะครับ

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

สาเหตุที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร?

เนื่องด้วยราคาน้ำมัน ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนหลายๆคนเริ่มสงสัยกันว่า เกณฑ์การปรับราคาน้ำมันนั้น เกิดจากอะไร และคิดกันอย่างไรกันแน่ ใครเป็นคนกำหนดราคาน้ำมัน ทั้งหมดนี้วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันนั้นมีอะไรกันบ้าง และทำไม ประเทศไทยถึงมีราคาที่สูงจนเป็นข้อสงสัย เดี่ยวแอดมินจะมาเปิดเผยให้หมดเปลือกเลยครับ

เริ่มจากเมื่อในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ทางสื่อข่าวทั่วโลกได้รายงานกันเป็นเสียงเดียวว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤต “ราคาน้ำมันพุ่งสูง” ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ซึ่งล่าสุดน้ำมันกำลังพุ่งทะยานเกินกว่า 130 ดอลลาหต่อบาร์เรล และกำลังพุ่งทยานสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนน่าจับตามองเหตุผลนั้นเริ่มต้นจาก

ความขัดแย้ง ระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อราคาน้ำมันโลก

ในปัจจุบันรัสเซีย มีบทบาทอย่างงมากในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของโลก โดยมีการส่งออกน้ำมันวันละ 5 ล้าน บาร์เรล หรือราวๆ 12% ของราคาน้ำมันทั่วโลก และส่งออกผลิตภัณฑ์ปีโตเลียมวันละ 2.5 ล้านบาร์เรล หรือราวๆ 10% ของการค้าโลกโดยรัสเซียมีการส่งออกน้ำมันไปแถบยุโรป 60% และไปแถบอื่นๆ อีก 30% โดยเฉพาะฝั่งจีน ความตรึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้การส่งออกของ รัสเซียกับยุโรปนั้นมีการหยุดชะงัก จำเป็นสาเหตุที่ทำให้ความต้องการนั้นเริ่มจะไม่เพียงพอ ทำให้ตลาดนั้นปรับราคาขึ้นนั้นเอง

กำลังผลิตน้ำมันดิบ กลุ่มโอเป็ก OPEC+ ลดลง

โดยนักวิเคราหะ์กล่าวว่า OPEC+ การผลิตน้ำมันนั้นยังห่างต่อความต้องการหรืออุปสงค์ของตลาดโลกมาก โดยจะต้องผลิตให้ได้มากถึง 1ล้านบาร์เรล ต่อวัน แต่ตอนนี้ทางกลุ่ม OPEC+ ยังห่างเป้าหมาย เพราะสามารถผลิตได้เพียง 400,000 บาร์เรล ต่อวันหรืออาจจะน้อยกว่านั้น โดยซาอุดิอาระเบีย และ อาหรับอามิเรตส์เป็นเพียงแค่ 2 ประเทศในกลุ่ม OPEC+ ที่มีกำลังการปลิตเหลืออยู่ ขณะที่ตลาดคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้นถึง 3.8-4 ล้าน บาร์เรล/วัน หลังจากฟื้นตัวเศรษฐกิจโอมิครอน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุในเรื่องของการปรับราคาด้วยเช่นกัน

ปัญหา Covid-19 เริ่มคาดว่าจะคลี่คลาย

ในบ้านเราอาจจะดูขัดแย้งในเรื่องของการจัดการเรื่อง Covid-19 แต่ทั่วโลกไปเป็นอย่างนั้นเพราะทั่วโลกนั้นมีอัตราการเสียชีวิตน้อยลง ท่ามกลางการระบาดของสายพันธุ์ โอมิครอน ที่นักเชี่ยวชาญออกมาระบุว่า สายพันธุ์โอมิครอนอาจจะทำให้เป็นโรคไข้หวัดทั่วไปได้ และประชาชนก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ จึงทำให้มีการประกาศล๊อคดาวน์ของแต่ละประเทศน้อยลงหรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปส่งผลทำให้มีความต้องการในการใช้น้ำมันในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น

