
อัปเดตล่าสุด 2568 ค่าตรวจสภาพรถยนต์ “ขนส่ง” กับ “ตรอ.”
ทุกปีเจ้าของรถยนต์จำเป็นต้องต่อภาษีประจำปี และหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือ “ตรวจสภาพรถยนต์” โดยเฉพาะรถที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่อายุเกิน 5 ปีขึ้นไป หลายคนมักสงสัยว่า ควรไปตรวจที่ “ขนส่ง” หรือที่ “ตรอ.” ดีกว่ากัน ในปี 2568 นี้ กรมการขนส่งทางบกได้ปรับปรุงอัตราค่าบริการและระบบตรวจให้มีมาตรฐานมากขึ้น บทความนี้จะพาไปดูรายละเอียด ค่าตรวจสภาพรถยนต์ ขนส่ง กับ ตรอ. 2568 และเปรียบเทียบข้อแตกต่างของทั้งสองแห่งอย่างเข้าใจง่าย
ขนส่ง กับ ตรอ. ต่างกันอย่างไร
ก่อนเลือกว่าจะตรวจที่ไหน ควรรู้ความแตกต่างของทั้งสองหน่วยงานเสียก่อน ขนส่ง คือสถานที่ตรวจสภาพรถของกรมการขนส่งทางบกโดยตรง ให้บริการในสำนักงานทั่วประเทศ ส่วน ตรอ. คือสถานตรวจสภาพรถเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ตรวจแทนขนส่งได้ตามมาตรฐานเดียวกัน
การตรวจที่ขนส่งมักมีความน่าเชื่อถือและราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ต้องใช้เวลาและจองคิวล่วงหน้า ในขณะที่ตรอ.จะสะดวกกว่า เปิดให้บริการยืดหยุ่นกว่า เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจแล้วต่อภาษีได้ในวันเดียว
ค่าตรวจสภาพรถยนต์ ขนส่ง กับ ตรอ. 2568
กรมการขนส่งทางบกได้ประกาศอัตราค่าตรวจสภาพรถใหม่ปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการตรวจและมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น
ค่าตรวจสภาพที่ขนส่ง
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ประมาณ 200 บาท
- รถกระบะหรือรถบรรทุกเล็ก ประมาณ 250 บาท
- รถตู้หรือรถโดยสารขนาดเล็ก ประมาณ 300 บาท
- รถจักรยานยนต์ ประมาณ 60 บาท
ค่าตรวจสภาพที่ตรอ.
อัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับแต่ละสถานตรวจ แต่ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่กรมขนส่งกำหนด
- รถยนต์ส่วนบุคคล 250–300 บาท
- รถกระบะ 300–350 บาท
- รถตู้หรือรถโดยสารเล็ก 400–500 บาท
- รถจักรยานยนต์ 100–150 บาท
แม้ค่าตรวจที่ตรอ.จะสูงกว่าเล็กน้อย แต่หลายแห่งมีบริการครบจบในที่เดียว เช่น ตรวจสภาพ + ต่อภาษี + พ.ร.บ. ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและไม่สะดวกเดินทางไปขนส่ง
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถยนต์
การตรวจสภาพรถมีเป้าหมายเพื่อให้แน่ใจว่ารถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและปลอดภัยต่อการขับขี่ ซึ่งทั้งขนส่งและตรอ. จะตรวจในประเด็นหลักคล้ายกัน ได้แก่
- ระบบเบรก
- ระบบไฟหน้าและไฟท้าย
- ระดับเสียงเครื่องยนต์และไอเสีย
- สภาพยาง ช่วงล่าง และพวงมาลัย
- หมายเลขตัวถังและเครื่องยนต์ตรงตามทะเบียน
หากตรวจผ่าน เจ้าของรถจะได้รับใบรับรองการตรวจสภาพเพื่อใช้แนบตอนต่อภาษี แต่หากไม่ผ่าน ต้องนำรถไปซ่อมและนำกลับมาตรวจใหม่
รถประเภทใดที่ต้องตรวจสภาพก่อนต่อภาษี
- รถยนต์ส่วนบุคคลที่มีอายุเกิน 7 ปี
- รถจักรยานยนต์ที่มีอายุเกิน 5 ปี
- รถโดยสารสาธารณะและรถตู้ ต้องตรวจทุกปีโดยไม่จำกัดอายุ
- รถที่ถูกระงับทะเบียนและนำกลับมาใช้งาน ต้องตรวจสภาพก่อนทุกครั้ง
การไม่ตรวจสภาพก่อนต่อภาษีอาจทำให้ไม่สามารถต่อภาษีได้ตามกำหนด และหากขับรถโดยไม่ต่อภาษีอาจมีโทษปรับตามกฎหมาย
เอกสารที่ต้องเตรียมเมื่อไปตรวจสภาพ
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน)
- บัตรประชาชนของเจ้าของรถ
- ใบมอบอำนาจ (ถ้ามีผู้อื่นนำรถไปตรวจแทน)
- ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (กรณีตรวจที่ตรอ.)
วิธีเลือกตรอ. ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
ก่อนเข้ารับบริการ ควรตรวจสอบว่าตรอ.นั้นได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกจริงหรือไม่ โดยสามารถดูรายชื่อได้ที่เว็บไซต์กรมขนส่งทางบก (www.dlt.go.th)
สังเกตได้จาก
- มีป้ายระบุ “ตรอ. ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก”
- มีอุปกรณ์ตรวจครบ เช่น เครื่องวัดควัน เครื่องวัดเบรก
- ออกใบรับรองที่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่อย่างถูกต้อง
สรุป
ปี 2568 การตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษียังคงเป็นขั้นตอนสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนไม่ควรละเลย โดยเฉพาะรถที่มีอายุเกินเกณฑ์กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะตรวจที่ขนส่งหรือที่ตรอ. ก็มีมาตรฐานเดียวกัน ต่างกันเพียงเรื่องความสะดวกและค่าใช้จ่าย
หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและมั่นใจในมาตรฐาน ให้ไปตรวจที่ขนส่ง แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วและบริการครบจบในที่เดียว ตรวจที่ตรอ.จะสะดวกกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือควรตรวจสภาพให้ผ่าน เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้อื่นบนท้องถนน