
ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเข้าสู่ระบบใบสั่งรูปแบบใหม่ที่ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี เพราะกฎหมายใหม่ได้ยกเลิกการเอาผิดทางอาญาต่อผู้ขับขี่ที่ “ไม่ชำระใบสั่ง” แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบที่เรียกว่า “พินัยกำหนดโทษ” ซึ่งเป็นมาตรการทางปกครองแทน ส่งผลให้การจ่ายค่าปรับง่ายขึ้น ลดภาระคดีความของศาล และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกัน ระบบใหม่ยังมาพร้อมกับมาตรการที่ “เข้มขึ้นกว่าเดิม” โดยเฉพาะ ระบบตัดแต้มใบขับขี่ ซึ่งถูกออกแบบให้ทำงานเชื่อมโยงกับระบบออกใบสั่งโดยตรง ไม่จ่ายค่าปรับ—ถูกตัดแต้ม, ขับผิดซ้ำ—ถูกพักใช้ใบขับขี่ และมีผลกระทบชัดเจนกับผู้ใช้รถบนถนนทุกคน
กฎหมายใบสั่งใหม่ 2568 คืออะไร?
“กฎหมายใบสั่งใหม่ 2568” คือการปรับระบบค่าปรับและโทษจากการทำผิดกฎหมายจราจร โดยมีจุดสำคัญคือ ยกเลิกโทษอาญา และเปลี่ยนเป็นมาตรการทางปกครองที่เรียกว่า “พินัยกำหนดโทษ” เพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมามากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบใหม่
- ไม่ชำระใบสั่ง “ไม่ถือเป็นคดีอาญา”
- การติดตามค่าปรับทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบตัดแต้มเชื่อมกับการไม่ชำระค่าปรับ
- หน่วยงานรัฐสามารถกำหนดบทลงโทษทางปกครองแบบทันที
- คนทำผิดซ้ำจะถูกลงโทษหนักขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล
การออกแบบใหม่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อลดภาระของศาล ลดการคั่งค้างของคดีใบสั่ง และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคนทำผิดซ้ำซากบนท้องถนน
ใบสั่งไม่ใช่โทษอาญาแล้ว เปลี่ยนเป็น ‘พินัยกำหนดโทษ’
หนึ่งในหัวใจสำคัญของกฎหมายใบสั่งใหม่ 2568 คือการ “ถอดใบสั่งออกจากหมวดโทษอาญา” หมายความว่าการทำผิดจราจร เช่น ไม่หยุดให้คนข้าม, ขับเร็วเกินกำหนด, ฝ่าไฟแดง จะไม่ทำให้ผู้ขับขี่มีประวัติคดีอีกต่อไป
พินัยกำหนดโทษ คืออะไร?
พินัยกำหนดโทษ (Administrative Penalty) คือมาตรการทางปกครองที่รัฐใช้แทนการดำเนินคดีอาญา มีลักษณะดังนี้:
- ฟ้องร้องง่ายและรวดเร็ว
- ใช้วิธีการแจ้งและวิธีการชำระแบบออนไลน์
- ไม่ถูกบันทึกในประวัติอาชญากรรม
- ไม่ต้องขึ้นศาล
- สามารถเชื่อมข้อมูลระหว่างตำรวจ–กรมขนส่งได้ทันที
ระบบนี้เหมือนกับที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้กัน เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์ ซึ่งเน้นประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการบังคับใช้
ระบบตัดแต้มเข้มขึ้น เชื่อมกับใบสั่งแบบเรียลไทม์
แม้กฎหมายใหม่จะลดความเสี่ยงในการถูกดำเนินคดีอาญา แต่ก็ “เพิ่ม” ความเข้มงวดด้านวินัยจราจร โดยเฉพาะระบบตัดแต้ม ที่จะทำงานเชื่อมกับการออกใบสั่งทันทีแบบเรียลไทม์
ทำไมต้องเพิ่มความเข้มของระบบตัดแต้ม?