แถบยุโรปเริ่มเข้าสู่สภาพอากาศหนาวเย็น

ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้สามารถผลิตน้ำมันได้น้อยลงในทางแถบยุโรปคือ สภาพอากาศที่หนาวจากพายุฤดูหนาวทำให้ส่งผลกระทบต่อการเดินทางและไฟฟ้าดับหลายพันครัวเรือน โดนอาจจะกระทบต่อการผลิตน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันหลายๆแห่งก็จะต้องปิดทำการ แต่ในขณะเดียวกันความต้องการในการใช้เชื้อเพลิงกลับประบเพิ่มขึ้นอีกด้วย

แล้วทำไมประเทศไทยถึง “น้ำมันแพง

สาเหตุของการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้นจะแตกต่างจาก ประเทศและถูมิภาคอื่นๆ โดยประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันเกือบ 90% ผลิตได้เองได้เพียงแค่บางส่วน มีการจัดหาน้ำมันดิบราวๆ 965,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งจากตะวันออกกลาง มาเลเซีย อินโดนิเซีย สหรัฐฯ หรือ รัสเซีย เราสามารถผลิตได้เองโดยประมาณ 1 แสน บาร์เรลต่อวัน เมื่อเรามีการนำเข้าเป็นหลัก ราคาน้ำมันจึงเปลี่ยนตามตลาดโลกและตลาดเอเชีย บวกกับภาษีสรรพสามิต ตกประมาณ 5.99 บาท ซึ่งภาษีส่วนนี้ มีการเก็บมาโดยตลอด แต่อัตราจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสถานะการคลังของประเทศ และยังมีภาษี เทศบาลหรือภาษีท้องถิ่น อยู่ประมาณ 10% ของภาษีสรรพสามิต หรือเท่ากับ 60 สตางค์ และยังบวกกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ของภาษีสรรพสามิต ประมาณ 40 สตางค์ และยังมีการเก็บเงินเข้ากองททุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 10 สตางค์

ปัจจุบันค่าการตลาดจากการขายปลีกน้ำมัน (ต้นทุนและ ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีดน้ำมัน) อยู่ในช่วง 70 สตางค์ ถึง 1.20 บาท ซึ่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนดไว้ที่ 1.40 บาท และนี้ก็เป็นสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้น้ำมันประเทศไทยเรามีมูลค่าที่สูงกว่าตลาดประเทศอื่นๆนั่นเอง

และนี่ก็เป็นสาเหตุของราคาน้ำมันประเทศไทยว่าทำไมสูงขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าในอนาคตราคาน้ำมันจะกลับมาคงเดิม ฉะนั้นหากต้องการอ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมสามารถอ่านเพิ่มเติมได้เลยนะครับ แอดมินจะนำเอาสาระมาฝากทุกวันครับ

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม

5 เหตุผลว่าทำไม รถญี่ปุ่น ถึงน่าซื้อกว่ารถ ยุโรป

ทุกวันนี้การเลือกซื้อรถยนต์ซักคัน ก็จะต้องมองหลายๆมุมหลายๆด้านเพราะบริษัทผลิตรถยนต์มีมากมายจนสามารถเลือกทั้งอ๊อฟชั่น ความคุ้มค่าในเรื่องของราคา คุณภาพ การบริการ และรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น หากคุณมีเงินจำนวนหนึ่งการเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ประกอบกับความชอบส่วนตัวนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ

ต้องยอบรับว่า ในปัจจุบัน รถยุโรปเองก็มีก็มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก ส่วนสำคัญนี้ก็มาจากการแข่งขันภายในประเทศรวมทั้งมาตราการเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวกับในเรื่องมลพิษและการ ปล่อยไอเสียจึงเข้าทางแนวการพัฒนารถยุโรปอย่างพอดิบพอดี

สมมุติว่าคุณมีเงินจำนวน 2 ล้านบาท และต้องการซื้อรถเพื่อใช้งานซักคันคุณอาจจะเริ่มมองรถยุโรป เนื่องจากคุณมีความเชื่อในเรื่องของคุณภาพและค่านิยม นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหากคุณลืมคิดในข้อที่ผมจะกล่าวถึงว่าไม่ใช่แค่ซื้อรถยนต์แล้วค่าใช้จ่ายคุณจะจบ แต่มันรวมไปถึงปัจจัยอื่นที่วันนี้ผมจะบอกคุณว่าทำไม รถญี่ปุ่น ถึงน่าซื้อกว่ารถ ยุโรป

