สาระน่ารู้ » ตำรวจไทยเริ่มใช้กล้อง AI จับรถเร็ว-ไม่คาดเข็มขัด

ตำรวจไทยเริ่มใช้กล้อง AI จับรถเร็ว-ไม่คาดเข็มขัด

1 กันยายน 2025
43   0

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น หน่วยงานด้านความปลอดภัยบนท้องถนนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการปรับตัวได้ หนึ่งในก้าวสำคัญล่าสุดคือ ตำรวจไทยเริ่มใช้กล้อง AI จับรถเร็ว ไม่คาดเข็มขัด เพื่อยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งถือเป็นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามามีบทบาทในงานจราจรอย่างจริงจัง

กล้อง AI ทำงานอย่างไร

กล้อง AI ไม่ใช่แค่กล้องวงจรปิดธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการประมวลผลภาพ สามารถตรวจจับได้ว่ารถคันใดขับด้วยความเร็วเกินกำหนด หรือผู้ขับขี่–ผู้โดยสารด้านหน้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ภาพที่บันทึกได้จะถูกประมวลผลทันที พร้อมทั้งอ่านป้ายทะเบียนเพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังระบบออกใบสั่ง ทำให้การทำงานมีความต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่คอยดักตรวจเหมือนในอดีต

ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมจะได้รับ

เมื่อมีการนำ กล้อง AI จับรถเร็ว ไม่คาดเข็มขัด มาใช้ในระบบจราจร จะช่วยสร้างผลดีหลายด้าน

• ลดอุบัติเหตุและการสูญเสีย การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังทำให้ผู้ขับขี่ระมัดระวังมากขึ้น

• สร้างวินัยการจราจร คนเริ่มเรียนรู้ว่าการฝ่าฝืนไม่คุ้ม เพราะกล้องตรวจจับได้ทุกเวลา

• โปร่งใสและยุติธรรม ระบบ AI ไม่เลือกปฏิบัติ จับทุกคนที่ทำผิดเท่าเทียมกัน

• ช่วยเก็บสถิติข้อมูลจราจร ภาครัฐสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงนโยบายจราจรในอนาคต

มุมมองจากต่างประเทศ

หลายประเทศที่นำกล้อง AI ไปใช้แล้ว เช่น ออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร ต่างพบว่าจำนวนผู้ฝ่าฝืนลดลงจริง และอัตราอุบัติเหตุก็ลดลงด้วย นี่จึงเป็นสัญญาณว่าการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในงานจราจรสามารถสร้างผลเชิงบวกได้อย่างเป็นรูปธรรม

ต่างประเทศใช้กล้อง AI แล้วผลเป็นอย่างไร?

หลายประเทศได้ทดลองและใช้งานจริงแล้ว เช่น

• ออสเตรเลีย : ใช้กล้อง AI ตรวจจับคนไม่คาดเข็มขัดและใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับ พบว่าลดจำนวนผู้ฝ่าฝืนได้ชัดเจน

• สหราชอาณาจักร : มีโครงการทดลองใช้กล้อง AI ตามถนนสายหลัก เพื่อตรวจจับรถเร็วและพฤติกรรมเสี่ยง

• สิงคโปร์ : ใช้กล้อง AI ในการอ่านป้ายทะเบียนและออกใบสั่งอัตโนมัติ ทำให้การจราจรเป็นระบบมากขึ้น

สรุป

การที่ ตำรวจไทยเริ่มใช้กล้อง AI จับรถเร็ว ไม่คาดเข็มขัด ถือเป็นการยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนให้ทันสมัยและเข้มงวดขึ้น แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและค่าใช้จ่าย แต่ประโยชน์ที่ได้ในด้านความปลอดภัยและการสร้างวินัยจราจรถือว่าสำคัญกว่า