รัฐบาลพบว่าโทษเดิมไม่สามารถควบคุมผู้ฝ่าฝืนซ้ำซาก โดยเฉพาะ
- ขับรถเร็วเกินกำหนด
- ขับรถย้อนศร
- ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย
- เมาแล้วขับ
- ฝ่าไฟแดงซ้ำหลายครั้ง
- ไม่ชำระใบสั่งเป็นเวลานาน
การลงโทษแบบใหม่จึงเน้นให้ผู้ขับ “มีความรับผิดชอบ” และรู้ผลกระทบทันทีหากละเลยกฎหมาย
โทษตัดแต้มแบบใหม่มีอะไรบ้าง?
ระบบตัดแต้มใหม่จะทำงานคู่กับกฎหมายใบสั่งใหม่ 2568 โดยมีขั้นบันไดที่ชัดเจนขึ้น
การตัดแต้มตามความผิดสำคัญ
- ฝ่าไฟแดง ตัด 2–3 แต้ม
- ขับเร็วเกินกำหนด ตัด 1–2 แต้ม
- ไม่หยุดให้คนข้าม ตัด 2 แต้ม
- ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถ ตัด 1 แต้ม
- เมาแล้วขับ ตัด 4 แต้ม (สูงสุด)
- ไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด ตัดเพิ่ม 1 แต้มอัตโนมัติ
เมื่อแต้มหมด 12 แต้ม พักใช้ใบขับขี่ชั่วคราว
หากทำผิดซ้ำในระยะเวลาหนึ่งปี แต้มจะถูกตัดจนถึงขั้นอาจถูกพักใบขับขี่ นานขึ้นกว่าเดิม และมีผลต่อการทำประกันหรืออาชีพที่ต้องใช้รถโดยตรง
ไม่จ่ายค่าปรับจะเกิดอะไรขึ้น?
แม้จะไม่ใช่คดีอาญา แต่การ “ไม่ชำระค่าปรับ” ตามกฎหมายใบสั่งใหม่ 2568 ยังคงมีผลกระทบที่หนักขึ้น
มาตรการบังคับใช้สำหรับผู้ไม่จ่ายค่าปรับ
- ถูกตัดแต้มเพิ่มทันที
- อาจถูกระงับการต่อภาษีรถ (ตามกลไกเชื่อม Police Ticket Management – PTM)
- อาจถูกเรียกพบเพื่อพิจารณาพินัยกำหนดโทษ
- ถูกเพิ่มอัตราค่าปรับสูงขึ้นสำหรับความผิดซ้ำ
- เสียสิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์บางกรณี
ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้คน “จ่ายค่าปรับอย่างรวดเร็ว” และป้องกันการค้างใบสั่งหลายปีแบบในอดีต
ข้อดีของกฎหมายใบสั่งใหม่ 2568
ข้อดีเด่นของระบบใหม่
- ลดภาระคดีความ และลดจำนวนคดีอาญา
- เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและชำระค่าปรับ
- เชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้ทันที
- ทำผิดซ้ำถูกลงโทษหนักขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุ
- ผู้ขับขี่รับรู้ผลกระทบทันที (ตัดแต้ม–ห้ามต่อภาษี)
- ไม่มีประวัติอาชญากรรมจากใบสั่งอีกต่อไป
สรุป
กฎหมายใบสั่งใหม่ 2568 ถือเป็นการปรับโครงสร้างระบบบังคับใช้กฎหมายจราจรครั้งสำคัญของไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาระคดีอาญาและเพิ่มความมีวินัยของผู้ใช้รถผ่านระบบตัดแต้มที่เข้มงวดขึ้น แม้ว่าผู้ขับขี่จะไม่ต้องกังวลเรื่อง “คดีอาญา” จากการไม่จ่ายค่าปรับแบบเดิม แต่ต้องระวังมากขึ้นเกี่ยวกับแต้มใบขับขี่ เพราะเมื่อหมดแต้ม จะถูกพักใช้ใบขับขี่ทันที