1.ได้รถขนาดใหญ่กว่าในราคาที่เท่ากัน

หากคุณกำลังมองรถที่มี ซีรี่สูงหรือ มีขนาดที่ใหญ่ รถญี่ปุ่นเองก็ตอบโจทย์ในเรื่องของความคุ้มค่าและราคา เพราะถ้าหากในราคา 2 ล้านบาท อาจจะได้รถที่ท๊อปสุดของรุ่นนั้น แต่ถ้าหากเมื่อเทียบกับรถยุโรปคุณอาจจะได้รถที่มีขนาดเล็กกว่า และ เป็นเพียงแค่ตัวเริ่มต้นของยี่ห้อนั้นๆอีกด้วย

2.ค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ รถยุโรปสูงกว่ารถญี่ปุ่น

ค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ในที่นี้คือการเสียค่าใช้จ่ายไปกับเรื่องสิ้นเปลือง เพราะรถยุโรปทักจะทำอะไรพรีเมี่ยมๆให้เราเสียตังแพงกว่ารถญี่ปุ่นเสมอๆ เช่นการจอดรถในที่พิเศษ การทำสี หรือการบำรุงความสวยงามก็จะแพงกว่ารถททั่วๆไป สิ่งเหล่านี้ มักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ


3.ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่ารถยุโรป

จะซื้อรถซักคันก็ต้องคิดถึงการซ่อมบำรุงในอนาคตด้วย เพราะการใช้งานรถยนต์ในทุกๆวันก็จะต้องเจอกับค่าเสื่อมสภาพต่างๆ ตามระยะทาง และเรื่องค่าบำรุงรักษานี่แหละ ที่เป็นเหตุปัจจัยในอนาคตที่คนส่วนใหญ่มักจะกุมขมับ เพราะการบำรุงงรักษารถยุโรปจะสูงกว่ารถญี่ปุ่นอีกทั้งบางงครั้งอาจจะต้องรออะไหล่นานกว่ารถญี่ปุ่นอีกด้วย

4.รถยุโรปขายต่อราคาตกกว่ารถญี่ปุ่น

เมื่อนานไปแล้วหากคุณต้องการจะขายรถต่อ หากรถมีอายุมากกว่า 6-7 ปี เป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาของรถยุโรปก็จะถูกกว่าอย่างน่าใจหายเพราะอันที่จริงแล้ว ผู้ใช้รถยุโรปจะใช้รถเพียงแค่ 5 ปี ก็จะเทรินขายไปก่อนเพราะมันจะหมดระยะประกันคุณภาพของตัวรถกับบริษัทผู้ผลิต เพื่อที่ละหลีกเลี่ยงการซ่อมนั่นเอง

แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้รถญี่ปุ่น จะไม่ค่อยประสบกับปัญหานี้เท่าไหร่นัก เพราะเทคโนโลยีหลายๆส่วนของรถญี่ปุ่นจะไม่มีความซับซ้อนแบบรถแบรนด์เยอรมัน ถึงจะเป็นรถที่ใช้พลังงานลูกผสมก็ตามแต่ แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ถูกกว่ารถ ยุโรป อยู่ดี จึงทำให้ รถยุโรปนั้นราคาตกกว่ารถญี่ปุ่นไปมากเลยทีเดียว

5.รถยุโรปมีศูนย์บริการที่น้อยกว่า

ปัญหาเรื่องศูนย์บริการและค่าบริการต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนใช้รถมากๆ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่พบปัญหาในรถยนต์ที่คุณใช้บ่อยๆ เพราะการจะวิ่งเข้าหาศูนย์บริการใกล้บ้านซักแห่งอาจจะทำได้ยาก หรือถ้าหากรถคุณเกิดเสียหายหนักถึงขั้นไม่สามารถขับได้ ระยะทางในการเคลื่อนย้ายก็จะกลายเป็นเม็ดเงินที่คุณต้องเสียอีกส่วนหนึ่งด้วย

ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสปการณ์จากผู้ที่เคยซื้อรถยุโรปมาใช้ แล้วพบกับปัญหาต่างๆ ทางแอดมินก็ได้นำมาแชร์กันนะครับ หากต้องการรถมือสองสภาพดี หรือ ต้องการซื้อรถพร้อมบริการดูหลังการขายอย่างเป็นมืออาชีพ สามารถเข้ามาดูได้ที่ โชว์รูมรถมือสองกฤษฎากู๊ดคาร์ ครับ

