
“หลับใน” คือหนึ่งในสาเหตุอุบัติเหตุบนท้องถนนที่รุนแรงที่สุด เพราะผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ในเสี้ยววินาทีที่สติหลุดไป ทำให้เกิดการพุ่งชนหรือแฉลบออกนอกเส้นทางโดยไม่ทันตั้งตัว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและเวชศาสตร์การเดินทางต่างย้ำว่า หลายครั้งการหลับในไม่ได้เกิดจาก “ง่วงมาก ๆ” อย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรมบางอย่างที่คนขับทำจนกระทบระบบประสาทโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถือเป็น พฤติกรรมเสี่ยงหลับในตอนขับรถ ที่คนไทยทำกันเป็นประจำโดยคิดว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไร”
พฤติกรรมเสี่ยงหลับในตอนขับรถที่หมอย้ำว่า “อันตรายกว่าที่คิด”
แม้การง่วงจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่พฤติกรรมต่อไปนี้สามารถทำให้สมองเข้าสู่ภาวะ “ไมโครสลีป” (Micro Sleep) ในเวลาเพียง 1–10 วินาที ซึ่งเพียงพอให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้
1. ขับรถหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ
หลายคนคิดว่า “นอนไม่เต็มที่แต่ยังไหว” แต่หมอยืนยันว่า
- แค่คุณนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง ร่างกายจะมีโอกาสหลับในเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า
- แม้คุณจะรู้สึกว่าตัวเองตื่นอยู่ แต่สมองสามารถปิดการทำงานบางส่วนเฉียบพลันโดยไม่เตือนล่วงหน้า
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุทางไกล
2. เปิดเพลงดังเกินไปเพื่อฝืนความง่วง
หลายคนเชื่อว่าเปิดเพลงดัง ๆ แล้วจะตื่น แต่แพทย์กลับชี้ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียด ทำให้สมองล้าเร็วขึ้น และเพิ่มความเสี่ยง “ไมโครสลีป”
สรุป : เพลงเพราะช่วยได้ แต่ดังเกินไปยิ่งทำให้ง่วงและหลับในง่ายขึ้น
3. ใช้มือข้างเดียวขับรถพร้อมถือมือถือ
การใช้มือถือระหว่างขับรถทำให้สมองแบ่งการรับรู้หลายส่วน จุดอันตรายคือ
- สมองทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เหนื่อยล้าเร็ว
- โฟกัสถูกดึงออกจากถนน เกิดช่องว่างความสนใจ (Inattention Blindness)
- เพิ่มโอกาส “ลืมว่ากำลังขับรถอยู่” ซึ่งเป็นสัญญาณก่อนหลับใน
แม้จะไม่เป็นง่วง ก็เสี่ยงอุบัติเหตุอย่างมาก
4. กินยาที่ทำให้ง่วงก่อนขับรถ
ยาเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดหลับในแบบไม่รู้ตัว ได้แก่
- ยาแก้แพ้
- ยาแก้หวัด
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยานอนหลับ
- ยาคลายกังวล
แพทย์เตือนว่าแม้จะกินแค่ครึ่งเม็ด ฤทธิ์ยาก็ยังทำให้สมองเข้าสู่ภาวะกดประสาทหลายชั่วโมง
5. ขับรถทางตรงยาว ๆ นานเกินไป
ทางตรง + ความเร็วคงที่ + วิวเดิมซ้ำ ๆ สมองเข้าสู่โหมดเบื่อ–ล้า จนเกิดภาวะ “อัตโนมัติขับรถ” (Highway Hypnosis)
อันตรายเพราะ
- สติหลุดเป็นช่วง ๆ
- ไม่รู้ตัวว่าขับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
- เสี่ยงกดคันเร่งค้าง
- พุ่งออกนอกเส้นถนนโดยไม่รู้ตัว
6. เปิดแอร์เย็นจัดจนร่างกายผ่อนคลาย
การเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำเป็นเวลานานทำให้
- กล้ามเนื้อคลายตัว
- ระบบประสาทลดการตื่นตัว
- ร่างกายเข้าโหมดพักโดยไม่รู้ตัว
หมอระบุว่าอากาศเย็นเกินไปเป็นตัวเร่งให้หลับในเร็วขึ้น โดยเฉพาะกลางคืน
สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังใกล้ “หลับใน” โดยไม่รู้ตัว
แพทย์ด้านการนอนหลับให้เช็กตัวเองตามนี้ ถ้าเกิดมากกว่าข้อใดข้อหนึ่ง ควรหยุดพักทันที
สัญญาณเสี่ยงหลับใน
- หนังตาตกหรือกะพริบถี่
- หาวบ่อยผิดปกติ
- เริ่มมองถนนพร่า ๆ
- ฟังเพลงหรือเสียงในรถไม่เข้าใจ
- ขับรถแล้วรู้สึกเหมือน “เผลอไปแป๊บเดียว”
- ไม่จำได้ว่าเพิ่งผ่านทางแยกหรือทางโค้งมาอย่างไร
- ขับรถส่ายเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
- รู้สึกว่าคอพับหรือหัวทิ่ม
ถ้ามี 2–3 ข้อขึ้นไป เสี่ยงไมโครสลีปสูงมาก
วิธีป้องกันการหลับในที่หมอแนะนำ
1. พักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง
- นอนอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไกลหลังทำงานหนักหรืออดนอน
2. หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุก 150 กิโลเมตร
ลงไปยืดตัว เดินรอบรถ หรือดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
3. หลีกเลี่ยงการใช้มือถือ
ใช้งานเท่าที่จำเป็น เช่น GPS เท่านั้น
4. ปรับอุณหภูมิรถให้พอดี
อากาศเย็นเกินไปกระตุ้นให้หลับใน ควรปรับให้ไม่หนาวจนเกินไป
5. ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนอย่างเหมาะสม
ช่วยให้ตื่นตัวได้ 3–4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรดื่มมากจนเกิดใจสั่น
6. เปิดหน้าต่างรับลมบ้างกรณีรู้สึกง่วง
การเปลี่ยนสภาพอากาศช่วยให้สมองกระตุ้นตัวเองดีขึ้น
7. เลี่ยงการเดินทางช่วงตี 2–ตี 4
เป็นช่วงที่สมองง่วงที่สุด (Circadian Low) ตามนาฬิกาชีวภาพ
สรุปพฤติกรรมเล็ก ๆ แต่เสี่ยงอันตรายใหญ่
ภาวะหลับในไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่เกิดกับแค่คนง่วงมาก ๆ เท่านั้น แต่เกิดจาก พฤติกรรมเสี่ยงหลับในตอนขับรถ ที่หลายคนมองข้าม เช่น นอนน้อย เปิดแอร์เย็นจัด ขับทางตรงนาน ๆ หรือใช้มือถือระหว่างขับรถ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้สมองทำงานหนักเกินไปจนเข้าสู่ภาวะไมโครสลีปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
การป้องกันที่ดีที่สุดคือ
- นอนให้พอ
- หยุดพักเป็นระยะ
- รู้ทันสัญญาณเตือน
- ไม่ฝืนเมื่อร่างกายล้า
เพราะ “อุบัติเหตุ” อาจเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที และการขับขี่อย่างมีสติคือเกราะป้องกันชีวิตที่สำคัญที่สุดบนท้องถนน
