
อุบัติเหตุทางถนนในไทยมักเกี่ยวข้องกับสองพฤติกรรมเสี่ยงหลัก คือ เมาแล้วขับ และ เสพสารเสพติดแล้วขับ หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไรในเชิงกฎหมาย บทความนี้จะอธิบายให้ชัดเจน พร้อมเปรียบเทียบโทษและผลกระทบที่ควรรู้
เมาแล้วขับคืออะไร
เมาแล้วขับหมายถึง การขับรถขณะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
• สำหรับผู้ขับขี่ทั่วไป เกณฑ์คือเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
• สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือไม่มีใบขับขี่ หากตรวจพบแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่ามีความผิด
โทษตามกฎหมาย
โทษของการเมาแล้วขับอาจเป็นทั้งจำคุก ปรับ และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ตัวอย่างเช่น
• จำคุกไม่เกิน 1 ปี
• ปรับ 5,000 – 20,000 บาท
• พักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่
• หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โทษจะรุนแรงขึ้น
เสพสารเสพติดแล้วขับคืออะไร
เสพสารเสพติดแล้วขับ หมายถึงการขับรถขณะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสารเสพติด เช่น ยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา หรือสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอื่น ๆ
โทษตามกฎหมาย
ความผิดนี้ถูกมองว่าร้ายแรงกว่าเมาแล้วขับ เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท
• จำคุกไม่เกิน 3 ปี
• ปรับ 10,000 – 60,000 บาท
• พักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่
• หากพบการเสพหรือครอบครองสารเสพติด จะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม
ทำไมกฎหมายจึงเข้มงวดกับทั้งสองกรณี?
กฎหมายเข้มงวดเพราะทั้ง เมาแล้วขับ และ เสพสารเสพติดแล้วขับ ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการขับขี่ เช่น:
• การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินช้าลง
• สูญเสียการควบคุมรถ
• เพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
• ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้ถนนร่วมกัน
สรุป
เมื่อเปรียบเทียบ เมาแล้วขับ vs เสพสารเสพติดแล้วขับ จะเห็นได้ว่าทั้งสองพฤติกรรมเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคม และกฎหมายกำหนดโทษที่แตกต่างกันตามความร้ายแรง โดยโทษของการเสพสารเสพติดแล้วขับจะหนักกว่าการเมาแล้วขับ เพราะมีผลต่อการรับรู้และพฤติกรรมโดยตรง