อ่านสาระน่ารู้ต่างๆเพิ่มเติม

DFSK Glory 560 1.5 Turbo CVT รถครอบครัว 7 ที่นั่งสัญชาติจีน อ๊อฟชั่นเต็ม

Glory 560 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในราคา 749,000 บาท และอาจจะมีการปรับราคาขึ้นหลังจากนี้อีกประมาณ 40,000 บาท นำเข้าและจัดจำหน่ายรถแบรนด์ DFSK หรือ DONGFENG (ตงฟง) โดยบริษัท อีวี ฮาโลโคนิก จำกัด แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

DFSK Glory 560 เป็นรถครอบครัวสัญชาติจีนที่มีความน่าสนใจและได้เริ่มวางรุกตลาด เอาใจสำหรับคุณพ่อบ้านตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี ที่ผ่านมา ด้วยราคาจัดจำหน่ายใกล้เคียงกับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น แบบอุปกรณ์มาตรฐานจัดเต็มชนิดที่รถยุโรปบางรุ่นยังหลบซ้ายไปเลย

DFSK หรือรู้จักในนาม “ตงฟง” เป็นรถยนต์ที่มีชื่อที่ยังไม่ค่อยคุ้นหูในกลุ่มรถบ้าน เพราะช่วงก่อนจะวางตลาดรถครอบครัวนั้นได้ตีตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ซะมากกว่า โดยเฉพาะ กระบะ Food Truck แต่มาคราวนี้ มีตีตลาดรถครอบครัว งัดไม้เด็ดในเรื่องของ ของเล่น และ อ๊อฟชั่นที่เอาเป็นว่ารถยุโรปยังกุมขมับ

อย่างแรกต้องบอกว่าตลาดรถประเทศไทยแบบ 7 ที่นั่ง มีตัวเลือกในตลาดค่อนข้างมากและหลากหลาย เมื่อเทียบกับกลุ่มตลาดทั่วไป แล้ว Glory 560 นั้นจะอยู่ในกลุ่มของรถยนต์ประเภท Mini Crossover โดยจะมี Xpander Cross และ Honda BR-V นั่นเอง

ตัวถังดูจะเป็นที่จูงใจพ่อบ้านด้วยจุดขายของความกว้างและใหญ่ของตัวถังที่ยาวถึง 4,515 มิลลิเมตร และกว้าง 1,815 มิลลิเมตร และสูงจากพื้น ถึง 1,735 มิลิเมตรและระยะฐานล้อ Wheelbase 2,690 มิลลิเมตร จึงกลายเป็นรถที่มีขนาดใกล้ๆ เคียงกับ Suzuki XL7

เครื่องยนต์รหัส SFG15T เบนวิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร 1499 ซีซี หัวฉีดระบบอิเล็กโทรนิกส์ อัดกำลังด้วยระบบ เทอร์โบชาร์ตเจอร์ให้กำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า ที่ 5600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,800-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังขับเคลื่อนลงที่ล้อหน้า ผ่านระบบเกียร์ CVT และยังรองรับน้ำมันแบบ E85 อีกด้วย

ระบบช่วงล่าง ของด้านหน้าเป็นแบบ MacPheson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ Torsionn Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรคคู่หน้าเป็น ดิกส์เบรค ทั้ง 4 ล้อ พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าแบบ EPS

เสริมระบบความปลอดภัยด้วย ระบบเบรคป้องกันล้อล๊อค ABS ระบบการกระจายแรงเบรค EBD ระบบเสริมแรงเบรค EBA ระบบควบคุมความเสถียรภาพการทรงตัว ESP ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS ระบบป้องกันการไหลทางลาดชัน HHC ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง กล้องมองภายขฯะถอยกอด เซนเซอร์ด้านหลัง

การรับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร
ฟรีการบำรุงรักษา ค่าอะไหล่ นาน 5 ปี หรือ 100000 กิโลเมตร (Smart Maintenance Package)

ฟรีค่าแรงนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

อ่านข่าวรถใหม่ได้ที่นี่

ผู้ใช้ Twister แชร์ประสบการณ์ประทับโลโก้จากการทำงานของระบบ AIRBAG

จากผู้ใช้รถยนต์ในต่างประเทศ ได้แชร์ประสบการณ์หลังจากเกิดอุบัติเหตุโดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตทที่เรารู้จักกันดีอย่างถุงลมนิรภัย หรือ AIRBAG แม้ว่าจะรอดจากอุบัติเหตุ หรือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงมากก็ตามถุงลมนิรภัยก็จะทำงานทันที แต่ด้วยความแรงของถุงลมนิรภัยเมื่อระเบิดออกมาก็สามารถเทียบเท่าได้กับแรงอัดของระเบิดในลำกล้องกระสุนปืนเลยทีเดียว

ในสื่อทาง Twister ผู้ใช้รายนี้ได้กล่าว่า “กระดูกของฉันแทบจะมีลายเป็นโลโก้ Nissan ประทับอยู่” เมื่อเธอได้ประสบอุบัติเหตุภายในรถยนต์ Nissan และ ถุงลมนิรภัยภายในพวงมาลัยได้กระแทกเข้ากับแขนของเธอ

และไม่เพียงแค่นั้น ทางผู้ใช้รถยนต์ Hyundai ก็ได้โพสข้อความต่ออีกด้วย “ฉันเคยประทับโลโกที่สมบูรณ์แบบนี้ในปี 2016 แต่มันคือ โลโก้ของ Hyundai”

จากเหตุการณ์ด้านบนเรียกว่า ผู้ใช้รถยนต์ Hyundai แทบจะรอยฟกช้ำ เป็นรถ Hyundai Logo ได้แบบสมบูรณ์แบบเกิดขึ้นในปี 2016

อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นได้บ่อย เพราะหลังจากที่ @pielcanela ได้โพสลง Twister ไปไม่นานก็มีผู้ร่วมชะตากรรมเหล่านี้มาโดพสแชร์ประสปการณ์ตามๆกันอีกมากมาย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดจากแรงอัดภายในเสี้ยววินาทีของระบบถุงลมนิรภัยทำให้เกิดแรงอัดที่รุนแรงและรวดเร็ว ด้วยความเร็วสูงถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมงที่สำคัญถุงลมนิรภัยโดยส่วนใหญ่จะถูกวางที่ตำแหน่งของหลังโลโก้พวงมาลัย

ฉะนั้น เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว ความปลอดภัยในการใช้รถห้องโดยสารจะต้องไม่มีวัตุของแข็งหรือของมีคม เพราะหากเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นสิ่งของเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ข่าวจาก Motor1

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม

ปั้มน้ำมันเอกชน เตรียมปรับราคารวดเดียว 2 บาท/ลิตร มีผล 3 มี.ค.

ปั้มน้ำมันเอกปรับขึ้นราคาน้ำมัน 0.30-2.00 บาทต่อลิตร มีผลในวันพรุ่งนี้ (3 มี.ค.) หลังจากน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้นสูงกว่า 110 ดอลลาร์/บาร์เรล ผลพวงวิกฤติ “ยูเครน-รัสเซีย”

ในวันนี้ (3 มี.ค.) ผู้ค้าน้ำมันภาครัฐถือหุ้น ทั้งบางจากฯ และพีทีที สเตชั่น ยังไม่ประกาศขึ้นราคาน้ำมันในวันพรุ่งนี้ (3 มี.ค.) แต่ปั้มเอกชนทยอยปรับราคาวันพรุ่งนี้ เช่น เชลล์ ปรับขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ 2 บาท/ลิตร, คาล์เท็กซ์ เชฟรอน ปรับขึ้นราคาหน้าปั้ม 1.20 บาท/ลิตร สำหรับทุกผลิคภัณฑ์, เอสโซ่ แจ้งเปลี่ยนแปลงราคาในกลุุ่มตลาดเบนซิน-แก๊สโซฮอล์์ 1.20 บาท/ลิตร กลุ่มดีเซลขึ้รน 0.90 บาท/ลิตร ในขณะที่ปั้มพีที ขึ้นราคาเฉพาะดีเซล 30 สตางค์/ลิตร

สถานการณ์ขึ้นราคาขายปลีกของไทยสะท้อนเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว ถ่านหินตลาดโลกที่ขยับขึ้นแรง เพราะนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับวิกฤติสงคราม “ยูเครน-รัสเซีย” ยืดเยื้อโดยวันนี้ระหว่างการซื้อขาย ราคาน้่ำมันดิบ BBRENT พุ่งขึ้นมากถึง 8 ดอลลาร์สหรัฐ แตะที่ 133.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2557

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐ ทะบานขึ้น 7.24 ดอลลาร์สหรัฐ แตะ 110.67 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หลังก่อนหน้านี้พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2556 ส่วนถ่านหินสร้างสถิติสูงสุดแตะ 400 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน.

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม

คนนี้เองเจ้าของชื่อ Lotus Elise กับของขวัญชิ้นสุดท้ายจากคุณปู่

ไม่ต้องชาร์ตไฟฟ้า Lightyear One รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ เคาะราคา 5.49 ล้านบาท

Lightyear One รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ โดยทางผู้ผลิตระบุว่ารถคันนี้สามารถใช้งานได้ยาวนานนับเดือนโดยไม่ต้องชาร์ตไฟฟ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว
Lightyear One เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้โดยรถรุ่นนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ ได้ผ่านการทดสอบและขับขี่จริงแล้วที่ประเทศอิตาลี ด้วยความเร็วคงที่ที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนระยะทางทั้งหมด 400 กิโลเมตร

อันที่จริงแล้ว Lightyear One เป็นรถที่สร้างพลังงานได้ด้วยแผงโซล่าเซลล์โดยขนาดของแผงโซล่าเซลล์ขนาด 5 ตารางเมตร ตั้งแต่กระโปรงหน้าจนไปถึงกระจกด้านหลังและสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเก็บแบตเตอรี่แรงดันสูง ขนาด 60 kWh โดยการชาร์ตเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ก็สามารถขับขี่ได้ถึงระยะทาง 12 กิโลเมตร ดังนั้นการชาร์จเวลา 8 ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้ถึง 96 กิโลเมตร และในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ก็จะชาร์ตสำรองไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอต่อการใช้ในแต่ละวัน

หากในวันที่ท้องฟ้ามีแสงน้อย Lightyear One ก็ยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้เป็นระยะยาวๆ 40 กิโลเมตรขณะที่ตัวแบตเตอรี่สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 725 กิโลเมตร ต่อการชาร์ตเต็ม 1 ครั้ง โดยผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีไฟฟ้าที่มีระยะทางขับขี่ไกลสุดเมื่อเทียบกับขนาดแบตเตอรี่เท่าๆกัน

ความประหยัดพลังงานส่วนหนึ่งมาจากการออกแบบตามอากาศพลศาสตร์ ที่มีลักษณะลู่ลม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานเพียงแค่ 0.20 เท่านั้น ในขณะที่ตัวถังเน้นน้ำหนักเบาและทนสภาพอากาศด้วยวัสดุอลูมีเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เป็นหลัก ทำให้น้ำหนักรถทั้งหมด เหลือเพียง 1315 กิโลกรัมเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นรถที่มีน้ำหนักเท่าๆกับรถ City Car ทั่วๆไป

ทั้งนี้ Lightyear One ขับเคลื่อนด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ In-Wheel จำนวน 4 ตัวที่ติดตั้งอยู่กับแต่ละล้อให้กำลังรวมสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1200 นิวตันเมตร โดยระบุว่าอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถต่ำกว่า 10 วินาที แต่ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่เปิดเผยออกมาให้ชัดเจน

ขณะที่ห้องโดยสาร ภานในสามารถรอรับได้ 5 ที่นั่ง มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบอินโฟเทนเมนท์ที่สามารถรองรับ Apple CarPlay/Android Auto ระบบกุญแจ Wrieless Key ที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย จุดยึดเบาะ ISOFix 3 ตำแหน่งบริเวณเบาะหลัง และระบบอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-air

Lightyear One จะถูกผลิตที่โรงงานในประเทศฟินแลนด์เพื่อวางจำหน่ายในยุโรปโดยสนนราคาจำหน่ายอยู่ราวๆ 150,000 ยูโร หรือประราวๆประมาณ 5,490,000 บาท และจะมีจำกัดเพียง 946 คันเท่านั้น

อ่านข่าวรถไฟฟ้า EV เพิ่มเติม

All New Hyundai Ioniq 5 รถไฟฟ้า ชาร์จ 5 นาที วิ่งไกล 100 กิโลเมตร

All New Hyundai Ioniq 5 รถไฟฟ้า ชาร์จ 5 นาที วิ่งไกล 100 กิโลเมตร

Hyundai Ioniq 5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกในรถยนต์ขนาด กลาง SUV City Car จากผู้ผลิตสัญชาติเกาหลี ที่นำ Platform แบบ Electric-Global Modular Platform (E-GMP) ซึ่งเป็นระบบ EV โดยนำมาใช้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของรถยนต์ค่าย Hyundai ส่วนมิติตัวถังมีรายละเอียดดังนี้

ภายนอกของ Hyundai Ioniq 5 มีเส้นสายตัวถังจากรถยนต์รถเก่าๆ และทำมาปรับสัดส่วนและรูปแบบใหม่ให้เข้ากับยุคและสมัย สัดส่วนของตัวถัง ที่ยาวถึง 4,635 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร และสูงถึง 1,605 มิลลิเมตร โดยมีระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร ทำให้รถมีความยาว และใหญ่ในยแบบฉบับ SUV City Car ผสมผสานกับฝากกระโปรงหน้าที่เหมือนกับฝาเปลือกหอย สามารถเปิดอ้าได้ทั้งชิ้นเพื่อที่จะลดรอยต่อของตัวถัง จนมาถึง ซุ้มล้อขนาดใหญ่ที่มีล้อขนาด 20 นิ้ว โดยในรุ่นนี้จะมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 9 สี

ภายในมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี ส่วนวัสดุที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสารส่วนใหญ่ จะใช้เป็นวัสดุแบบรีไซเคิลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนในจุดเด่นอื่นๆคือความกว้างด้วยพื้นห้องโดยสารแบบเรียบ เสริมด้วยคอลโซลกลางที่เลื่อนปรับถอยหลังได้ 140 มิลลิเมตร และเบาะคู่หน้า มีความหนาน้อยลง เพื่อเพิ่มพื้นที่ของด้านหลัง ส่วนลูกเล่น ที่หน้าจอ เป็นแบบแสดงผลแบบคู่ ขนาด จอ 12 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Head Up Display แสดงค่าต่างๆของตัวรถ

ขุมพลังของ Hyundai Ioniq 5 เป็นระบบไฟฟ้า EV มีให้เลือก สองรุ่นหลักดังรายละเอียดต่อไปนี้

Standard Range แบตเตอรี่ความจุ 58 kWh

  • มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังเดี่ยวกำลังสูงสุด 169 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อคู่หลังทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.5 วินาที
  • มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังคู่ ให้กำลังสูงสุด 235 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 605 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.1 วินาที

Long Range แบตเตอรี่ ความจุ 72.6 kWh

  • มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังเดี่ยว กำลังสูงสุด 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรขับเคลือนล้อคู่หลังทำอัตรเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 7.4 วินาที ขับขี่เป็นทางสูงสุดได้ถึง 470-480 กิโลเมตร
  • มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังคู่ กำลังสูงสุด 305 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 605 นืวตัวเมตร ขับเคลื่อน สี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.2 วินาที

สำหรับการชาร์จรองรับกระแสไฟขนาด 400 และ 800 โวลต์ ผ่านที่ชาร์จขนาด 305 kW สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่าเป็นรุ่นสเปคไหน และความพิเศษคือการ Quick Charge นาน 5 นาที เพื่อขับขี่ในระยะ 100 กิโลเมตรโดยใช้เวลา 18 นาทีในการชาร์จไฟจากระดับ 10% ไปจนถึง 80% สำหรับความปลอดภัยที่มีมาให้

  • Highway Driving Assist 2 (HDA 2) ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติบนทางหลวง ควบคุมความเร็ว รักษาระยะห่าง และรักษาตำแหน่งให้อยู่ในเลน
  • Forward Collsion-Avoidance Assist (FCA) ระบบลดความเร็วโดยอัตโนมัติ เมื่อเซนเซอร์ตรวจจับคนเดินข้ามถนนและจักรยานได้
  • Blind-Spot Collision-Avoidance Assist (ฺBCA) ระบบลดความเร็วโดยอัตโนมัติ เมื่อเสียงถูกชนหลังในขณะที่ถอยออกจากออกจากมุมอับ

Hyndai Ioniq 5 กำหนดเปิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021 และจะเริ่มออกจำหน่ายในประเทศไหนต้องคอยติดตามกันต่อไปนะครับ

อ่านข่าวรถไฟฟ้า (EV) เพิ่มเติม


เอาตัวรอดอย่างไรให้ปลอดภัย เมื่อคุณขับรถตกน้ำ

วิธีเอาตัวรอดอย่างไรให้ปลอดภัย เมื่อคุณขับรถตกน้ำ
อุบัติเหตุกับการเดินทางนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่ถ้าหากเมื่อหากเกิดขึ้นแล้วมีเพียงสติเท่านั้น ที่คุณอาจจะประคองเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย และบทความนี้ขออนุญาตหยิบยกเอาการเอาตัวรอดเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ มาเพื่อเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆผู้ใช้รถใช้ถนน ว่าหากเกิดอุบัติเหตุในกรณีนี้ขึ้นมาจริงๆควรจะทำอย่างไรบ้าง

รถตกน้ำคุณจะเอาตัวรอดอย่างไร

เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น สติ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ อย่าตื่นตระหนก กรีดร้อง เพราะจำเป็นจะต้องใช้เวลาที่เหลืออย่างมีค่า ฉะนั้น สิ่งที่ควรมีอันดับแรกนั้นคือ “สติ” และนั่นเอง

อันดับแรกคือปลดล๊อคเข็มขัดนิรภัยทั้งของตัวเองก่อนเสมอ และจึงเริ่มช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยของคนอื่นภายในรถ

เมื่อรถตกน้ำ รถจะไม่จมทันทีเพราะอากาศภายในรถจะค่อยๆประคองรถของคุณให้จมลงอย่างช้า ในเวลา 1-2 นาทีก่อนรถจะจมทั้งคัน ให้คุณรีบเปิดประตู หรือทำการเปิดกระจกก่อนระบบไฟฟ้าต่างๆภายในรถตัด หรือถ้าหากเป็นระบบไขกระจกก็ให้รีบเปิดทันที


กรณีที่ไม่สามารถเปิดประตูรถได้

ลดแรงดันน้ำจากด้านนอกสู่ภายในห้องโดยสาร เป็นสาเหตุที่ไม่สามารถเปิดประตูเพื่อออกจากตัวรถได้ โดยสามารถใช้วัสดุที่เห็นเหล็กรอบตัวเพื่อ “งัด” กระจกให้แตกได้แต่อย่าพยายามเพื่อจะทุบกระจกเพราะเมื่อรถจมน้ำและแรงดันมหาศาลของน้ำก็จะทำให้กระจกมีแรงยืดหยุ่นและยากที่จะแตก โดยอุปกรณ์ที่จะใช้ภายในรถมีดังนี้

  • ขาหมอนรองหัว เชื่อว่ารถหลายๆจะเป็นเบาะที่สามารถปรับถอดหมอนหนุนคอได้ และ ก้านหมอนรองคอก็จะเป็นโลหะลักษณะแท่งยาว คุณสามารถดึงออกเพื่อตอกเข้าไปที่ขอบขอบยางกระจกประมาณ 1 นิ้ว เพื่องัดและทำให้กระจกแตก
  • หัวเพชรทุบกระจก หรือ ฆ้อนทุบกระจก (อุปกรณ์เสริม) เป็นอุปกรณ์ที่ควรค่าแก่การลงทุนเพราะหากเกิดสถานการณ์เหล่านี้ขึ้นสามารถช่วยเหลือชีวิตของคุณได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ออกมาจากรถได้แล้ว แนะนำให้ออกห่างรถ ให้พยายามกลั้นหายใจนอนหงายกลางแขนทำตัวตามสบายโดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะลอยขึ้นตามผิวน้ำ หรือ หากว่ายน้ำได้ก็รีบเข้าฝั่งทันทีก่อนที่จะหมดแรง

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วการควบคุม สติ นั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เรานั้นเอาชีวิตรอดจากทุกเหตุการณ์ไปได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่จะต้องเดินทางโดยรถยนต์ก็ควรเช็คสภาพรถยนต์ให้มีความพร้อม ศึกษาเส้นทางให้ดี ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด และ ไม่ประมาทเพื่อความปลอดภัยทั้งตนเองและผู้อื่น

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม